บทที่ 317
บทที่ 317

“นายท่าน ? ท่านจะเชื่อคำของมันไม่ได้นะ” หยวนเปียวบอกเขา

ถังหยินยิ้มแล้วมองไปยังจี้เชา “ข้าเชื่อว่าจี้เชาไม่ได้คิดร้ายต่อข้า และไม่คิดว่าพวกนักฆ่าจะเป็นจงใจของพวกเขา เอาละ ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำของในบ้านเจ้าพังไป”

จี้เชาแทบไม่เชื่อในหูตัวเอง รวมไปถึงสองพี่น้องฉางกวงด้วย เขาไม่คิดว่าถังหยินจะใจดีขนาดนี้

ไม่ใช่แค่เพียงเขาจะไม่ถูกกล่าวโทษว่าจัดการลอบสังหารแถมยังขอโทษอีกด้วย …นี่มันไม่น่าเชื่อเกินไปแล้ว !

“นายท่านช่างใจดียิ่ง” จี้เชาตื้นตันจนแทบพูดอะไรไม่ออก เขาคุกเข่าให้อย่างเดียว

สุดท้ายแล้วถังหยินก็เป็นคนดี เขาพยุงตัวจี้เชาขึ้นมา “ยืนขึ้นเถิด”

จี้เชาที่ถูกพาตัวขึ้นมาก็พูดเสียงสั่น “นายท่านช่างหลักแหลมยิ่ง ข้าไม่รู้ว่าจะหาคนอย่างท่านได้จากไหนอีกแล้ว”

ถังหยินหัวเราะออกมา

มือสังหารตายไปหลายศพ เหลือรอดแค่เพียง 4 คนเท่านั้น หลังจากเหตุการณ์นี้ ทุกคนในงานก็ถูกห้ามเข้าหรือออกไปไหนทั้งนั้น

เมื่อถังหยินสั่งให้จัดการเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็สั่งให้ทหารนำตัวมือสังหารที่เหลืออยู่กลับไปยังจวนที่พักของเขา

หลังจากออกมาได้ ถังหยินก็พลันมีสีหน้าซีดลง เขากำหมัดแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกหัก อู่กวงรีบวิ่งเข้ามาหาเขาทันที “นายท่านจะให้พวกเราปิดเมืองแล้วสืบหาตัวพวกมันหรือไม่ ?”

“ไม่จำเป็น ข้าเชื่อว่าไม่มีพวกมันอยู่อีกแล้ว ถ้ามีอยู่อีกก็คงจะหนีไปตั้งนานแล้ว” ถังหยินตอบหลังจากที่ครุ่นคิดเสร็จแล้ว

อู่กวงไม่ได้ตอบอะไร

ครั้งนี้เป็นหยวนเปียวที่ถามต่อ “ทำไมนายท่านถึงทำแบบนั้นกับจี้เชากัน ?”

“เป็นพวกนักฆ่าที่บอกข้า” ถังหยินยิ้มให้

หยวนเปียวมีสีหน้าที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม

ชายหนุ่มไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เพียงพูดออกมาว่า “ให้เรื่องมันจบตรงนี้เถอะ อย่าให้ข่าวมันแพร่งพรายออกไปเลย”

“ขอรับนายท่าน” พวกแม่ทัพรับคำแล้วก้มหัวให้

เมื่อพวกเขากลับไปที่ยังที่พักของตัวเอง ชิวเจิ้นกับคนอื่นก็ออกมาต้อนรับ ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นความผิดปกติ ทุกคนก็รีบถามออกมาในทันที “นายท่านได้รับบาดเจ็บหรือ ?”

ถังหยินโบกมือ “ไม่มีอะไรมากหรอก”

เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกคนก็โล่งใจ ไม่นานนักเย่เหล่ยก็เดินเข้ามาช่วยถังหยินทำแผลให้ ถึงชายหนุ่มจะรักษาตัวเองด้วยพลังปราณไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่สมบูรณ์ มันต้องได้รับการรักษาจากยาของเย่เหล่ยอีกขั้นตอนหนึ่ง

ในขณะที่ถังหยินกำลังถอดเสื้อผ้า ทุกคนก็ขอตัวออกไปก่อน

ตอนนี้ถังหยินหรี่ตาลง “ทุกคนรอก่อน”

“อะไรอีกหรือนายท่าน ?”

“ข้าว่านี่แหละคือโอกาสดีแล้ว”

ทุกคนยืนตะลึงแล้วมองถังหยิน ก่อนที่ชายหนุ่มจะอธิบาย “การลอบสังหารคือการกระทำที่ควรประณาม ถ้าหากเราปล่อยให้ข่าวนี้แพร่ออกไป มันจะทำให้ซ่งเทียนเสื่อมเสียได้ แถมจะใช้มันเป็นข้ออ้างเอาไปพูดกับแคว้นแคว้นโมได้อีกด้วย”

ชิวเจิ้นกับคนอื่นเห็นด้วยกับความเห็นนี้ ในตอนแรกเรื่องนี้มันดูเลวร้ายเกินไป แต่ครั้งนี้ก็ถือเสียว่าสามารถใช้เป็นข้อดีได้ก็แล้วกัน

มูฉิงขมวดคิ้ว “นายท่านจะไปแคว้นโมหรือ ?”

