ภาคที่ 2 บทที่ 1 เข้าสถาบัน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

ภาค 2 บทที่ 1 เข้าสถาบัน

เมืองฉางผานจะมีบรรยากาศงดงามที่สุดในรอบปีช่วงปลายเดือนเก้า

ในช่วงนี้ของทุกปี ดอกไอริสจะเริ่มผลิบาน ก่อเกิดเป็นทะเลบุปผาสีสันสวยงามกว้างใหญ่

ด้านข้างคลื่นทะเลบุปผาคือกำแพงอิฐสีแดงที่ทอดตัวยาวไปถึงตีนเขายาวออกไปสิบลี้ กำแพงสูงใหญ่นี้แยกสองฝั่งออกจากกันโดยสมบูรณ์

ตัวกำแพงทอดยาวคดเคี้ยวไปตามทางราวกับกำแพงยักษ์ มองดูคล้ายกับมังกรที่หัวและหางติดต่อกัน เกิดเป็นวงกลมขนาดใหญ่ มันมีเขา มีส่วนหัว มีส่วนลำตัว กรงเล็บ และส่วนหาง และด้วยความที่มันมีรูปร่างดั่งมังกรเร้นกายนี่เอง จึงทำให้สถาบันแห่งนี้ได้ชื่อว่าสถาบันมังกรซ่อนเร้น อีกทั้งยังมีกำแพงส่วนที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นนัยน์ตามังกรโดยเฉพาะ ดังนั้นโดยรวมแล้วสถาบันมังกรซ่อนเร้นจึงสามารถแยกออกได้เป็นหกส่วน

ในวันนี้สถาบันมังกรซ่อนเร้นคึกคักเป็นอย่างมาก

ที่ประตูทางเข้ามีผู้คนมากมาย ผู้ผ่านการทดสอบหลากหลายคนเดินทางมาในวันนี้ บางคนถึงกับมีครอบครัวมาส่ง ผู้คนสัญจรอยู่ภายในไม่หยุดหย่อน มีผู้คนยืนสนทนากันมากมายนับไม่ถ้วน รถม้าสลักชื่อตระกูลทั้งหลายวิ่งอยู่ทั่วท้องถนน

ผู้ที่กำลังเดินเข้าไปยังประตูใหญ่นั้น 8 ใน 10 คนคือผู้ที่มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง

ด้วยเหตุฉะนี้ รถม้าคันเล็กของตระกูลซูจึงไม่อาจให้ผู้อื่นเห็นได้ มันถูกบีบให้อยู่มุมห่างไกลสายตาผู้คน หมิงชูยืนอยู่ในรถม้า มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความกังวล “เหตุใดนายน้อยจึงยังไม่ถึงเล่า ? วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการลงทะเบียนแล้วนะ ! หากนายน้อยพลาดวันนี้ไปก็อาจไม่ได้เข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้วก็เป็นได้ !”

“เหตุใดเจ้าจึงรีบร้อนนัก ?” หลี่ชู่หัวเราะ “นายน้อยรักษาคำพูดนัก หากนายน้อยบอกว่าจะมาวันนี้ ย่อมต้องมาวันนี้ เจ้าอดทนรอหน่อยเถอะ”

จากนั้นเวลาก็ผ่านไปเรื่อย ก่อนที่ทั้งสองคนจะทันรู้ตัว พระอาทิตย์ก็เคลื่อนลงเทียบขอบฟ้าแล้ว

ศิษย์สถาบันจำนวนมากเดินทางเข้าประตูใหญ่ไป เสียงผู้คนอึกทึกครึกโครมจางลง พระอาทิตย์ใกล้จะตกเต็มที ทันใดนั้นเอง เงาดำสองเงาก็ทอดยาวมาจากที่ไกล

“นายน้อยนี่ ! นายน้อย พวกข้าอยู่นี่ !” หมิงชูสายตาเฉียบคม เมื่อเห็นซูเฉินอยู่ไกล ๆ ก็ตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น

เมื่อได้ยินเสียงนั้น ซูเฉินก็เงยหน้ามองภาพเบื้องหน้า จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา

ยามซูเฉินเดินเข้ามาใกล้ ทั้งสองก็พบว่าหลังจากออกเดินทางไป 2 เดือน สภาวะอารมณ์ของนายน้อยมั่นคงมากขึ้น นัยน์ตาส่องประกายถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เด็กหนุ่มในวัยเขาไม่มี

หลี่ชู่เอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ “ 2 เดือนแล้วที่ข้าไม่ได้พบนายน้อย นายน้อยดูผอมลงนะขอรับ”

