บทที่ 269 ปัญหาครอบครัว
บทที่ 269 ปัญหาครอบครัว

ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นกว่า ๆ ขณะนี้หลี่หรงกลับมาถึงห้องแล้วแต่เธอไม่ได้อยู่ในครัวเพื่อทำอาหารเย็น เธอนั่งอยู่ที่โซฟาดูข่าวในทีวีอย่างตั้งใจ

เมื่อได้ยินเสียงคู่พ่อลูกเปิดประตูเข้ามา หลี่หรงรีบหันกลับไปทักทันที

“พี่เขย ฉันได้ดูข่าวเกี่ยวกับบริษัทของพี่ ตอนนี้ทุกอย่างเป็นยังไงบ้าง?”

หลังจากถามเสร็จ เธอลากตัวอวี้ฮ่าวหรานให้มานั่งที่โซฟาเพื่อคุยกับเธออย่างจริงจัง

ทางด้านของถวนถวน เด็กน้อยไม่ได้สนใจเรื่องของผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงรีบวิ่งไปเล่นกับเจ้าลูกกวาดอย่างร่าเริง

อวี้ฮ่าวหรานนั่งลงบนโซฟา ก่อนที่จะครุ่นคิดเล็กน้อยว่าควรจะเล่าเรื่องยังไงดีเพราะมันมีหลายอย่างมากเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้

ท้ายที่สุดหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เริ่มเล่า

“หัวหน้าฝ่ายบัญชีของพี่ร่วมมือกับหลี่จิงเทียนปรับแต่งบัญชีที่เพิ่งเปิดใหม่ขึ้นมา และทำให้มันดูเหมือนว่าบริษัทของพี่เลี่ยงภาษี จากนั้นเช้านี้กรมสรรพากรก็บุกเข้ามาในบริษัทของพี่…”

“หา! แล้วแบบนี้เราทำยังไงกันดี!”

หลี่หรงอุทานขึ้นแทรกเสียงดังทั้ง ๆ ที่ อวี้ฮ่าวหรานยังเล่าไม่จบ

“ฟังพี่ก่อน!”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกเหนื่อยใจ หากมองจากภายนอกน้องภรรยาของเขาดูเหมือนจะเป็นคนใจเย็น แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนที่ตื่นตูมง่ายมาก ๆ

“เมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา พี่รวบรวมหลักฐานทุกอย่างที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพี่ได้ทั้งหมด และส่งไปให้กับกรมสรรพากรเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้พี่ชายของเธอก็คงจะต้องไปนอนอยู่ในคุก…”

นี่คือประเด็นที่อวี้ฮ่าวหรานเป็นห่วง ถึงแม้ว่าหลี่จิงเทียนจะสร้างปัญหาให้เขามากมาย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ค่อยอยากจะทำอะไรรุนแรง เพราะไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็เป็นน้องเขยของเขา และเป็นน้องชายของหลี่เม่ย พี่ชายของหลี่หรง

“พี่ชายของฉันต้องเข้าคุก…ช่างเถอะ ๆ ให้คนแบบนั้นได้ไปสำนึกตัวในคุกบ้างก็ดีเหมือนกัน”

หลี่หรงยักไหล่ด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ

หลังจากที่หลี่จิงเทียนสร้างวีรกรรมเอาไว้เยอะทั้งกับเธอ พ่อของเธอ และพี่สาว หญิงสาวก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรที่พี่ชายสุดชั่วของเธอจะได้ไปนอนในคุกบ้าง

“แต่ว่าพี่เขย ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับบริษัทพี่บ่อย ๆ ฉันคิดว่าพี่ควรจะหาฤกษ์ดี ๆ ก่อนแล้วค่อยเปิดทำการใหม่อีกที”

“อืม เธอช่วยไปหาฤกษ์มาให้พี่สักหน่อยก็แล้วกัน”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าตกลงอย่างง่ายดาย

“ถ้างั้นขอฉันเปิดปฏิทินดูก่อน…”

หลี่หรงเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินไปหยิบปฏิทินมาเปิดดูฤกษ์

หลายวันต่อมา

เครือฮ่าวหรานเปิดทำการอีกครั้ง!

