บทที่ 172 ยอมให้จับโดยไม่ขัดขืน
หลังจากเห็นหลัวซิวเดินออกไปจากองค์กรนักล่ายุทธ์แล้ว โสว่หยวนโหย่วก็เดินตามออกไป ถ้ามีคนจากสำนักเหลยหวู่มาทำร้ายเขา ตนเองสามารถช่วยเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็จะได้ติดหนี้บุญคุณตนเอง
“เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว คนผู้นี้น่าจะเป็น‘หลัวซิว’!”
“ข้าจะไปรายงานผู้คุมกฎเล่อ พวกเจ้าคอยจับตาดูให้ดี”
“ศิษย์พี่วางใจเถอะ ‘หลัวซิว’เจ้านั้นช่างใจกล้านัก หลังจากล่วงเกินสำนักเหลยหวู่ของพวกเราแล้ว ยังจะกล้าออกมาเดินวางมาดอีก”
นักฝึกยุทธ์ของสำนักเหลยหวู่หลายคนที่นั่งแกร่วอยู่ใกล้ประตูขององค์กรนักล่ายุทธ์ สังเกตเห็นหลัวซิวเดินออกมา จึงแอบกระซิบกระซาบทันที
หลัวซิวเหลือบมองไปยังสถานที่ซ่อนตัวของคนเหล่านั้นโดยตั้งใจและเหมือนไม่ตั้งใจ จากนั้นถอนสายตา แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่แก๊งนักหลอมอาวุธ
สำหรับนักฝึกยุทธ์พวกนั้นคิดว่าหลัวซิวยังไม่รู้ว่าพวกเขาหลบซ่อนอยู่ที่นี่ ซึ่งหลัวซิวนั้นไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
เขาคาดเดาว่าการที่คนเหล่านี้ไม่ได้ลงมือทันที น่าจะเป็นเพราะพวกเขากำลังไปเชิญปรมาจารย์ฝึกจิตอยู่ และแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเชิญราชายุทธ์มา ตามรายงานของสำนักเหลยหวู่แล้ว ตนเองนั้นยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเรียกร้องให้ราชายุทธ์เป็นคนออกโรงเอง
ยอดฝีมือที่สามารถฝึกฝนจนถึงแดนราชายุทธ์ ล้วนมีความเย่อหยิ่งของยอดฝีมือราชายุทธ์ และเป็นเรื่องปกติที่จะดูถูกเหยียดหยามเด็กรุ่นหลังระดับล่าง
ปกติสี่องค์กรใหญ่มักจะอยู่ห่างกันไม่มากนัก และไม่นานหลัวซิวก็มาถึงแก๊งนักหลอมอาวุธ
เหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพื่อจะซื้อธงค่าย เพราะไม่ว่าจะยังไงตนเองนั้นก็เป็นอาจารย์ค่ายกลขั้น5 ถ้าไม่ใช้ประโยชน์แล้ว มันก็จะทำให้ความสามารถที่มีอยู่นั้นสูญเปล่า?
แม้ว่าตอนนี้กระแสสัมผัสพลังวิญญาณของเขาจะยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นการสำนึก แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และเขาสามารถควบคุมธงค่ายเพื่อการสร้างค่ายกลระดับ4 ได้แล้ว
ธงค่ายยังถูกแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ตามระดับของค่ายกล เขาต้องการสร้างค่ายกลระดับ4 ซึ่งจำเป็นต้องมีธงค่ายขั้น4
ราคาของธงค่ายขั้น4หนึ่งชุดนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุ ต้องใช้หินพลังจิตประมาณสี่ถึงห้าพันก้อน
แน่นอน นี่หมายถึงธงค่ายที่ว่างเปล่า ซึ่งเป็นค่ายกลที่ไม่มีลายเส้นและสัญลักษณ์ใด ๆ
หากเป็นชุดธงค่ายขั้น4ที่สามารถสร้างค่ายกลได้โดยตรง ราคาจะสูงกว่านี้มาก ซึ่งต้องใช้หินพลังจิตหลายหมื่นก้อนถึงจะสามารถซื้อได้
หลัวซิวซื้อธงค่ายวางเปล่าขั้น4หนึ่งชุด และถ้าเป็นธงค่ายที่มีลายเส้นและสัญลักษณ์สมบูรณ์แล้ว จะมีขายที่แก๊งนักค่ายกลเท่านั้น
“ในฐานะที่ขาเป็นอาจารย์ค่ายกลขั้น5 แม้ว่าข้าจะยังไม่มีการสำนึก แต่ก็น่าจะสามารถสลักลายเส้นและสัญลักษณ์ของค่ายกลระดับ4 บนธงค่ายที่ว่างเปล่าได้?”
