บทที่ 287 มาส่งยามราตรี

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

ยามราตรีคืบคลานเข้ามา ทหารส่งสารไปๆ มาๆ อยู่หลายครั้ง เหล่าทหารที่เดินทางมาทั้งวันก็เริ่มตั้งค่าย

อันที่จริงยามนี้พวกเขาไม่ได้ออกไปไกลนัก

พิธีคำนับขอบพระทัยองค์ฮ่องเต้ผ่านพ้นไปก็ถึงเวลาบ่ายที่จะเดินทาง

แม้จะมีคนจำนวนไม่ถึงร้อย แต่การดำเนินการกลับเป็นไปอย่างล่าช้า

หน้าที่หลักของพวกเขาไม่ใช่ไปรบที่ซีเป่ย แต่เพื่อคุ้มกันขุนนางในราชสำนักให้ไปรับตำแหน่งกันอย่างปลอดภัย

ผู้บัญชาการฝ่ายปกครองรวมทั้งแม่ทัพคนอื่นๆ ที่ปรับเปลี่ยนส่วนใหญ่ล้วนเร่งรุดไปที่ที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่ ส่วนผู้ที่ออกเดินทางจากเมืองหลวงมีแต่เจ้าหน้าที่กำกับดูแลที่ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้ไปตรวจสอบซีเป่ย

แน่นอนว่ารวมถึงท่านชายโจวหกและสวีเม่าซิวที่เป็นกองกำลังเสริมส่วนใหญ่ของซีเป่ย แต่จำนวนเหล่านี้ไม่นับเหล่าผู้บัญชาการตำแหน่งสูงรวมอยู่ด้วย

ไม่ใช่ผู้บัญชาการเหล่านี้เดินทางไม่ได้ แต่เป็นเพราะมีบางส่วนอยากให้เดินทางไวขึ้น และมีบางส่วนอยากจะเดินทางช้าๆ

ดังนั้นยื้อยุดกันไปมากองทัพจึงออกจากเมืองไปได้ไม่ไกลแม้จะเป็นเวลาบ่ายแล้วก็ตาม

“ช่างหัวมันปะไร คืนนี้จะได้ตั้งค่ายหรือไม่”

สวีปั้งฉุยที่นั่งอยู่ข้างกองไฟก่นด่าออกมาอย่างอดไม่อยู่

“ไม่ใช่เดินทางกันสามสี่วันแล้วหรือ ยังต้องพักอะไรกันอีก”

“หุบปาก อย่าไปสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ ข้าให้เจ้าทำอะไรก็ทำอันนั้น” สวีเม่าซิวถลึงตามองเขา

“ข้าร้อนใจต่างหากเล่า” สวีปั้งฉุยบ่นพึมพำ แล้วหันไปมองฟ่านเจียงหลิน “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ดูเจ้าแบกธนูสามคันอยู่คนเดียวสิ ท่าทางเหนื่อยล้านัก…”

“เหนื่อยนิดหน่อย เจ้าแบกธนูประจำกองทัพแทนข้าทีสิ” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยขึ้น

สวีปั้งฉุยทำหน้าไม่พอใจ พี่น้องคนอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะใส่เขายกใหญ่ จะเอาธนูของตนให้เขาแบก

“พี่สี่ พี่ช่วยข้าเฝ้าม้าไว้นะ” สวีปั้งฉุยตะโกนบอกแล้วหันไปมอง แต่กลับไม่พบใคร

“พี่สี่ไปเฝ้าม้านู่นแล้ว” พี่น้องคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “เขาทำเกือกม้าให้เรียบร้อย ยามนี้มีแต่คนพากันอยากให้เขาทำเกือกม้าให้”

สวีปั้งฉุยที่กำลังพูดคุยหัวเราะอยู่ก็ลุกขึ้น คิ้วขมวดมองไปยังทางที่เดินมา

“มีคนมา” เขาบอก

ฟ่านเจียงหลินรีบคว้าธนูที่อยู่ข้างๆ ไว้ไม่ปล่อย พี่น้องคนอื่นๆ ก็ต่างพากันลุกขึ้น

