บทที่ 270 คิดถึง
บทที่ 270 คิดถึง

หลี่หรงเอ่ยทัดทานเสียงแข็งกับพ่อของเธอ เนื่องจากรอบนี้หลี่จิงเทียนทำเกินไปจริง ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพี่ชายของเธอเป็นคนที่ไม่สามารถไว้ใจได้เลย หากปล่อยไปเฉย ๆ แม้แต่ตัวเธอเองก็คงต้องระแวงไปด้วยว่าในอนาคตจะโดนพี่ชายของเธอแทงข้างหลังวันไหน

“พ่อรู้…”

หลี่ชงซานไม่ได้รู้สึกโกรธลูกสาวของเขาเลยที่ทำเสียงแข็งใส่ พูดตามตรงแม้แต่เขาเองก็อยากจะให้ลูกชายของเขาเผชิญกับผลที่ตามมาเช่นกัน

แต่น่าเสียดายที่หลี่จิงเทียนคือลูกชายแท้ ๆ ของเขา ดังนั้นไม่ว่ายังไงด้วยความเป็นพ่อ ก็ไม่สามารถดูอยู่เฉย ๆ ได้

“แต่เทียนเอ๋อร์เป็นลูกชายของพ่อ พ่อไม่สามารถทนเห็นเขาอยู่ในคุกโดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้!”

“ฮ่าวหราน ลูกก็น่าจะรู้ว่าเม่ยเอ๋อร์เอ็นดูเทียนเอ๋อร์มากที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโต เม่ยเอ๋อร์ปกป้องน้องชายเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร…เฮ้อ…เพื่อ…เพื่อเม่ยเอ๋อร์ ลูกช่วยเทียนเอ๋อร์สักครั้งจะได้ไหม?”

หลี่ชงซานจนปัญญากับเรื่องนี้จริง ๆ จนเขาจำเป็นต้องขอร้องในนามของหลี่เม่ย

แน่นอนว่าเมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่หรงก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก

“พ่อ! เพราะพ่อให้ท้ายพี่รองแบบนี้ตั้งแต่เด็ก พอโตมาเขาเลยเสียคนแบบนี้ยังไงล่ะ!”

เธอไม่ต้องการให้โอกาสพี่รองของเธออีกต่อไปแล้ว เธออยากให้พี่รองของเธอได้ชดใช้บ้าง

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เขาเงียบลงและครุ่นคิดอย่างหนัก จนเวลาผ่านไปพักใหญ่จึงค่อย ๆ ตอบกลับ

“เอางั้นก็ได้ ผมจะช่วยเขาครั้งนี้”

“ฮ่า ๆ ดี ดี!”

หลี่ชงซาน รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกสำเร็จ เขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น

เขาเชื่อว่าถ้าหากอวี้ฮ่าวหรานรับปากแล้ว ลูกชายของเขาจะต้องรอดแน่นอน

ตั้งแต่วันที่หลี่จิงเทียนถูกจับเข้าคุก เขากินไม่ได้นอนไม่หลับเลยจนท้ายที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าเอ่ยปากขออวี้ฮ่าวหราน

“เอาล่ะ เอาล่ะ ถ้างั้นวันนี้อยู่กินข้าวกันก่อนก็แล้วกัน!”

หลังจากอารมณ์ดีขึ้นแล้ว หลี่ชงซานจึงถือโอกาสชวน

อวี้ฮ่าวหรานและหลี่หรงไม่ได้กินอะไรในงานเลี้ยงเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเขาจึงหิวพอดี พวกเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธที่จะอยู่ต่อ

ที่โต๊ะอาหาร หลี่ชงซานเอ่ยถามเกี่ยวกับเครือฮ่าวหรานเรื่อย ๆ และเมื่อรู้เรื่องความก้าวหน้าทุกอย่างเรียบร้อย เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม

“ฮ่าวหราน ลูกนี่มหัศจรรย์จริง ๆ ผ่านไปไม่เท่าไหร่ ลูกทำให้เครือฮ่าวหรานใหญ่โตได้ขนาดนี้แล้ว พ่อล่ะละอายตัวเองจริง ๆ พอเทียบกับลูก…”