ที่ด้านหน้าตึกสำนักงานถูกประดับประดาด้วยพู่และพรมสีแดง และมีพนักงานมากมายยืนเรียงแถวกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

หลังจากผ่านประสบการณ์ที่บริษัทเกือบจะถูกปิด วันนี้พวกพนักงานต่างก็รู้สึกอยากจะทำงานและหวงแหนบริษัทมากยิ่งขึ้น เครือฮ่าวหรานเป็นบริษัทที่ให้ค่าจ้างสูงกว่าบริษัทอื่น ๆ ในเมือง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากที่จะเสียงานที่นี่ไป

แน่นอนว่าเฉิงกัวอันและเฉิงชิวอวี้ไม่พลาดงานแบบนี้แน่นอน คู่พ่อลูกเดินทางมายินดีกับอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และยิ่งไปกว่านั้น หลินป๋อ และประธานบริษัทอีกเป็นสิบบริษัทที่เป็นคู่ค้าของอวี้ฮ่าวหราน ก็เดินทางมาร่วมพิธีเปิดบริษัทอีกครั้งเช่นกัน

“ฮ่า ๆ ประธานอวี้ คุณนี่เลือกวันได้ดีจริง ๆ ดูสิ ท้องฟ้าวันนี้ปลอดโปร่งมาก ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง!”

“ใช่ ๆ หลังจากนี้เครือฮ่าวหราน จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้นอีก รุ่งเรืองขึ้นอีก เฮง เฮง เฮง ไม่รู้จบแน่นอน!”

บรรดาประธานบริษัทต่าง ๆ เดินเข้ามาอวยพรให้กับอวี้ฮ่าวหรานอย่างอบอุ่น

อวี้ฮ่าวหรานตอบรับคำอวยพรทั้งหมดด้วยการชนแก้วไวน์กับแขกทุกคนด้วยสีหน้าเป็นกันเองเช่นกัน

ไม่นานหลังจากนั้น ช่วงเวลาสำคัญของพิธีก็มาถึง

“ขณะนี้ถึงเวลาสำคัญของงานแล้ว ขอเชิญประธานอวี้มาตัดริบบิ้นด้วยครับ!!”

หลังจากสิ้นเสียงประกาศ กรรไกรสีทองก็ค่อย ๆ ถูกส่งต่อโดยบรรดาผู้บริหารไปเรื่อย ๆ ทีละคนจนไปถึงอวี้ฮ่าวหราน

ภาพพิธีการที่ยิ่งใหญ่เแบบนี้มันทำให้หลี่หรงรู้สึกเบิกบานเป็นอย่างมาก

เธออดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ ตอนที่พี่เขยของเธอเพิ่งกลับมาและยังเป็นผู้ชายที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่เลย แต่ตอนนี้พี่เขยของเธอกลายเป็นประธานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไปซะแล้ว!

หลังจากตัดริบบิ้นหน้าประตูบริษัทเรียบร้อย งานเลี้ยงพนักงานก็เริ่มขึ้นที่ด้านในบริษัท ส่วนบรรดาผู้บริหารและประธานบริษัทอื่น ๆ ที่มาร่วมงานก็ได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่โรงแรมหรูที่ใกล้ที่สุดแทน

อาหารและเครื่องดื่มแสนแพงทั้งหลายถูกนำออกมาจัดเลี้ยงซึ่งแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายทุกอย่างอวี้ฮ่าวหรานเป็นคนออกทั้งหมด

งานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงช่วงบ่ายหนึ่ง และทุกอย่างก็จบลงด้วยบรรยากาศที่ชื่นมื่นสมบูรณ์แบบ…

ในขณะเดียวกันนี้ หลี่จิงเทียน กัวหย่งซิน เผิงอิงอิง อดีตหัวหน้าฝ่ายบัญชีของอวี้ฮ่าวหราน ถูกควบคุมตัวเข้าไปในคุกเรียบร้อยซึ่งนับได้ว่าเรื่องทั้งหมดได้ถูกแก้ไขอย่างสวยงาม

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังเตรียมที่จะกลับไปที่บริษัทหลังจากงานเลี้ยงเลิก โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

“ลูกอวี้ ถ้าลูกว่างบ่ายนี้ ลูกกับหลี่หรงช่วยมาหาพ่อหน่อยได้ไหมที่บ้านหลักตระกูลหลี่ พ่อมีเรื่องอยากจะคุยกับลูกสักหน่อย”