ขณะนั้นเอง ทหารรักษาการที่ไปสำรวจทางทั้งก่อนและหลังก็ส่งสัญญาณขึ้น

“ไม่เป็นไร คนกันเอง”

ทหารส่งสารควบม้าเข้ามา บอกทหารที่ทยอยลุกกันขึ้นมา แล้วเดินไปยังกระโจมหลัก มีผู้บัญชาการหลายคนพากันยืนอยู่ด้านนอกกระโจมนั้น

บนใบหน้าของพวกเขาไร้ความกังวลใด ที่นี่ใกล้กับเมืองหลวงมาก ซ้ำยังเป็นทางหลวงและนี่ก็เป็นกองทัพของราชสำนัก ต่อให้มีคนมาก่อความวุ่นวายจริงๆ เหล่าทหารน้อยใหญ่ของเมืองหลวงพวกนี้ก็ควรกลับบ้านไปเลี้ยงตัวเองเสียเถอะ

ผู้นำสูงสุดของผู้บัญชาการทหารรับหนังสือราชการในมือของทหารส่งสารมาอ่านครู่หนึ่ง สีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย แล้วส่งต่อให้อีกคน

ทุกคนที่ได้อ่านสารนั้น ล้วนมีสีหน้าแปลกประหลาด

“เหลวไหล”

มีคนแอบสบถขึ้นเบาๆ ด้วยความไม่พอใจ แล้วสะบัดแขกเสื้อจากไป

แม่ทัพคนอื่นๆ ที่ได้อ่านหนังสือราชการนั้นบางคนส่ายหน้า บางคนเงียบไม่กล่าวคำ แล้วต่างแยกย้ายกันกลับกระโจมไป

บรรยากาศตึงเครียดพลันมลายสิ้น เหล่าทหารที่ยืนอยู่ก็พากันนั่งลง

“…ใครกัน”

“…มาทำอันใดกัน”

ทุกคนพากันกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์ มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าฉงนแปลกใจ ยามค่ำคืนในป่ามืดมิดกว่าในเมืองหลวงนัก มืดเสียจนมองไม่เห็นสิ่งแปลกประหลาดใด

“บอกว่ามาส่งเดินทาง…”

สวีเม่าซิวได้ยินประโยคนี้เข้าก็หันไปมองคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งพูดคุยถึงข่าวที่ได้รับมาใหม่โดยไม่รู้ตัว

“มาส่งใครหรือ” เขาถามออกไปอย่างอดไม่อยู่

“ตามมาในยามวิกาลเช่นนี้ ซ้ำยังมีทหารส่งสารมาแจ้งก่อนอีก ต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ คนที่จะส่งก็คงไม่ใช่คนอย่างเจ้ากับข้าแน่” คนผู้นั้นยิ้มบอกพลางบุ้ยปากไปทางกระโจมของเหล่าผู้บัญชาทัพ “ครานี้มีเด็กหนุ่มอยู่มาก ล้วนเป็นลูกหลานของเหล่าผู้บัญชาการทั้งสิ้น ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจจนเคยตัว คนที่บ้านอาลัยอาวรณ์ก็มีมาก…”

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น แสงไฟจากคบเพลิงก็ถูกจุดขึ้นท่ามกลางราตรีอันมืดมิด เสียงเกือกม้าดังระงมค่อยๆ ชัดขึ้น

ดูแล้วคนที่มาคงมีจำนวนไม่น้อย

ทหารที่อยู่ในค่ายพากันลุกขึ้นดู

เสียงคนและม้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ท่ามกลางลมยามราตรีที่โชยพัดคบเพลิงอันโชติช่วงก็เห็นคนสิบกว่าคนกับรถม้าคันหนึ่ง ไม่สิ นอกจากองครักษ์สิบกว่าคนแล้วนั้น ยังมีม้าเปล่าไร้คนขี่อยู่อีกหลายตัว

“อะไรกัน องครักษ์ที่ไหนออกเดินทางจะเอามาม้าสองตัว”

