บทที่ 165 บทสรุป
ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่เมืองธารน้ำใสคึกคักที่สุดเสมอ
ในช่วงนี้ น้ำแข็งจะละลาย ธารน้ำเริ่มหลั่งไหล เกิดการขนส่งแลกเปลี่ยนสินค้ากันมากมาย
นับตั้งแต่พันธมิตรตระกูลสายเลือดชั้นสูงล่มสลายไป พวกโจรสลัดใกล้บึงหลิงหยวนก็แทบจะไม่ทำการอะไรอีก
กองกำลังสามสายธารยังคงอยู่ แต่ก็ไม่ปล้นเรือแล้ว พวกเขาเก็บค่าคุ้มครองแทน โดยเก็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเรือลำใดต้องการให้กองกำลังสามสายธารคุ้มภัยก็ทำได้
การค้าอื่น ๆ ในเมืองธารน้ำใสก็เช่นกัน กลุ่มอันธพาลฉางชิงและกลุ่มพยัคฆ์ร้ายคุมตลาดใต้ดินในเมือง ก่อตั้งกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาภายในเมืองธารน้ำใส
เศรษฐกิจเมืองธารน้ำใสจึงเติบโตขึ้นด้วยประการฉะนี้ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี มีกิจการเปิดการค้ามากขึ้นเป็นเท่าตัว
และแน่นอนว่าหลาย ๆ อย่างก็เป็นเพราะผลงานจากกรมพลังต้นกำเนิดและยาสามหยาง
อย่างแรกช่วยสานต่อความมั่นคงให้เมืองธารน้ำใส อย่างหลังช่วยดึงเอาพ่อค้าเข้ามามากขึ้น
อาจกล่าวได้ว่าเวลา 4 ปีหลังจากที่พันธมิตรนั่นหายไป นับเป็น 4 ปีที่ดีที่สุดของเมืองธารน้ำใสในรอบหลายปี ด้วยเหตุนี้ ในเมืองจึงมีการสัญจรมากมาย เมืองเริ่มเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา
ทว่าในวันนี้ เมืองธารน้ำใสดูท่าจะเงียบสนิท ไม่คิดจะสร้างเสียงวุ่นวายสักเล็กน้อย
รถม้าคันหนึ่งค่อย ๆ เคลื่อนไปตามทางถนนยาว
ซูเฉินนั่งอยู่ในรถม้า มองออกไปเห็นว่าทั้งสองฝั่งทางมีแต่ผู้คนที่มายืนส่งเขาจากไป
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเป็นขุนนางของซูเฉิน
ซูเฉินตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อส่งมอบตราก่อนจะออกจากกรมพลังต้นกำเนิด ตอนนี้เขานั่งอยู่บนรถม้า ส่วนคนบังคับคือกังเหยียน
ชาวบ้านที่ได้ยืนข่าวต่างพากันมาส่งเขาคนแล้วคนเล่า
ไม่มีใครร้องไห้คร่ำครวญหาสวรรค์อะไร มีเพียงส่งสายตามองเงียบ ๆ เจือแววไม่ยินยอมเท่านั้น
รถม้าเคลื่อนมาถึงประตูเมืองแล้ว
อันซื่อหยวนยืนรออยู่ตรงนั้นด้วยศีรษะเป็นมันวาว บนใบหน้าเผยรอยยิ้มยินดี ดูท่าจะอารมณ์ดีไม่น้อย
รถม้าหยุดลง ซูเฉินปีนลงมาจากรถม้า “เจ้าเมืองอันมาส่งข้าเองเลยหรือ ? ข้ากลัวเล็กน้อยนะเนี่ย”