หลังจากยื่นหินพลังจิตแล้ว หลัวซิวเก็บธงค่ายที่ว่างเปล่าไว้ โดยคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ
ขณะที่หลัวซิวเดินออกมาจากแก๊งนักหลอมอาวุธ เขาขมวดคิ้ว และเห็นว่าเล่อเผิงเฉิงรออยู่ข้างนอกพร้อมกับจอมยุทธ์พรสวรรค์ของสำนักเหลยหวู่
“หลัวซิว พวกเราพบกันอีกแล้ว”
ด้านนอกของ แก๊งนักหลอมอาวุธ เล่อเผิงเฉิงมองหลัวซิวด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
เขาเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์ระดับแดนฝึกจิตขั้น9 ถ้าอยู่ภายใต้น้ำมือของเขาเองแล้ว เว้นเสียแต่ว่าหลัวซิวจะได้รับการคุ้มครองจากยอดฝีมือขององค์กรนักล่ายุทธ์ มิเช่นนั้นหลัวซิวไม่สามารถหลบหนีไปได้อย่างแน่นอน
สีหน้าของหลัวซิวราบเรียบ เพียงแค่มองเล่อเผิงเฉิงด้วยสายตาที่เย็นชา และมีจอมยุทธ์พรสวรรค์อยู่ข้างหลังเขาอีกสี่คน น่าจะเป็นคนที่เฝ้าอยู่บริเวณประตูขององค์กรนักล่ายุทธ์ก่อนหน้านั้น
เหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ส่งคนมาแค่นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเล่อเผิงเฉิงมีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองมาก และไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น
“คนผู้นี้คือ ‘หลัวซิว’ ใช่ไหม? ดูแล้วยังอายุน้อยอยู่เลย”
“อายุน้อยก็เก่งขนาดนี้ ถ้าต่อไปเติบโตขึ้นแล้วมันจะน่าทึ่งขนาดไหน?”
“แต่น่าเสียดายคราวนี้คนที่ลงมือคือผู้คุมกฎเล่อของสำนักเหลยหวู่ เขาเป็นถึงปรมาจารย์โลกยุทธ์ และที่นี่ก็ไม่ใช่องค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่มีใครสามารถปกป้องเขาได้”
ขณะนี้มีคนมากมายเฝ้าดูอยู่รอบ ๆ และต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา
เล่อเผิงเฉิงจ้องมองหลัวซิว และพบว่าเมื่อเผชิญหน้ากับตนเองแล้ว ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ประหม่าหรือกลัวแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หลัวซิว เพื่อเห็นแก่หน้าหลานสาวเมิ่งเหยา ขอเพียงแค่เจ้ายอมให้จับโดยไม่ขัดขืน ข้าก็จะไม่ทำร้ายเจ้า” เล่อเผิงเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ยอมให้จับโดยไม่ขัดขืน?”
หลัวซิวยิ้มเยาะเย้ย การยอมให้จับโดยไม่ขัดขืนนั้นต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย?
ไม่กล่าวถึงเรื่องที่ว่าตนเองได้สังหารยอดฝีมือของสำนักเหลยหวู่ไปมากมาย แม้แต่สายตาที่เล่อเผิงเฉิงมองตนเองนั้นก็มีแววละโมบ และมีความคิดละโมบอยากได้ความลับจากตนเองแน่นอน
บางครั้ง สัญชาตญาณของนักฝึกยุทธ์นั้นไวมาก และหลัวซิวเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง เล่อเผิงเฉิงไม่มีเจตนาดีต่อตนเองอย่างแน่นอน
“ถ้าอยากจะจับข้า มันก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้คุมกฎเล่อมีความสามารถนั้นหรือไม่?”
