ตอนที่ 555 ดูแลเอาใจใส่และห่วงใย
ในช่วงที่ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกัน ลู่เสวี่ยเฉินก็ได้ก้าวเข้ามาอยู่ในชีวิตของเธอเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว
ความดีของเขา ความเอ็นดูของเขาทำให้บางครั้งเธอแยกไม่ออกว่าการแต่งงานครั้งนี้จริงหรือหลอกกันแน่
หากต่อไปหย่ากัน เธอกลัวว่าจะไม่ชิน
แต่ก็คงเป็นเพราะไม่ชินเท่านั้น
ความรักตอนเริ่มต้นมักจะหวานชื่นเสมอ
แต่พอนานไปคงเบื่อหน่าย พอเคยตัวแล้วก็ทรยศหักหลัง พอเหงาเข้าหน่อยก็แอบนอกใจ ถึงอย่างไรมิตรภาพยังน่าเชื่อถือกว่า
อย่างไรก็ตามคนที่ลู่เสวี่ยเฉินชอบก็คือฟังจือหัน
ที่เขาดีกับเธอ เอ็นดูเธอคงมีเหตุผลบางอย่าง แต่ไม่ใช่เพราะความรักแน่นอน
การมีเพื่อนที่ดีสักสองสามคนในชีวิตก็เป็นความสุขที่สดใสดีเหมือนกัน
หลังจากที่ลู่เสวี่ยเฉินออกไป หลินจยาอวี่ก็นอนรอบนโซฟาพลางเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เธอคาดคะเนเวลาครู่หนึ่งคิดว่าลู่เสวี่ยเฉินน่าจะกลับมาแล้ว
แต่ตั้งหน้าตั้งตารอผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงแล้วลู่เสวี่ยเฉินก็ยังไม่กลับมาสักที หลินจยาอวี่จึงอดเป็นห่วงไม่ได้
แม้ผู้ชายออกบ้านกลางค่ำกลางคืนคนเดียวไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง แต่ก็อดไม่ได้เพราะเขาหน้าตาสวยกว่าผู้หญิงเสียอีก
หากเธอไม่ลืมล่ะก็ตอนที่อยู่เมืองไป๋หยาง ในขณะที่ที่พวกเขากำลังกินข้าวด้วยกันอยู่ จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาสารภาพรักกับลู่เสวี่ยเฉินตรงๆ
ไม่ว่ารสนิยมทางเพศอีกฝ่ายจะเป็นแบบไหน จะเห็นได้ว่าลู่เสวี่ยเฉินมักทำให้เป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา
หลินจยาอวี่ลุกพรวดยืนข้างหน้าต่างดึงผ้าม่านมองออกไปข้างนอก
ถึงได้พบว่าข้างนอกมีฝนตกปรอยๆ ภายใต้แสงไฟสิ่งที่ให้ความชุ่มชื้นร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างเงียบๆ ราวกับละอองน้ำค่อยๆ ลอยลงมา
หลินจยาอวี่ยิ่งเป็นห่วงลู่เสวี่ยเฉินมากกว่าเดิมอีก
เธอหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาลู่เสวี่ยเฉินแต่ก็กลัวว่าเขากำลังขับรถอยู่ไม่สะดวกรับสายก็เลยเตรียมส่งข้อความหาเขาเพื่อถามว่าเขาอยู่ไหนแล้วเมื่อไหร่จะกลับมา
และในขณะนั้นเองแสงไฟรถส่องมาจากที่ไกลๆ หลังจากนั้นไม่นานก็เห็นเหมือนรถของลู่เสวี่ยเฉินชะลอขับเข้ามาในบ้าน
ในความงามที่เย็นชาและสีหน้าเป็นกังวลของเธอ อาบย้อมไปด้วยรอยยิ้มเจือจางดั่งสายลม