อันซื่อหยวนหัวร่อแล้วตบไหล่ซูเฉิน “เจ้ากรมซูเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล ใช้เวลาเพียงสิบปีก็ถอนรากถอนโคนพวกวัชพืชในเมืองธารน้ำใสได้ ทำให้เมืองเจริญรุ่งเรือง พวกข้าเพียงอาศัยบารมีเจ้าพาไปเท่านั้น หากเจ้ายินดีอยู่ต่อ เมืองธารน้ำใสและชาวเมืองทั้งหลายก็คงโชคดีนัก น่าเสียดายที่เจ้ากรมซูมีความทะเยอทะยาน ไล่ตามความฝันยิ่งใหญ่ แดนมนุษย์มีเรื่องวุ่นวายมากหลายจนไม่เหมาะกับเจ้า เป็นภาระเจ้ามากเกินไป พวกข้าก็บังคับเจ้าไม่ได้ ข้ามาเพื่อแสดงความยินดีกับเจ้ากรมซูและมาแสดงความหวังดี หากประสบความสำเร็จงานใหญ่เมื่อไร อย่าลืมกลับมาเยี่ยมเยือนกันบ้างเล่า”
ซูเฉินหัวเราะ “ข้ายังไม่กล้าคิดถึงความสำเร็จใหญ่หรอก แต่ข้ากลับมาเยี่ยมแน่ ถึงข้าจะจากไปแล้ว แต่ครอบครัวข้ายังอยู่ที่นี่ ทั้งคฤหาสน์ซู ทั้งร้านค้าขายรุ่งเรือง สหายทั้งหลายของข้าก็ยังอยู่ที่นี่ เจ้าเมืองอัน ข้ากล่าวตามตรง กิจการ ทรัพยากร และสหายที่ร่วมสู้กันมาในเมืองธารน้ำใส ทั้งหมดล้วนพบเจอได้ยากยิ่ง ข้าอยากให้ท่านช่วยสอดส่องดูแลพวกเขาอย่าให้เกิดเรื่องด้วย”
เขาเน้นคำว่า ‘สหาย’ เป็นพิเศษ
อันซื่อหยวนหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงน้องซู ข้าทำการใดมือสะอาดใจซื่อ เป็นคนมีเหตุผล เรื่องกิจการจะรุ่งเรืองไปตลอดหรือสหายเจ้าจะแข็งแรงไปตลอดหรือไม่ข้าไม่รับปาก แต่ข้าจะทำให้ดีที่สุด ไม่มีปัญหาที่ไม่จำเป็นเกิดขึ้นแน่ เรื่องกิจการกับสหายเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าอยู่ดี”
“ท่านรับคำเท่านี้ก็พอแล้ว” ซูเฉินเอ่ย
“เจ้าเข้าใจก็ดี !” อันซื่อหยวนหัวร่อเสียงดัง
ทั้งคู่คุยกันอีกนิด ก่อนรถม้าจะออกจากเมืองไป อันซื่อหยวนเองก็หันหลังเดินจากมาเช่นกัน
ที่นอกเมือง หวังเหวินซิ่น กั่วหลง และเจียงซีสุ่ยต่างยืนรออยู่
เมื่อเห็นว่ารถม้ากำลังใกล้เข้ามา หวังเหวินซิ่นกับกั่วหลงก็คำนับพร้อมกัน “เจ้ากรมซู”
“ข้าไม่ใช่เจ้ากรมแล้ว เป็นคนธรรมดาเท่านั้น เรียกแค่คุณชายก็ได้” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “หลังข้าไป สถานการณ์ที่นี่คงเปลี่ยนไปเร็วนัก เรื่องในกลุ่มอันธพาลฉางชิงและกลุ่มพยัคฆ์ร้ายต้องเปลี่ยนแปลงแน่ และอันซื่อหยวนก็คงเพิ่มกำลังใหม่ขึ้นอีก หวังว่าพวกเจ้าจะจำคำแนะนำข้าไว้ อย่าเผชิญหน้ากับอันซื่อหยวน ใครกล้าก็เข้าตำรับตั๊กแตนตำข้าวพยายามหยุดรถม้า สุดท้ายก็จะถูกขยี้เละ”
หวังเหวินซิ่นและกั่วหลงเหลือบมองกันแล้วรับคำ “พวกเรารับคำคุณชาย !”