ซูเฉินหัวเราะ “ไม่ขนาดนั้นหรอกกระมัง แต่ก็ขอบใจ ที่ตระกูลเป็นอย่างไรบ้าง แล้วท่านแม่เล่า ?”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ ว่าแต่เดินทางครั้งนี้นายน้อยได้ออกไปเปิดประสบการณ์หรือไม่ ?” หลี่ชู่ถามยิ้ม ๆ

“ข้าเพียงออกไปยืนยันความคิดที่มีอยู่ก่อนหน้า” ซูเฉินตอบ ทอดสายตามองไปไกล “แม้เรื่องบางอย่างจะไม่ได้ซับซ้อนเป็นปริศนามากนัก แต่ข้าจำต้องไปเห็นด้วยตาตนเองจึงจะสามารถเข้าได้มันได้อย่างถ่องแท้”

“นายน้อย ตอนนี้ลืมเรื่องอื่นไปก่อนเถอะขอรับ รีบไปลงชื่อได้แล้ว หากช้ากว่านี้ทางสถาบันจะไม่ยอมให้เข้าไปแล้วนะขอรับ” หมิงชูกล่าว

เมื่อได้ยินดังนั้น ซูเฉินจึงมุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ลงทะเบียนของทางสถาบัน

อาจเพราะตอนนี้ใกล้จะหมดเวลาแล้ว จึงมีเพียงคนหนึ่งคนนั่งอยู่ยังโต๊ะลงทะเบียน ผู้ที่นั่งอยู่คือชายวัยกลางคน บนใบหน้ามีหนวดอยู่บ้าง เขานั่งอยู่ตรงนั้นดูสง่าผ่าเผย

เมื่อเห็นว่าซูเฉินเดินตรงเข้ามา ชายวัยกลางคนก็เอ่ยขึ้น “ส่งป้ายประจำตัวให้ข้า”

ศิษย์ทุกคนจะมีป้ายประจำตัวอยู่ พวกเขาได้รับมันมาหลังจากจบการประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น

ซูเฉินส่งป้ายประจำตัวให้ จากนั้นชายวัยกลางคนจึงเอ่ยขึ้น “ซูเฉิน ลำดับที่ 5 จากการสอบที่มณฑลสามเทือกเขา หน่ออ่อนระดับสอง เจ้าได้พักที่หอเมฆสงบ ห้องที่ 12”

ซูเฉินนั้นรู้มาก่อนแล้วว่าสถาบันมังกรซ่อนเร้นแบ่งเหล่าศิษย์ออกเป็นหลายระดับ ระดับหนึ่งคือพวกอัจฉริยะ และยังมีอีกสองระดับลดหลั่นลงมา ส่วนศิษย์ที่เหลือเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาเท่านั้น ผู้ที่รั้งอันดับ 1 ใน 3 ในการสอบของเขตตนนับเป็นศิษย์ระดับหนึ่ง อันดับที่ 4 จนถึง 10 นับเป็นศิษย์ระดับสอง และลดหลั่นลงมาจนถึงอันดับ 20 ที่เป็นคือศิษย์ระดับสาม

ศิษย์แต่ละระดับจะมีอำนาจในมือต่างกัน

ศิษย์ธรรมดาไม่อาจนำข้ารับใช้ติดตัวมายังสถาบันได้ พวกเขาพักอยู่ที่เรือนพักธรรมดา ไม่ได้รับเงินพิเศษใด ทั้งหมดนี้คือกฎของทางสถาบัน

ส่วนผู้ที่นับเป็นหน่ออ่อนของสถาบันจะมีอำนาจพิเศษ

ชายวัยกลางคนเคราหนายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ซูเฉิน ในนั้นคือกฎที่ศิษย์แต่ละระดับต้องทำตาม

ด้วยฐานะศิษย์ระดับสอง ซูเฉินจะได้รับประโยชน์ 5 อย่างด้วยกัน

  1. สามารถนำข้ารับใช้ติดตัวมาได้หนึ่งคน

  2. เขาสามารถอยู่ในเรือนพักที่มีพลังงานต้นกำเนิดหนาแน่นกว่า

  3. เขาสามารถเลือกอาจารย์ส่วนตัวได้

  4. เขาจะได้รับคะแนนอุทิศ 100 คะแนน

  5. เขามีสิทธิ์ได้รับสิทธิ์พิเศษ 9 ระดับ

คะแนนอุทิศคือเอกสิทธิ์ที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นมอบให้กับเหล่าศิษย์ มันเป็นคะแนนที่ใช้เข้าสถานที่พิเศษต่าง ๆ เช่น หอตำรา