หลินจยาอวี่เปิดประตูทันทีและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อลู่เสวี่ยเฉินลงจากรถเห็นหลินจยาอวี่ที่ยืนอยู่ตรงประตูก็เลิกคิ้วขึ้นทันที “คุณออกมาได้ยังไง แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อคลุมด้วย ข้างนอกหนาวขนาดนี้ รีบเข้าไปเร็ว…”
ปิดประตูรถวิ่งฝ่าสายฝนเข้ามา เมื่อเข้ามาข้างในแล้วจึงรีบปิดประตูทันที
“เสื้อผ้าคุณเปียกหมดแล้ว คุณไปซื้อของแถวไหนมา” หลินจยาอวี่เอ่ยถาม
“เปียกนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรหรอก รอตั้งนานหิวแล้วใช่ไหม รีบกินซะสิ”
ลู่เสวี่ยเฉินดึงข้อมือของหลินจยาอวี่เดินไปที่โต๊ะอาหารแล้วกดเธอนั่งลงเก้าอี้ จากนั้นจึงเปิดถุงใส่อาหาร
เปิดปุ๊บกลิ่นหอมฉุยก็ลอยฟุ้งออกมาทำเอาหลินจยาอวี่อดกลืนน้ำลายไม่ไหว แต่เธอก็ไม่ได้รีบร้อนแล้วพูดกับลู่เสวี่ยเฉินว่า “คุณรีบขึ้นไปเช็ดผมข้างบนแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ อากาศหนาวอย่างนี้คุณอย่าเป็นหวัดล่ะ”
“คุณกินเถอะ เดี๋ยวผมขึ้นไปอาบน้ำก่อน” ลู่เสวี่ยเฉินเปิดฝากล่องอาหารทั้งหมดให้
“ฉันรอคุณลงมากินพร้อมกันดีกว่า”
“เมื่อกี้ตอนที่รอผมกินไปบ้างแล้ว คุณกินเองเถอะ”
เมื่อลู่เสวี่ยเฉินพูดจบก็เดินขึ้นไปชั้นบนทันที
หลินจยาอวี่มองอาหารเลิศรสหน้าตาน่ากินวางเต็มโต๊ะ รู้สึกเต็มไปด้วยความซาบซึ้งในใจ เธอลากชามโจ๊กข้าวโอ๊ตรังนกมาชิมหนึ่งคำ
ในโจ๊กข้าวโอ๊ตรังนกยังใส่ถั่วแดงมาด้วย เมื่อเข้าปากสัมผัสได้ถึงรสชาติหอมหวานละมุนอร่อยมาก
ตอนที่ 556 ผมคือพ่อของลูก
ในโจ๊กข้าวโอ๊ตรังนกยังใส่ถั่วแดงมาด้วย เมื่อเข้าปากสัมผัสได้ถึงรสชาติหอมหวานละมุนอร่อยมาก
ทาสไข่หอมกลิ่นนมมีชีสเยิ้มๆ อยู่ข้างบน กินเข้าไปแล้วรสชาติหอมหวานเนียนละเอียด
เค้กมะพร้าวเกาลัดโรยด้วยผงมะพร้าวรอบๆ หอมกลิ่นนมสดมากทั้งหอมหวานรสชาติอร่อย
สงสัยคงกลัวว่าเธอกินหวานจนเลี่ยนก็เลยมีผัดผักสองสามอย่างทั้งไข่คนกุ้ง ผัดต้นกระเทียม ตบท้ายด้วยผลไม้จานเล็กอีกหนึ่งจาน
ถึงแม้จะมีอาหารหลากหลายชนิดแต่ปริมาณกลับน้อยนัก มีทุกอย่างที่ทั้งอร่อยและย่อยง่าย อดพูดไม่ได้ว่าลู่เสวี่ยเฉินใส่ใจเป็นอย่างมาก
ไม่แปลกที่เขาไปนานขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ซื้อเพียงร้านเดียวแต่น่าจะตะลอนไปหลายร้าน
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงดีแบบนี้ ดีจนเธออยากได้…
มีประสบการณ์เข้าโรงพยาบาลคราวก่อน แม้เธอจะรู้สึกขอบคุณเขาแต่ก็ไม่กล้ากินมากอยู่ดี
เมื่อกินอิ่มแต่พอดีก็ขึ้นชั้นบน
ลู่เสวี่ยเฉินพึ่งอาบน้ำเสร็จออกมากำลังจะลงไปข้างล่าง เมื่อเห็นหลินจยาอวี่ขึ้นมาแล้วก็ยิ้มมุมปาก “กินหมดแล้วเหรอ”