แน่นอนว่าคนที่โทรเข้ามาคือหลี่ชงซาน ซึ่งดูเหมือนว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย

“ได้ เดี๋ยวผมจะไปหา”

อวี้ฮ่าวหรานตอบตกลงอย่างรวดเร็ว เขาพอจะรู้อยู่เหมือนกันว่าอีกฝ่ายต้องการคุยเรื่องอะไร

หลี่หรงซึ่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยินบทสนทนาเช่นกัน เธอขมวดคิ้วและพูดขึ้นทันที

“จู่ ๆ ก็เรียกไปที่บ้านหลักแบบนี้คงไม่มีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของพี่รอง!”

เธอรู้ทันได้ทันทีว่าคนใจอ่อนอย่างพ่อของเธอต้องการอะไร

“เรากลับไปฟังเขาหน่อยก็แล้วกัน”

อวี้ฮ่าวหรานไม่อยากจะพูดอะไรมาก เขาพูดตัดบทและพาหลี่หรงขับรถตรงไปที่บ้านหลักตระกูลหลี่ทันที

หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง พวกเขาทั้งคู่ก็ขับรถไปถึงที่หมาย

ในห้องทำงานของหลี่ชงซาน

“โอ้ มากันเร็วดีจริง ๆ มา มานั่งพักให้หายเหนื่อยกันก่อน”

เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานและหลี่หรงเดินเข้ามาในห้อง หลี่ชงซานรีบเอ่ยทักทายอย่างรวดเร็ว

“พ่อเรียกพวกเรามามีเรื่องอะไร?”

หลังจากนั่งลง หลี่หรงยิงคำถามเข้าประเด็นทันที

เมื่อได้เห็นแววตาจับผิดของลูกสาวตัวเอง หลี่ชงซานแสดงสีหน้าหดหู่ก่อนที่จะถอนหายใจยาว

“เฮ้อ…ลูกน่าจะเดาได้อยู่แล้วว่าพ่อเรียกพวกลูกมาทำไม…มันก็เรื่องของเทียนเอ๋อร์นั่นแหละ ช่วยเล่าให้พ่อฟังหน่อยจะได้ไหมว่าแท้จริงแล้วเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่?”

หลังจากได้ยินคำถาม หลี่หรงไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะรายละเอียดต่าง ๆ เธอเองก็ได้ฟังมาแบบคร่าว ๆ จากอวี้ฮ่าวหราน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจปล่อยให้พี่เขยของเธอเป็นคนเล่าเรื่องเอง

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อเห็นเช่นนี้จึงเอ่ยขึ้น

“หลี่จิงเทียนสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกป้ายสีเครือฮ่าวหรานจนบริษัทถูกสั่งปิด แต่โชคดีที่ผมหาหลักฐานมาแก้ต่างได้อย่างรวดเร็ว เรื่องเลยจบลงด้วยการที่บริษัทไม่เสียหายมากนัก…”

อวี้ฮ่าวหรานเล่าแบบคร่าว ๆ เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจหลี่ชงซาน มากเกินไป

“เฮ้อ…ฉันอุตส่าห์แต่งตั้งให้เทียนเอ๋อร์เป็นแค่ที่ปรึกษาไม่มีอำนาจอะไรแล้วแท้ ๆ แต่ไม่นึกเลยว่าไอ้ลูกไม่รักดีของฉันมันยังสามารถสร้างปัญหาได้อีก ทำไมมันถึงไม่รู้จักเข็ดหลาบแบบนี้!”

หลังจากได้ยินเรื่องเล่าแบบย่อ ๆ ของอวี้ฮ่าวหราน หลี่ชงซานก็ถอนหายใจและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโห

อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงของหลี่ชงซานก็เปลี่ยนไปเป็นอ่อนลง

“แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นลูกของฉัน…”

“พ่อ!”

หลี่หรงรู้ได้ทันทีว่าพ่อของเธอจะพูดอะไรต่อ เธอรีบตะโกนขึ้นขัดทันที

“รอบนี้พี่รองสร้างปัญหาใหญ่มาก เขาเกือบทำให้บริษัทของพี่เขยถูกปิดแถมยังทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะช่วย ดังนั้น พ่ออย่าขอในสิ่งที่ทำให้พี่เขยต้องลำบากใจเลย!”