บทที่ 171 ความเป็นห่วงของผู้อาวุโส
หลังจากขายทุกอย่างให้องค์กรนักล่ายุทธ์แล้ว หลัวซิวได้รับหินพลังจิตชั้นล่างเป็นจำนวนทั้งหมดห้าหมื่นก้อน
เขายังมีของดีอยู่ในมืออีกหลายชิ้น เช่นหนังเสือ กระดูกเสือ พลังและเลือดของเสือสองหัวเขมือบลึก และยาอสูร!
การต่อสู้ระหว่างนักฝึกยุทธ์ นอกจากตัวนักยุทธ์แล้ว เกราะนักยุทธ์นั้นเป็นเกราะป้องกันที่ขาดไม่ได้เช่นกัน
เสือสองหัวเขมือบลึกเป็นอสูรระดับ5 ถ้าปรมาจารย์หลอมอาวุธระดับ5 เป็นคนหลอมเกราะหนัง มันจะสามารถต้านการโจมตีของกองทัพดินได้ และถึงแม้จะเป็นนักยุทธ์ระดับชั้นล่าง ยังสามารถตอบโต้การโจมตีส่วนใหญ่ได้ ซึ่งมันเป็นของดีที่สามารถนำมาช่วยชีวิตได้
เพียงแต่เกราะนักยุทธ์ระดับเดียวกันนั้น มีราคาแพงกว่านักยุทธ์ระดับเดียวกันมาก ดังนั้นแม้ว่าจอมยุทธ์จำนวนมากจะมีหินพลังจิต แต่พวกเขาก็ใช้มันเพื่อฝึกฝนพัฒนาผลการฝึกตน โดยทั่วไปแล้วจะไม่ยอมเสียหินพลังจิตมากมายเพื่อไปซื้อเกราะนักยุทธ์ที่ราคาค่อนข้างแพง
เกราะนักยุทธ์ระดับล่างไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก ส่วนเกราะนักยุทธ์ระดับสูงนั้นแพงเกินไป ดังนั้นหลัวซิวจึงเห็นจอมยุทธ์ที่สวมเกราะนักยุทธ์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
สำหรับกระดูกและฟันของเสือสองหัวเขมือบลึกแล้ว เป็นวัตถุดิบสำหรับการกลั่นของกองทัพดิน และมูลค่าของมันนั้นไม่ต่ำอย่างแน่นอน พลังและเลือดสามารถนำมาสลักยันต์ ส่วนยาอสูรระดับ5นั้นเป็นที่ชื่นชอบของนักกลั่นยา
ยาอสูร ประกอบด้วยพลังงานบริสุทธิ์ที่ผนึกรวมจากพลังจิตของอสุรกาย และต้องเป็นอสุรกายระดับ5 ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถผนึกรวมได้
ยาอสูรนั้นแตกต่างจากลูกแก้วโลหิตที่ได้จากอสูรกายในแดนนานาอสูร และจอมยุทธ์นั้นไม่สามารถดูดซับพลังอสุรกายที่อยู่ในนั้นได้โดยตรง มีเพียงนักกลั่นยาที่ใช้ยาวิเศษหลายชนิด ถึงจะสามารถขจัดพลังอสูรที่อยู่ภายในนั้นได้ แล้วเปลี่ยนเป็นพลังจิตที่บริสุทธิ์ ถึงจะสามารถให้นักฝึกยุทธ์กลืนกินได้
หลังจากที่นักกลั่นยาได้กลั่นยาอสูรระดับ5แล้ว ยอดฝีมือราชายุทธ์สามารถนำยาไปใช้เพื่อบรรลุถึงแดนเล็กได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความล้ำค่าของยา
เหตุผลที่หลัวซิวไม่นำของดีเหล่านั้นออกมา นั่นเป็นเพราะตนเองนั้นอ่อนแอเกินไป อย่างไรเสีย เสือสองหัวเขมือบลึกนั้นเป็นอสูรระดับ5 แม้แต่ราชายุทธ์จะฆ่ามันก็เป็นเรื่องยาก ซึ่งทำให้เขายากที่จะอธิบายเรื่องนี้
แม้ว่าเขาจะสร้างเรื่องโกหกเพื่ออธิบาย แต่คนอื่นอาจจะไม่เชื่อ
ก่อนที่อาการบาดเจ็บจะหาย เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายของสำนักเหลยหวู่ ทำให้หลัวซิวไม่กล้าออกจากองค์กรนักล่ายุทธ์
หลังจากเวลาผ่านไป อาการบาดเจ็บของหลัวซิวค่อย ๆ ฟื้นตัวจากการไหลเวียนตามธรรมชาติของผู้เป็นอมตะ และเมื่อถึงเวลานั้นร่างของเขาเกือบจะเต็มไปด้วยปราณแท้ปราณเป็นตาย2ระดับ และเขาสามารถผนึกรวมพลังจิตแท้ปราณเป็นตาย2ระดับได้โดยตรง
เมื่อผนึกรวมเป็นพลังจิตแท้แล้ว ถือว่าได้ผ่านธรณีประตูแห่งการฝึกจิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว และทั้งหมดนั้นก็เพื่อการฝึกจิตครึ่ง
นักฝึกยุทธ์อื่น ๆ จะผนึกรวมการสำนึกก่อน เพราะการผนึกรวมพลังจิตแท้นั้นต้องใช้เวลานาน
แต่เขานั้นกลับผนึกรวมพลังจิตแท้ก่อน แต่ยังไม่ได้ผนึกรวมการสำนึก
ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ร่างกายของเขากำลังฟื้นตัว หลัวซิวจึงตั้งใจฝึกฝน‘พลังก่อรวมวิญญาณ’ และเมื่อกระแสสัมผัสพลังวิญญาณผนึกเป็นการสำนึกแล้ว ด้วยพลังของการสำนึกและพลังจิตแท้ จะสามารถบรรลุไปถึงแดนฝึกจิตได้
เมื่อก้าวสู่แดนฝึกจิตแล้ว ก็จะกลายเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์ ซึ่งในประเทศเทียนหวูแล้วสามารถถือว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง และสามารถปกป้องตนเองได้
ลู่เมิ่งเหยาฝึกฝนอย่างหนักเช่นกัน นางเป็นคนที่มีความสามารถมาก บวกกับหินพลังจิตและยาพรสวรรค์ระดับ3 ที่ได้รับจากหลัวซิว ทำให้ผลการฝึกตนของนางก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานนางก็จะบรรลุไปถึงแดนพรสวรรค์ขั้น3แล้ว