ถังหยินเพิ่งรู้ว่าเขายังไม่ได้บอกคนอื่น ๆ เลยว่าเขาจะเดินทางไปยังแคว้นโม ดังนั้นจึงพูดไปว่า “ข้าจำต้องเดินทางไปยังแคว้นโม เพื่อทำให้แน่ใจว่าพวกโมจะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้จนถึงวินาทีสุดท้าย”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ถือว่าอันตรายมากสำหรับเขาที่จะเดินทางไปยังแคว้นโม พวกแม่ทัพมองหน้ากันอย่างลังเล แล้วถังหยินก็อธิบาย “ถ้าพวกเจ้าไม่คิดเสี่ยงเลย ก็คงไม่ได้ผลลัพธ์อะไรหรอก หากพวกเจ้าพลาดโอกาสใด ๆ ไปแล้ว เจ้าก็จะพลาดมันไปตลอดกาล”

แต่ถึงกระนั้น พวกแม่ทัพก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี “นายท่านพูดถูกก็จริง แต่ว่า…”

ถังหยินเห็นว่าทุกคนยังเป็นห่วงเขาอยู่ จึงหัวเราะออกมา “เจ้าคิดว่าพวกโมเป็นยังไงบ้างถ้าเทียบกับพวกเบสซ่า? ตอนนั้นข้าเป็นผู้ว่าดูแลเขตยังแทบไม่กลัวอะไรเลย แต่ตอนนี้ข้าคุมมีอำนาจมากกว่าเดิมแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก”

ทุกคนยิ้มแห้ง ๆ ออกมา ด้วยถึงแม้ว่าพวกเบสซ่าจะไม่เหมือนกับพวกโมก็จริง แต่สถานการณ์มันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย ทว่าเมื่อเห็นว่าถังหยินตื่นเต้นที่จะได้เดินทางมาก ในหมู่พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าขัดคออีก

ข่าวการลอบสังหารถังหยินแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แถมยังควบไปกับข่าวที่ถังหยินไม่ลงโทษจี้เชาด้วยความเมตตาอีกด้วย นี่จึงทำให้ภาพลักษณ์ของถังหยินดีขึ้นในสายตาคนธรรมดา

ก่อนหน้านี้ในสายตาของชาวบ้าน พวกเขาคิดว่าถังหยินก็เป็นแค่แม่ทัพที่ทำเป็นอยู่อย่างเดียวคือการนำกองทหารเข้าบุกตีเมือง …ในตอนนี้ทุกคนต้องมองเขาใหม่เสียแล้ว

เพียงพริบตาถังหยินก็หายเป็นปกติ ทำให้ชาวเมืองเมืองสีไป่มากมายแวะไปเยี่ยมเยือนที่จวนของถังหยิน ก่อนที่ในวันต่อมา กองทัพเทียนหยวนจะประการผลการตรวจสอบเรื่องการลอบสังหาร

จริง ๆ แล้วพวกชาวเมืองก็ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะต่อให้กองทัพเทียนหยวนไม่ประกาศออกมา พวกเขาก็เดาได้อยู่แล้วว่านี่คือการกระทำของซ่งเทียน

นี่จึงทำให้มุมมองของชาวเฟิงที่มีต่อถังหยินเปลี่ยนไปอีกครั้ง

เฉิงจินเองก็ได้ออกเดินทางไปกับถังหยินเช่นเดียวกับพวกหน่วยลับของเขา ขบวนของเขามีถังหยิน ซงหยวน และสองพี่น้องฉางกวงแล้วก็เจียงโม

ในกลุ่มคาราวานนี้ ถังหยินและทุกคนต่างก็เปลี่ยนชุดเป็นคนธรรมดาเพื่อให้แยกตัวตนไม่ออก

พวกเขาเดินทางไปรอบเมืองหยาน ก่อนที่จะลงใต้ตรงไปยังเมืองวาน และแม้ว่าที่นี่จะใกล้กับเมืองหยาน แต่บรรยากาศก็สบายยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นช่วงเช้าที่มีชาวเมืองเดินสวนกันไปมามากมาย

ถังหยินและทุกคนเดินไปกับฝูงชนในเมือง แต่ก็ไม่คิดจะหยุดพักแต่อย่างใด พวกเขามุ่งหน้าลงใต้ต่อ

หลังออกจากเมืองวานทุกคนก็โล่งใจ ดูเหมือนว่าเมืองวานก็เริ่มปลอดภัยขึ้นมาบ้างแล้ว แม้ว่าจะอยู่ภายใต้อาณัติของซ่งเทียนก็ตาม

ระหว่างที่เดินทาง เจาจูได้หันไปยิ้มให้ถังหยิน “ท่านถัง ถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้น คืนนี้พวกเราคงไปถึงเมืองทางใต้แน่นอน”

ถังหยินหัวเราะ “ต้องขอบคุณท่านเจาจริง ๆ”

เจาจูโบกมือ “เรื่องเล็กน้อยน่ะท่านถัง” เจาจูกับถังหยินเคยค้าขายกันมานาน ความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งขึ้นทำให้พวกเขาเจรจาอะไร ๆ กันง่ายขึ้น ส่วนถังหยินเองก็ซื้อม้าจากเขามากมาย ทำให้ธุรกิจของเขาเติบโตขึ้นมาก

ชายหนุ่มหัวเราะ “ท่านเจาช่วยข้าแบบนี้ หากข้าประสบความสำเร็จในอนาคตล่ะก็ ข้าจะต้องตอบแทนท่านแน่นอน”

“ท่านถังก็พูดเกินไป” เจาจูเองก็ดีใจจนยิ้มไม่หยุด

คืนนั้นพวกกองคาราวานก็เดินทางไปถึงเมืองเฟิงได้สำเร็จ

เจาจูที่คุ้นเคยกับทหารเมืองนี้เป็นอย่างดีพวกเขาจึงไม่ทำการตรวจค้นอะไรทั้งนั้นแล้วปล่อยให้ผ่านไปได้แต่โดยดี