เหล่าทหารเอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง

การเดินทางไกลเป็นอันตรายต่อม้ามากที่สุด ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือเอาม้ามาไว้คอยสับเปลี่ยนสามตัว แน่นอนว่าวิธีที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในดินแดนจงหยวนที่ขาดแคลนม้าเป็นแน่ ขนาดในกองทัพซีเป่ยเองยังหาได้ยาก จะมีก็แต่ทหารลาดตระเวนยอดฝีมือเท่านั้นที่จะมีม้ามากมายเช่นนี้ได้

เพราะได้แจ้งเอาไว้แล้ว คนกลุ่มนั้นจึงไม่ถูกขวางไว้ แล้วไปหยุดอยู่นอกค่าย

รถม้าเปิดออก สตรีนางหนึ่งก้าวลงมา

ภายในกระโจมเกิดเสียงจอแจขึ้น

 “ดูเอาเถิด ที่แท้ก็เป็นสตรีของตระกูลใดสักตระกูลที่อาลัยอาวรณ์ญาติที่จะต้องออกเดินทางไกล…” คนข้างๆ สวีเม่าซิวยิ้มพูดกับเขา แต่เห็นท่าทางเขาตกตะลึงไปจึงหันไปดูคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา ท่าทางราวกับลูกตาจะหลุดออกจากเบ้าอย่างไรอย่างนั้น

มีอะไรให้น่าตกใจกัน คงไม่เคยเห็นโลกมาล่ะสิ

ทหารผู้น้อยกำลังจะเอ่ยเย้ยหยันก็เห็นสวีเม่าซิวก้าวฉับๆ ออกไปทางกลุ่มคนเหล่านั้น

“ไม่ได้มาหาเจ้าเสียหน่อย อย่ามามุงดูความสนุกแถวนี้ ระวังจะทำลาย…”

ทหารผู้น้อยรีบตะโกนบอก แต่พูดยังไม่ทันจะจบก็ถูกสวีปั้งฉุยร้องตะโกนขัดขึ้น

จากนั้นอีกห้าหกคนก็พากันวิ่งไปทางนั้น

ทหารคนนั้นตกใจ ทหารคนอื่นๆ ก็พากันหันไปมองด้วยสีหน้าตกตะลึง แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือคนที่วิ่งเข้าไปพวกนั้นกลับไม่ถูกองครักษ์เหล่านั้นจัดการ พอพวกเขาเดินไปหยุดอยู่หน้ารถม้า ก็ยิ่งทำคนนึกไม่ถึงอีกว่าแม่นางน้อยผู้นั้นจะคำนับพวกเขาด้วย!

คำนับ!

ทุกคนต่างมองกันจนลูกตาแทบถลน

“คงไม่ได้มาส่งทหารพวกนั้นเดินทางหรอกกระมัง” ทหารคนนั้นเอ่ยพึมพำขึ้น

ปั้นฉินเลิกม่านรถขึ้น เฉิงเจียวเหนียงที่คลุมผ้าคลุมทั้งตัวก็เดินลงมา

“น้องสาวมีเรื่องอะไรหรือ”

“เกิดอะไรขึ้นกัน”

บรรดาพี่น้องทั้งเจ็ดต่างพากันซักถามด้วยความเป็นห่วงและกังวล

“มาส่งของขวัญน่ะสิ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

ทุกคนต่างพากันตกใจ

“มีของขวัญอย่างที่สามจริงๆ หรือ” สวีปั้งฉุยเอ่ยถาม

“แน่นอนสิ ข้าเคยล้อเล่นด้วยหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางยื่นมือไปด้านข้าง “นั่นอย่างไรเล่า”

ม้าทั้งเจ็ดตัวที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงร้องออกมาทางจมูก

ที่แท้ก็มาส่งม้าให้

“จมูกขาวๆ นั่นของข้า!” สวีปั้งฉุยตะโกนขึ้นคนแรกแล้วเดินไปทางนั้น

เหล่าพี่น้องคนอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะแล้วตามเขาไป