เบื้องหน้าพวกเขาตกลง ทว่าซูเฉินรู้ว่าในใจพวกเขามีแววไม่ยินยอม ดังนั้นชายหนุ่มจึงปล่อยพวกเขาไป
เส้นทางใครก็เส้นทางมัน ชะตาใครก็ชะตามัน
หากพวกเขาคิดสู้ ชายหนุ่มก็ไปหยุดไม่ได้
อันซื่อหยวนรับปากแล้วว่าสหายของเขาจะ ‘แข็งแรง’ อยู่ ฉะนั้นหากไม่ทำผิดร้ายแรง อันซื่อหยวนก็คงไม่คิดสังหาร
เขาเหลือบมองเจียงซีสุ่ย กลับได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะใส่ “ข้าส่งกองกำลังสามสายธารให้หงเฟยแล้ว หานเยี่ยนส่งคำมาว่านางพบปัญหา ขอให้ข้าไปช่วย”
“โอ้ ? ยินดีด้วย” ซูเฉินหัวเราะ
จีหานเยี่ยนเชิญเจียงซีสุ่ยเองเช่นนี้ หมายความว่านางมองเจียงซีสุ่ยเปลี่ยนไปแล้ว
เจียงซีสุ่ยตอบกลับ “ก็เพราะได้เจ้าเตือนสติ ทำให้ข้ารู้ว่าจะไล่รักใครด้วยใจหลงใหลงมงายเช่นนั้นอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดเสมอไป ทำตนเองให้ดีที่สุดนั่นล่ะสำคัญกว่า”
“ไม่ต้องขอบคุณข้า คืนหินพลังต้นกำเนิดล้านก้อนนั่นให้ข้าก็พอ”
เจียงซีสุ่ยว่า “ข้าว่าขอบคุณนี่ล่ะดีแล้ว ถูกกว่าแยะ”
ทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นก็หัวเราะลั่นออกมา
“ใช่สิ แล้วอวิ๋นเป้าเล่า ?” ซูเฉินถามขึ้น
“อ้อ เจ้านั่นอยู่หลังต้นไม้ไม่อยากออกมา โกรธที่เจ้าไม่ยอมรอน่ะ” เจียงซีสุ่ยหัวเราะ
อวิ๋นเป้ายังฝึกฝนอยู่กับกองกำลังลับ และภายหลังก็ได้ออกทำภารกิจ เดิมทีเขาอยากให้ซูเฉินรอเขาก่อน ทั้งสองจะได้ออกจากเมืองธารน้ำใสด้วยกัน แต่ว่าซูเฉินไม่รอ ทั้งยังคิดจะจากไปในวันเดียวกัน จะไม่ให้ผิดหวังก็คงไม่ได้
ซูเฉินรู้สึกขบขันนัก พลันตะโกนไปทางต้นไม้ “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ? ว่าข้ามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการ เจ้าเสร็จงานเจ้าก็มาที่เมืองภูผาเมินไม่ได้หรือไร ?”
อวิ๋นเป้าเผยกายออกมาจากหลังต้นไม้
เขาจ้องซูเฉินเขม็ง “ข้าไม่ได้โกรธที่เจ้าไม่รอ แต่โกรธเพราะเจ้าไม่ฟังมากกว่า ข้าสัมผัสได้ว่าครั้งนี้เจ้าจะได้ตกอยู่ในอันตรายหนักทีเดียว !”
ซูเฉินหัวเราะอีก “แล้วมีที่ใดไม่อันตรายบ้าง ? อย่าลืมว่าพวกเราต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญ พบอันตรายเพื่อก้าวหน้า อีกทั้งที่ใดยิ่งอันตรายยิ่งได้รางวัลกลับมามาก”
อวิ๋นเป้าคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็เดินมากอดซูเฉิน “โชคดี !”
คุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะพากันแยกย้ายไป
ซูเฉินกลับรถม้า กังเหยียนจึงเดินหน้าขับรถม้าต่อไป
พวกเขามุ่งหน้าต่อไปเรื่อย ๆ จนหายลับไปจากสายตา
ซูเฉินเอนร่างพิงผนังรถม้าแล้วเอ่ยคำ “เอาล่ะ ออกมาได้แล้ว”
ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมา เยี่ยเม่ยพลันปรากฏกายในรถม้าของซูเฉินเช่นกัน
“มีสหายดีจริง ! ทุกคนล้วนห่วงใยเจ้า แต่ไม่ต้องห่วง มีอารามนิรันดร์อยู่ย่อมขจัดภัยทั้งหลายหายสิ้น !” เยี่ยเม่ยว่าเสียงมั่นใจสุดขีด
“แล้วหากภัยนั่นมาจากอารามนิรันดร์เสียเองเล่า ?” ซูเฉินตอกกลับ
“หือ ?” เยี่ยเม่ยอึ้งไป จากนั้นหัวเราะร่า “จะเป็นไปได้ยังไงกัน ?”
ซูเฉินคลี่ยิ้ม “ข้าสมมุติเอาเท่านั้น เราเดินทางกันต่อเถอะ”
“ไปกันเลย !” เยี่ยเม่ยร้องเสียงตื่นเต้น