“ยังกินไม่หมด ฉันไม่กล้ากินเยอะ คุณลงไปกินอะไรสักหน่อยไหม”
“ไม่กินแล้วล่ะ” เสื้อคลุมอาบน้ำหรูหราบนร่างกายของลู่เสวี่ยเฉินถูกถอดออกแล้วแขวนไว้จึงเหลือเพียงชุดนอนสีอ่อน “คุณจะพักก่อนแล้วค่อยนอนหรือจะนอนตอนนี้เลย”
“ถ้าง่วงก็นอน” หลินจยาอวี่นั่งลงข้างเตียง ขยับพิงหัวเตียงด้วยท่าทางผ่อนคลาย “ขอบคุณนะ อร่อยมากเลย”
“ไม่เป็นไร” ลู่เสวี่ยเฉินค่อยๆ เลื่อนสายตาจากใบหน้าลงมายังหน้าท้องของเธอ สายตาพลันอ่อนโยนลง “นี่เป็นลูกของเรา ฉะนั้นมันเป็นหน้าที่ที่ผมควรทำ”
หลินจยาอวี่เอ่ยถามเขา “คุณชอบเด็กไหมคะ”
ลู่เสวี่ยเฉินลูบไล้ริมฝีปากครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตามความจริง “ต้องดูว่าเป็นลูกของใคร ถ้าเป็นลูกของผม ผมต้องชอบแน่นอนอยู่แล้ว”
หลินจยาอวี่กลับมองว่าเขาแสดงท่าทีชอบเด็กคนนี้ เธอจึงตัดสินใจให้ลูกยอมรับลู่เสวี่ยเฉินเป็นพ่อ “ได้ค่ะ เป็นลูกของคุณ ต่อไปคุณต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเขาทำหน้าที่ในฐานะพ่อ ถ้าเป็นแบบนี้เราก็ไม่ต้องหย่ากัน”
ดวงตาของลู่เสวี่ยเฉินเป็นประกายตื่นเต้น
เขาก้าวข้างหน้าสองก้างแล้วนั่งลงข้างเตียง สายตามองหลินจยาอวี่ด้วยความหวังเปี่ยมล้น นัยน์ตาร้ายกาจลึกล้ำซับซ้อน “คุณพูดจริงเหรอ”
หลินจยาอวี่พยักหน้ารับ “จริงแท้แน่นอน แต่ถ้าคุณเจอคนที่ชอบแล้วอยากอยู่ด้วยกันกับเขา หากคุณอยากหย่าก็ย่อมได้ค่ะ”
“ผมไม่หย่า!”
น้ำเสียงของสามคำนี้สูงมาก หลินจยาอวี่คิดว่าเขามีแผนในใจ “หากคุณไม่อยากหย่า อยากให้ฉันช่วยปิดบังเรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาค่ะ ใครใช้ให้เราเป็นเพื่อนกันล่ะ”
ลู่เสวี่ยเฉินชะงักค้างไปชั่วขณะ
ตอนนี้เขาอยากพูดความลับในใจออกมาเหลือเกิน
ใครอยากเป็นเพื่อนกับเธอ เขาเป็นสามีของเธอแล้วก็เป็นพ่อของลูกในท้องตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!
หนังท้องตึงหนังตาหย่อน หลินจยาอวี่นั่งได้ไม่เท่าไหร่ก็เริ่มหาวติดๆ กัน เธอจึงล้มตัวลงนอนช้าๆ ก่อนจะเอ่ยกับลู่เสวี่ยเฉิน “ฉันจะนอนแล้ว คุณก็เลิกทำงานได้แล้ว ดึกแล้วไว้ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้”
ลู่เสวี่ยเฉินสะกดอารมณ์ยุ่งเหยิงในใจ เก็บกวาดเล็กน้อยแล้วล้มตัวลงนอนข้างเตียงอีกฝั่ง
เขาเอื้อมมือปิดโคมไฟ ทันใดนั้นทั้งห้องจึงตกอยู่ในความมือ เขาอาศัยแสงจันทร์รำไรที่ลอดผ่านหน้าต่างมองที่ใบหน้าของเธอ
หากตอนนี้พูดทุกอย่างออกมา
เธอจะตอบโต้อย่างไร
ปัญหานี้ทำเอาลู่เสวี่ยเฉินสับสนอยู่นานสองนาน.