สีหน้าของหลี่ชงซานนั้นดูเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด เขารู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในการให้อวี้ฮ่าวหรานสืบทอดบริษัท

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานกลับยังคงอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว

เมื่อครู่ การที่หลี่ชงซานเอ่ยถึงหลี่เม่ย มันทำให้เขารู้สึกนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตจนท้ายที่สุดเขาอดไม่ได้ที่จะถามกลับ

“ก่อนที่จะจะถูกพาตัวไป หลี่เม่ยได้พูดอะไรไว้บ้างหรือเปล่า?”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ทั้ง หลี่หรงและหลี่ชงซานต่างเงียบลง

การจากไปของหลี่เม่ยนั้นเป็นแผลลึกในใจของหลี่ชงซานมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อถูกถาม จึงรู้สึกหดหู่พลางนึกถึงเรื่องในวันนั้น

“ในวันนั้นหลี่เม่ยไม่ได้พูดอะไรเลย เธอแค่ถูกแม่ชีคนนั้นพาตัวไป ถ้าฉันรู้ว่าเรื่องราวมันจะกลายเป็นแบบนั้น ฉันคงไม่มีทางคุยกับตระกูลอู๋เรื่องแต่งงาน…”

หลังจากพูดจบ หลี่ชงซานก็ถอนหายใจด้วยความละอาย

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ถามอะไรต่อเช่นกัน เขาทำเพียงแค่ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย

ในตอนนี้เขายังไม่ได้เบาะแสอะไรของหลี่เม่ยเลย นอกจากคำบอกเล่าที่ว่าถูก ‘แม่ชี’ พาตัวไป ด้วยเบาะแสแค่นี้ การหาตัวหลี่เม่ยมันจึงไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยจริง ๆ

หลังจากกินอาหารเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานพาหลี่หรงกลับทันที

ระหว่างขับรถอยู่ อวี้ฮ่าวหรานก็โทรไปหาเฉิงกัวอัน

“ฮัลโหล ฮ่าวหราน? นายมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

“ผมอยากรู้ว่าในตอนนี้หลี่จิงเทียนอยู่ในคุกแล้วใช่ไหม? มีทางไหนที่จะสามารถทำให้เขาถูกปล่อยตัวได้หรือเปล่า?”

“หลี่จิงเทียน? ไม่ใช่ว่าไอ้หนุ่มนั่นมันทำให้นายเดือดร้อนไม่ใช่เหรอ?”

เฉิงกัวอันถามกลับด้วยน้ำเสียงุนงง หากเป็นเขา คงไม่มีทางปล่อยไอ้ตัวปัญหาแบบนี้ให้ลอยนวลแน่ ๆ

“คุณอย่าถามอะไรอีกเลย เอาเป็นว่ามีทางที่จะช่วยหลี่จิงเทียนได้บ้างหรือเปล่า?”

อวี้ฮ่าวหรานถามกลับอีกครั้ง ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะงุนงงกับคำถามของตัวเอง ในเมื่อเขารับปากหลี่ชงซานไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องพยายามอย่างถึงที่สุด

“นี่มัน…เฮ้อ…ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะลองใช้เส้นสายของฉันดู และบวกกับที่นายเป็นผู้เสียหายด้วยแล้ว ฉันคิดว่ามันน่าจะพอมีทางอยู่บ้าง”

ถึงแม้ว่าเฉิงกัวอันจะไม่เข้าใจสักเท่าไหร่กับคำขอของอวี้ฮ่าวหราน แต่เพื่อความสัมพันธ์ของพวกเขา จึงตอบตกลงอย่างตะขิดตะขวงใจ

“แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ดังนั้นนายคงต้องรอหลายวันหน่อย”

“ได้ ไม่มีปัญหา”

หลังจากคุยกันเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานจึงวางสายไป

มันดีเหมือนกันที่ต้องรอหลายวัน เพราะเขาอยากให้หลี่จิงเทียนได้รับบทเรียนจากการกระทำของตัวเองบ้าง

กว่าทั้งคู่จะกลับไปถึงคอนโดมันก็เป็นเวลาบ่ายสาม

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่อยู่ในรถ หลี่หรงไม่พูดอะไรเลยซึ่งมันแปลกประหลาด

“เป็นอะไรไป? มีเรื่องอะไรกวนใจเธอเหรอ?”