หลัวซิวกล่าวอย่างเย็นชา และก้าวเดินไปข้างหน้า
“คนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!” รอยยิ้มบนใบหน้าของเล่อเผิงเฉิงหายไปทันที และร่างกายของเขาก็กลายเป็นภาพลวงตาทันที
ด้วยผลการฝึกตนของปรมาจารย์โลกยุทธ์ ซึ่งการมองด้วยตาเปล่านั้นยากที่จะจับร่องรอยได้ ต้องอาศัยการสำนึกเท่านั้นที่จะสามารถตอบสนองได้
อาศัยพลังการสำนึกและพลังจิตแท้ ปรมาจารย์ฝึกจิตสามารถบดขยี้จอมยุทธ์พรสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่ชั่วพริบตา เล่อเผิงเฉิงก็ปรากฏตัวต่อหน้าหลัวซิว ยื่นมือหนึ่งออกมา พลังจิตแท้ผนึกรวมบนฝ่ามือ อากาศสั่นสะท้าน นิ้วทั้งห้ากางออกไป จากนั้นก็ล็อกคอหลัวซิวเอาไว้
การเคลื่อนไหวนี้เล่อเผิงเฉิงไม่ได้ใช้ทักษะยุทธ์ใด ๆ ด้วยผลการฝึกตนของปรมาจารย์โลกยุทธ์จัดการกับจอมยุทธ์พรสวรรค์ ถ้าเขายังใช้ทักษะยุทธ์ มันคงกลายเป็นเรื่องตลก
ถึงกระนั้น พลังจิตแท้ผนึกรวมในมือนั้นรวดเร็วมาก และแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวได้ว่าไม่เกรงกลัวสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า
ภายใต้มือนั้น แม้แต่ฝึกจิตขั้นปฐมภูมิก็ยากที่จะต้านได้
โสว่หยวนโหย่วที่อยู่กลางฝูงชนจ้องมองฉากนี้ รูม่านตาของเขาหดลง และเตรียมพร้อมที่จะช่วยหลัวซิวตลอดเวลา
และขณะนี้เอง หลัวซิวเคลื่อนไหวทันที เขาปล่อยพลังหมัดออกไปทันที แล้วกระแทกกับฝ่ามือของเล่อเผิงเฉิง
เมื่อเห็นฉากนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ ไอ้หนุ่มคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ?
ผลการฝึกตนของจอมยุทธ์พรสวรรค์ปะทะกับพลังจิตแท้ของปรมาจารย์โลกยุทธ์?
เขาคิดว่าตนเองเป็นร่างยุทธ์สูงสุดหรือ?
สีหน้าของเล่อเผิงเฉิงแสดงความตกใจเล็กน้อย จากนั้นยิ้มเยาะทันที เขารู้ว่าหลัวซิวแสดงความสามารถทางร่างเนื้อของร่างยุทธ์ชั้นสูงในนามของ‘ซิวหลัว’ที่บริเวณใกล้วัดกวนเหลย
กล่าวได้ว่าร่างยุทธ์ชั้นสูงนั้นเป็นวีรบุรุษต่อหน้าจอมยุทธ์พรสวรรค์ แต่ต่อหน้าปรมาจารย์โลกยุทธ์อย่างเขาแล้ว ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้เขาสนใจ
หมัดของหลัวซิวปะทะกับฝ่ามือของเล่อเผิงเฉิงอย่างรุนแรง
พลังจิตแท้ของปรมาจารย์โลกยุทธ์นั้นแข็งราวกับเหล็ก และถึงแม้ร่างกายของหลัวซิวยังไม่ถึงระดับร่างยุทธ์สูงสุด แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงผู้เป็นอมตะคราวที่แล้ว ด้วยพลังของร่างยุทธ์ชั้นสูงนั้นสามารถเปรียบได้กับร่างยุทธ์สูงสุดทั่วไปแล้ว
นี่ยังหมายความว่าร่างกายของเขานั้นเทียบเท่ากับนักยุทธ์ระดับสูง
“บูม!”
พลังอันแข็งแกร่งถูกส่งผ่านไป ซึ่งเป็นพลังที่ดุร้าย ทำให้สีหน้าของเล่อเผิงเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
อย่างไรเสียผลการฝึกตนของปรมาจารย์โลกยุทธ์นั้นไม่ใช่ชื่อเสียงที่จอมปลอม เล่อเผิงเฉิงนั้นสามารถขจัดพลังที่ดุร้ายนั้นได้อย่างง่ายดาย และร่างกายของเขายังคงนิ่ง
ฝ่ายหลัวซิวนั้นกลับถอยออกไปกว่าสิบเมตร
“แดนฝึกจิตขั้น9 ไม่ใช่สหาย ก็คือศัตรู”
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย หมัดมือขวาของเขานั้นชาและเจ็บปวดมาก หากเขาไม่เคยประสบกับการเปลี่ยนแปลงผู้เป็นอมตะ แล้ว เขาอาจจะไม่สามารถรับการโจมตีเมื่อสักครู่ได้
“สามารถรับมือของข้าได้หนึ่งกระบวนท่า ทำให้ข้าตกใจยิ่งนัก น่าเสียดายที่เจ้ายังเด็กเกินไป ถ้าให้เวลาเจ้าอีกสิบปี ข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า”
เล่อเผิงเฉิงยิ้มเยาะเย้ยและกล่าวว่า “แต่เกรงว่าเจ้าจะไม่มีเวลามากขนาดนั้นแล้ว”
“งั้นหรือ?”