“ไม่ต้องให้หรอก” สวีเม่าซิวเอ่ย “การเดินทางไม่ได้เร่งรีบ อีกอย่างพวกเราก็ไม่ใช่ทหารม้า พอถึงซีเป่ยก็ไม่ได้ใช้แล้ว ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้เจ้าจะมาทำไม”

เขาพูดพลางขมวดคิ้วมองไปรอบๆ

“คนของเราเองหรือ”

องครักษ์พวกนี้คือคนของตระกูลโจวหรือ

เห็นเขามองไป คนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมที่อยู่ด้านข้างก็ลงมาจากหลังม้า

“คุณชายโปรดวางใจ เป็นข้าที่มากับนางเอง”

หมวกบังลมถูกถอดออก ปรากฏใบหน้าหล่อเหลาของคุณชายท่านหนึ่งภายใต้แสงคบเพลิง

กระโจมถูกเปิดออก มีผู้ติดตามคนหนึ่งถลาเข้ามาหา

“ท่านชายขอรับ ท่านชาย!” เขาตะโกนเรียก

กระโจมหลังนี้มีคนพักอยู่ทั้งหมดสี่คน แต่ยามนี้คนอื่นๆ ต่างอยู่ข้างนอกหัวเราะพูดคุยกันรอบกองไฟ ภายในกระโจมจึงมีเพียงท่านชายโจวหกเพียงผู้เดียว

“เสียงดังโหวกเหวกอะไร!”

ท่านชายโจวหกที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ใต้แสงไฟตะคอกถามอย่างอารมณ์เสีย

“ท่านชาย แม่นางเฉิงมาขอรับ!” ผู้ติดตามเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตื่นเต้น

ท่านชายโจวหกลุกขึ้นพรวดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

“ใครนะ” เขาถาม

“แม่นางเฉิงขอรับ แม่นางเฉิงมาส่งเดินทาง!” ผู้ติดตามตอบด้วยท่าทางตื่นเต้น

มาส่งเดินทาง…

นางมาส่งเดินทาง!

ท่านชายโจวหกพลันรู้สึกขนลุกขนพองจนต้องกลิ้งไปมากับพื้นถึงจะดีขึ้น

นะ…นี่…

“เหลวไหลอะไรกัน!” เขาตะคอกด้วยสีหน้าแดงก่ำแล้วลุกขึ้นเดินออกไป

“แล้วก็ท่านชายฉินก็มาด้วยขอรับ…”

ผู้ติดตามตะโกนบอกไล่หลังไป

ท่านชายโจวหกเดินดุ่มๆ ออกจากกระโจมไปด้วยแววตาเป็นประกาย เห็นผู้คนกำลังล้อมอยู่ทางด้านนั้น แม้จะเห็นเพียงแค่เงาอยู่ไหวๆ แต่ก็เห็นสตรีที่สวมชุดคลุมตัวใหญ่ยืนอยู่ข้างรถได้อย่างเลือนลาง รวมถึงท่านชายฉินสิบสามที่ถอดหมวกกันลมออกอยู่ข้างๆ กำลังหัวเราะอะไรสักอย่างนั่นด้วย

สองคนนี้นี่!

“…มาส่งพวกนี้จริงๆ น่ะหรือ”

“มาส่งอะไรให้หรือ ม้าเจ็ดตัวน่ะนะ”

“…ม้าพันธุ์ดีอะไรหรือ คุ้มค่าที่ดึกดื่นค่อนคืนป่านนี้ตามมาส่งให้หรือ”

ท่านชายโจวหกเดินผ่านบริเวณค่ายทหารได้ยินผู้คนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันเข้าก็ชะลอฝีเท้าลงจนหยุดนิ่งในที่สุด

“…ได้ยินว่าน้องสาวกับสามีนางมาส่งเดินทางหรือ…”

น้องสาวกับสามีนางอะไรกัน!