คะแนนพวกนี้สามารถหาได้จาก 2 วิธีเท่านั้น วิธีแรกคือการที่ศิษย์เหล่านี้ทำงานต่าง ๆ ที่ทางสถาบันมอบหมาย เพื่อรับคะแนนอุทิศ ส่วนอีกวิธีนั้นมีไว้สำหรับศิษย์ที่มีความสามารถโดดเด่น โดยพวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นคะแนนอุทิศจากการแข่งขัน การฝึกฝน และการสอบมากมายหลายประเภท ที่ทางสถาบันมังกรซ่อนเร้นจัดขึ้น

และหากงานเหล่านั้นถูกจัดขึ้นโดยทางการ โดยปกติแล้วมันก็จะมีคะแนนอุทิศเป็นรางวัล อย่างไรในสถาบันมังกรซ่อนเร้นแห่งนี้ ความสามารถและความแข็งแกร่งนับเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นปกติแล้วเหล่าศิษย์จะได้รับคะแนนอุทิศจากการมีความสามารถโดดเด่นมากกว่าการทำภารกิจสำเร็จลุล่วง

ในฐานะที่เป็นอันดับที่ 5 จากการสอบที่มณฑลสามเทือกเขา คะแนนอุทิศ 100 คะแนนที่เขาได้รับมานั้นถือเป็นรางวัลแด่ความสามารถโดดเด่นในการสอบ

สำหรับคนอื่น ๆ แล้ว การได้รับ 100 คะแนนเช่นนี้เป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง

การเป็นหน่ออ่อนของสถาบันแห่งนี้จะได้รับประโยชน์มากมายหลายอย่าง

หากแต่ประโยชน์ต่าง ๆ ที่ศิษย์ธรรมดาและหน่ออ่อนของสถาบันมีนั้นไม่ได้กำหนดตายตัว

ทางสถาบันจะมีการแข่งขันใหญ่เพื่อจัดลำดับศิษย์ขึ้นทุกปี หากเหล่าหน่ออ่อนทำได้ไม่ดี ตำแหน่งหน่ออ่อนก็จะถูกส่งต่อไปให้ศิษย์คนอื่น ๆ แทน เหตุที่ทำเช่นนี้เพื่อส่งเสริมเหล่าศิษย์ให้มีความมุมานะและไม่ให้เกียจคร้านสันหลังยาว หลังจากการแข่งขันใหญ่ครั้งนี้ อาจมีบางคนที่ได้รบฉายา ‘หน่ออ่อนขั้นสุดยอด’ ได้รับเงินและสิทธิ์ต่าง ๆ มากขึ้นกว่าเดิม

เขาไล่อ่านกฎต่าง ๆ แล้วถามขึ้น “ข้าต้องเลือกอาจารย์ส่วนตัวเลยหรือไม่?”

ชายวัยกลางคนหัวเราะ “ย่อมไม่เลือกเร็วเช่นนั้น ศิษย์ส่วนมากยังไม่รู้จักอาจารย์มากนัก หากต้องเลือกในทันทีคงเหมือนตาบอดคลำช้าง (1) ทางสถาบันมีกฎเพียงว่าเจ้าต้องเลือกอาจารย์ภายในหนึ่งปีหลังจากเข้าศึกษา ซึ่งการที่ศิษย์เลือกอาจารย์เช่นนี้นับได้ว่ากดดันกับเหล่าอาจารย์มากพอสมควร หากอาจารย์ไม่มีความสามารถมากพอ ไม่อาจรับศิษย์มาสั่งสอนได้ อาจารย์ท่านนั้นก็อาจเสียตำแหน่งอาจารย์ได้เช่นกัน”

ซูเฉินรู้สึกราวกับอีกฝ่ายกำลังพยายามบอกสิ่งใดกับเขาอยู่

“เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ข้าคงยังไม่จำเป็นต้องรีบเลือก” ซูเฉินกล่าว

“อืม” ชายวัยกลางคนเอ่ย “ข้าจะอธิบายสั้น ๆ ก็แล้วกัน สถาบันมังกรซ่อนเร้นเปิดสอนทั้งหมด 31 วิชา เช่น วิชาประวัติการพัฒนาพลังต้นกำเนิด วิชายันต์พลังต้นกำเนิด วิชาทักษะการดูดซับเบื้องต้น วิชาค่ายกลพลังต้นกำเนิด วิชาวัตถุดิบ วิชาธาตุพลังต้นกำเนิด วิชาชีววิทยา วิชาสมุนไพร และวิชาปรุงยาเป็นต้น วิชาเหล่านี้เป็นวิชาเปิด สามารถดูเวลาและสถานที่เรียนได้จากตารางเวลา”