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงเอ่ยถามขึ้นสีหน้าสงสัย ปกติแล้วน้องภรรยาของเขาไม่ใช่คนเงียบแบบนี้

“ไม่หรอก ฉันแค่…”

เมื่อได้ยินคำถามของพี่เขยตัวเอง หลี่หรงอยากจะตอบกลับแต่เธอก็ไม่กล้า…

อย่างไรก็ตาม หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่หรงรวบรวมความกล้าก่อนที่จะถามออกไป “พี่เขย พี่ยังคิดถึงพี่สาวของฉันมากเลยใช่ไหม?”

หลี่หรงคิดถึงพี่สาวของเธอมากเช่นกัน แต่พอเธอนึกถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอวี้ฮ่าวหราน ในตอนที่ได้ยินพ่อของเธอเอ่ยชื่อพี่สาวของเธอออกมา เธอกลับมีความรู้สึกที่หลากหลายซึ่งส่วนใหญ่มันทำให้เธอรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง

“หลี่เม่ย? แน่นอน!”

อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับได้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญกับคำถามนี้ กว่าสามหมื่นปีที่เขาคิดถึงแต่หลี่เม่ย ดังนั้นตอนนี้เขาจะไม่คิดถึงภรรยาของตัวเองได้ยังไง?

เขาอุตส่าห์ฝ่าฝันอุปสรรคตั้งมากมายก็เพียงเพราะหลี่เม่ยและถวนถวน!

มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้ของเขาได้!

ในตอนเย็นหลังจากไปรับถวนถวนเรียบร้อยและกินข้าวเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง

“พรุ่งนี้พวกเราไปเที่ยวกันดีกว่า!”

การที่ได้ยินชื่อหลี่เม่ยวันนี้ มันทำให้เขารู้สึกอารมณ์ไม่มั่นคง ดังนั้นเขาจึงไม่มีสมาธิที่จะบ่มเพาะ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงอยากออกไปเที่ยวเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเอง

“หืม?”

หลี่หรงอึ้งไปพักหนึ่งเมื่อได้ฟังคำพูดนี้

“พรุ่งนี้พวกเราออกไปเที่ยวต่างเมืองกันสักสองสามวัน!”

อวี้ฮ่าวหรานยืนยันอีกครั้ง

ถวนถวนดวงตาเป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินคำพูดยืนยันของอวี้ฮ่าวหราน

“เย้! ถวนถวนจะได้ไปเที่ยวแล้ว ถวนถวนรักพ่อจ๋ามากที่สุดเล้ย!”

ตั้งแต่ต้องไปเรียนพิเศษ เด็กน้อยไม่ได้มีเวลาไปเล่นที่ไหนเลย ดังนั้นการได้รู้ว่ากำลังจะได้ออกไปเที่ยวจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กน้อยดีใจมาก

แต่ในทางกลับกัน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่หรงกลับแสดงสีหน้ากังวล

“แต่ว่าช่วงนี้งานที่บริษัทของฉันยุ่งมากเลย หากไปเที่ยวสองสามวัน…ฉันคิดว่าฉันคงไม่น่าจะไปได้…”

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องบริษัทเอาไว้ว่ากันทีหลัง เอาไว้หลังจากกลับมาพี่จะช่วยจัดการทุกอย่างให้เอง”

เมื่อเห็นสีหน้าที่ลังเลและกังเวลของหลี่หรง อวี้ฮ่าวหรานจึงเอ่ยขึ้นโน้มน้าวทันที