ท่านชายโจวหกหันไปมองคนพูดพวกนั้นด้วยสายตาเชือดเฉือน คนพวกนั้นก็เห็นเขาแล้วเช่นกัน

พากันมุงดูเช่นนี้ช่างไร้วินัยนัก แม่ทัพน้อยผู้นี้คงจะโกรธเข้าให้แล้วกระมัง…

ไฟลุกโชนในแววตาแล้วนั่น…

พวกนั้นรีบก้มหน้าลงดึงกันให้ไปหลบอยู่ด้านข้าง

ท่านชายโจวหกยืนอยู่ที่เดิมแล้วมองไปทางด้านนั้น มือที่กำอยู่นั้นรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างจึงก้มลงมองตำราที่อยู่ในมือ

“เอาล่ะ รีบกลับไปเถิด” สวีเม่าซิวเอ่ยบอก พอพูดจบก็รู้สึกว่าเดินทางยามราตรีเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก “เช่นนั้นพักอยู่ในรถคืนหนึ่งเถิด อย่าออกมาเพ่นพ่านด้านนอก”

“จุดคบเพลิงด้วย” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยเสริมขึ้น

เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า

“ไม่ต้องหรอก ข้ามาส่งม้าให้ เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว” นางเอ่ยตอบ

“ต่อไปก็อย่าก่อเรื่องเช่นนี้อีก เจ้าเป็นแบบนี้เหมือนกับมองพวกพี่เป็นคนอื่น” สวีเม่าซิวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ยังหม่นหมองอยู่

“เดิมทีข้าตั้งใจจะมาให้เร็วกว่านี้ แต่ก็ยังเตรียมไม่เสร็จเสียทีจึงได้ล่าช้าไป” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอกแล้วย่อกายคำนับ “ทำพวกพี่เป็นห่วงแล้ว”

“อย่าได้กังวลไป มีข้าอยู่ทั้งคน อีกอย่างนางไม่ใช่คนบุ่มบ่ามมุทะลุเช่นนั้น” ท่านชายฉินสิบสามที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นยิ้มๆ

สวีเม่าซิวและฟ่านเจียงหลินต่างมองไปที่เขาแล้วค้อมกายคำนับ

“รบกวนท่านชายฉินแล้ว” พวกเขาพูดขึ้นพร้อมๆ กัน

“ยินดียิ่ง” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มบอกแล้วรับคำนับเล็กน้อย

ทำตัวเหมือนสามีน้องเสียจริง…

ท่านชายโจวหกบีบตำราในมือเสียงดัง

น้องสาว สามีน้องสาว พี่ชายที่แท้จริงก็อยู่ที่นี่ด้วยนะ!

“พี่สี่”  ทันใดนั้นเฉิงเจียวเหนียงก็ตะโกนเรียกขึ้น

สวีซื่อเกินที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบเอ่ยรับคำแล้วลุกขึ้น

“อันที่จริงของขวัญอย่างที่สามนี้ตั้งใจมอบให้พี่โดยเฉพาะ” เฉิงเจียวเหนียงบอก

ทุกคนอึ้งไปตามๆ กัน สวีซื่อเกินยิ่งคาดไม่ถึงจึงทำอะไรไม่ถูก

“ให้ข้าหรือ” เขาถาม

“พี่สี่ พี่ดูแลม้าพวกนี้ให้ดีนะ อีกไม่นานพี่ก็จะเห็นผลเอง” เฉิงเจียวเหนียงบอก

ม้า? เห็นผล?

สวีซื่อเกินมองไปยังม้าพวกนั้นอย่างอดไม่ได้ พวกม้านั่นเขาเพิ่งดูไปคราหนึ่งเมื่อครู่นี้ ความจริงแล้วก็ไม่นับว่าเป็นม้าพันธุ์ดีอะไร ไม่ถึงขั้นต้องให้น้องสาวตามมาส่งเองยามดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ด้วย