“เจ้านั้นสามารถเลือกวิชาที่ต้องการเรียนและวิชาที่ต้องการมุ่งเน้นเองได้ ทางสถาบันไม่ปิดกั้นเจ้า แต่อย่างไรก็ยังมีเคล็ดเรื่องวิชาที่จำเป็นต้องเข้าเรียนอยู่บ้าง ปกติแล้วทางสถาบันไม่แนะนำให้เจ้าเรียนหลายวิชาเกินไปในคราเดียว และวิชาที่เลือกเรียนจำต้องมีความเกี่ยวข้องกันบ้าง เช่น หากเจ้าต้องการเป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกลต้นกำเนิด วิชาค่ายกลต้นกำเนิดขั้นพื้นฐาน วิชาวัตถุดิบ และวิชาการแปลงพลังต้นกำเนิด ก็ถือเป็นวิชาที่เจ้าจำเป็นต้องเรียน”

“แต่หากเจ้าอยากเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุและปรุงยา เจ้าก็จำเป็นต้องเรียนวิชาสมุนไพร ชีววิทยา และวิชาปรุงยาเป็นต้น ทว่าหากเจ้าอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่เก่งกาจ งั้นก็ควรเรียนวิชาทักษะการดูดซับเบื้องต้น วิชายันต์พลังต้นกำเนิด และวิชาประวัติการพัฒนาพลังต้นกำเนิด……”

หลังจากฟังที่ชายวัยกลางคนอธิบายแล้ว ซูเฉินก็เริ่มเข้าใจวิธีการเลือกเรียนแต่ละวิชาในสถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้ว

โดยพื้นฐานแล้วคือสถาบันมังกรซ่อนเร้นนั้นใช้กลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกับการเลี้ยงแบบปล่อยไม่ใช่แบบควบคุม เหล่าศิษย์นั้นมีอิสระในการเลือกเรียนวิชาตามใจตน แต่ทว่าพวกเขาก็ได้รับการกดดันไปในตัวด้วยเช่นกัน

หากแต่วิชาเปิดเหล่านี้เป็นเพียงวิชาขั้นพื้นฐานเท่านั้น หากคนผู้นั้นต้องการเรียนรู้ให้ลึกกว่าเดิม และต้องการให้มีอาจารย์ช่วยชี้แนะวิชาและการบ่มเพาะพลังแล้ว คนคนนั้นจำเป็นต้องหาอาจารย์ส่วนตัวที่ทุ่มเทมาสักคน

อาจารย์ส่วนตัวเองก็มีความสัมพันธ์กับเหล่าศิษย์หลายระดับ บางครั้งเป็นเพียงอาจารย์กับศิษย์ธรรมดา บางครั้งเป็นศิษย์ส่วนตัว และบางครั้งก็อาจเป็นศิษย์ผู้สืบทอด

เหล่าศิษย์ที่ศึกษาในวิชาเปิดต่าง ๆ คือเหล่าศิษย์ธรรมดาทั้งสิ้น มีเพียงศิษย์ที่เลือกอาจารย์ส่วนตัวแล้วจึงจะเรียกได้ว่าเป็นศิษย์ส่วนตัว และท่ามกลางศิษย์ส่วนตัว อาจารย์ทั้งหลายก็จะเลือกศิษย์ส่วนตัวที่มีความสามารถโดดเด่น เป็นที่ชื่นชอบขึ้นมาสักสองสามคน ก่อนจะเรียกพวกเขาว่าศิษย์สืบทอด และพวกศิษย์สืบทอดเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นผู้ที่จะสืบต่อวิชาความรู้ต่าง ๆ ที่อาจารย์สั่งสอนไว้ให้ต่อไป

“ขอบคุณท่านที่ชี้แนะ” ซูเฉินทำความเคารพชายวัยกลางคนมีหนวด ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจเรื่องทั่วไปของสถาบันแล้ว

ชายหนวดยาวลูบหนวดตนพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะ “ข้ามีนามว่าลี่หงหย่วน เป็นอาจารย์ของสถาบันแห่งนี้ เชี่ยวชาญในการกำหนดและการสร้างยันต์พลังต้นกำเนิด โดยเฉพาะประเภทไฟ หากเจ้าสนใจก็มาเรียนกับข้าได้”

บรรดาอาจารย์ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นเองก็มีหน้าที่ของตน ใครที่สอนศิษย์มากที่สุดและสามารถสอนได้ดีที่สุดจะได้รับฐานะและรางวัลสูงขึ้น ทั้งยังได้รับเกียรติมากมาย ทำให้บางครั้งพวกอาจารย์ก็ถึงกับต่อสู้เพื่อชิงศิษย์มีฝีมือกัน เช่นนี้จึงไม่แปลกที่ชายมีหนวดผู้นั้นจะเอ่ยเสนอตนขึ้นมา

เชิงอรรถ

ตาบอดคลำช้าง หมายถึง เข้าใจผิด