วันนี้ หลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ ดวงตาที่ปิดของเขาลืมขึ้นมาทันที และมีความปีติปรากฏบนใบหน้า
ทุกครั้งที่กระตุ้นผู้เป็นอมตะ เหมือนได้เกิดใหม่ เพราะนี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านความเป็นและความตาย ซึ่งบ่งบอกถึงความลึกลับของความเป็นและความตาย
เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้แต่แรก ปราณแท้ปราณเป็นตาย 2 ระดับได้ชุบและผนึกรวมในร่างกายนับครั้งไม่ถ้วน และตอนนี้มันได้กลายเป็นพลังจิตแท้ที่ใกล้จะหนาแน่นแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น แม้ว่าระดับที่บรรลุถึงร่างเนื้อของเขานั้นจะยังไม่ได้รับการปรับปรุง แต่เส้นลมปราณของเขากว้างขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น
การที่เส้นลมปราณกว้างขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น นั่นหมายความว่ามันสามารถต้านและรองรับพลังที่แข็งแกร่งกว่าได้ และตอนที่ไหลเวียนเพื่อกระตุ้นพลังจิตแท้ สามารถระดมพลังที่มากขึ้นเพื่อต่อสู้กับศัตรูทันที
นอกจากนี้ ร่างกายได้ผ่านการเกิดใหม่ ถึงแม้จะเป็นร่างยุทธ์ชั้นสูงของแดนร่างเนื้อ แต่มันแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน และเกือบถึงระดับร่างยุทธ์สูงสุดทั่วไป
หลัวซิวรู้สึกว่าตอนนี้ถ้าเขาเผชิญหน้ากับผู้ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับฝึกจิตขั้น2 เขาจะสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
ไม่จำเป็นต้องกลัวผู้ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับฝึกจิตขั้น1จนถึงฝึกจิตขั้น3แล้ว
ถึงแม้จะเป็นการฝึกจิตช่วงกลางขั้น4ก็ยังสามารถต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้ และถ้าหากใช้พลังของห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร แล้ว การฆ่าคู่ต่อสู้นั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อเทียบกับการความก้าว หน้าทางด้านผลการฝึกตนแล้ว ช่วงเวลานี้การฝึกฝน‘พลังก่อรวมวิญญาณ’ของหลัวซิวนั้นก้าวหน้าไม่มากนัก
เพราะการผนึกรวมพลังวิญญาณนั้นยากกว่าการพัฒนาผลการฝึกตน
“คราวนี้ หัวหน้าแก๊งเสิ่นช่วยข้าได้มาก อย่างน้อยก็ช่วยให้ข้าไม่ต้องฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาหลายปี!”
หลังจากเดินออกมาจากห้องลับแล้ว หลัวซิวเดินมาถึงประตูห้องของลู่เมิ่งเหยา พบว่านางกำลังฝึกฝนอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รบกวน
หลังจากนั้น เขาก็เดินออกไป และเดินมาที่ห้องโถงขององค์กรนักล่ายุทธ์
“สีหน้าของท่านชายหลัวดูมีความสุข อาการบาดเจ็บหายดีแล้วใช่ไหม?”
ในห้องโถง หลัวซิวเห็นผู้อาวุโสโสว่หยวนโหย่วถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณ สำหรับความเป็นห่วงของผู้อาวุโสโสว่ ข้าหายดีแล้ว” หลัวซิวตอบด้วยรอยยิ้ม
“ท่านชายหลัวกำลังจะออกไปข้างนอกหรือ? ถึงแม้ว่าคนของสำนักเหลยหวู่จะไม่กล้ามาหาเรื่องที่นี่แล้ว แต่ก็ยังมีคนแอบซุ่มอยู่” โสว่หยวนโหย่วกล่าวเตือน
สำหรับเรื่องนี้ หลัวซิวยิ้มและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้ากำลังอยากจะออกไปยืดเส้นยืดสายอยู่พอดี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โสว่หยวนโหย่วแสดงความประหลาดใจ แอบคิดว่าหลัวซิวเป็นคนที่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาทำให้เกิดการต่อสู้หลายครั้งในเขตการปกครองโตว้ไห่
“ถ้าเมื่อก่อนมีคนหลบซ่อนตัวอยู่ในองค์กร แล้วกองกำลังจากทั่วสารทิศจะพาคนบุกมาถึงประตู ท่านหัวหน้าแก๊งจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่ครั้งที่แล้วท่านหัวหน้าแก๊งฆ่าคนของสำนักเหลยหวู่ด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าท่านหัวหน้าแก๊งให้ความสำคัญกับหลัวซิวมาก” โสว่หยวนโหย่วคิดอยู่ในใจ
เขาอายุมากแล้ว เขาไม่มีความหวังที่จะสามารถบรรลุไปถึงระดับราชายุทธ์แล้ว และเขาเป็นคนที่มีความคิดเฉียบแหลมกว่าคนธรรมดาทั่วไป