แน่นอนว่าเขามองแค่ด้านเดียว แม้จะเป็นของขวัญอันเล็กน้อยแต่กลับมากไปด้วยน้ำใจนัก

ที่แท้ก็มีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งอย่างนั้นหรือ

“คือผลอันใดกัน” เขาถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

“ประสิทธิผลนี้ต้องรอดูอย่างเดียว พี่สี่ค่อยๆ ดูไปตลอดทาง เดี๋ยวก็จะรู้เอง ข้าบอกไปก็บอกได้ไม่ชัดเจนเท่า จึงไม่จำเป็นต้องบอก” เฉิงเจียวเหนียงตอบพลางยิ้มบางๆ นางคำนับพวกเขาอีกครั้ง “ค่ายทหารเช่นนี้ ไม่เหมาะกับสตรีเท่าใดนัก น้องขอตัวลา”

“ดึกแล้ว อย่าเพิ่งกลับเลย” สวีเม่าซิวและพวกพี่น้องเอ่ยรั้ง

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราคุ้นทางในเมืองหลวงเป็นอย่างดี วางใจเถิด” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย

“เช่นนั้นก็ลำบากท่านชายฉินแล้ว” สวีเม่าซิวและเหล่าพี่น้องต่างคำนับ

ท่ายโจวหกเห็นคนทางนั้นกำลังพากันหันหลังกลับขึ้นรถขึ้นม้าก็เดินเข้าไปสองสามก้าวอย่างอดไม่ได้

เจ้าสองคนนี้นี่!

“ขออวยพรแด่เหล่าทหารทุกท่านเดินทางปลอดภัย ม้าไปถึงด้วยความสำเร็จ!”

ท่านชายฉินสิบสามป้องปากกล่าวเสียงดัง

เสียงดังกังวานก้องไกลท่ามกลางความมืดในยามราตรี

เหล่าองครักษ์ของเขาต่างโห่ร้องกันขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง

ไม่ว่าจะมาส่งใคร แต่คำอวยพรเช่นนี้ก็ทำเอาเหล่าทหารในค่ายยิ้มกันออกมา

“ดี” มีคนลากเสียงตอบยืดยาว

เสียงตอบรับค่อยๆ ทยอยดังขึ้นตามกัน ผสมผสานกันจนกลายเป็นเสียงกังวานกึกก้อง

ท่านชายฉินสิบสามโบกมืออีกครั้งก็หันหัวม้ากลับ

ทั้งคนทั้งม้าค่อยๆ ไกลออกไป

พอพวกเขาจากไปเสียงจอแจภายในค่ายก็ดังขึ้นตาม ผู้คนต่างแห่กันเข้าไปซักไซร้สวีเม่าซิวด้วยความสงสัยใคร่รู้ และมีบางส่วนที่มาดูม้า

ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจนี้ ท่านชายโจวหกมองตามคนและม้าที่จากไปอยู่เงียบๆ

“ชู่” ทันใดนั้นก็มีคนส่งเสียงขึ้น

ทหารที่กำลังคึกคักกันอยู่ต่างเงียบเสียงลง

“ฟัง!” คนผู้นั้นเอ่ย

ฟังอะไร

เสียงจอแจภายในค่ายค่อยๆ เงียบลง ได้ยินเสียงลมยามราตรีดังโชยมาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

“…ชายชาตรีออกเรือน…หวังเป็นเฟิงโหว …”

เสียงแหบของสตรีดังขึ้นท่ามกลางราตรีอันมืดมิด เสียงกลองค่อยๆ ดังขึ้นคลอเคล้า

“…บุรุษสร้างชีวิต…อันมีเกียรติ…”

สวีเม่าซิวเดินไปด้านหน้าสองสามก้าวอย่างอดไม่ได้ เพลงนี้ทั้งคุ้นเคยและแปลกหู…

คุ้นเคยเพราะเหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักแห่ง ส่วนที่แปลกหูก็เพราะลมหายใจของสตรีนางนี้ดีขึ้นกว่ายามนั้นไม่น้อย ราตรีนี้ยาวนานนัก

“น้องสาวร้องเพลงให้พวกเรา!”

สวีปั้งฉุยเอ่ยขึ้นเสียงดัง

เสียงของเขาทำเอาคนอื่นๆ ต้องส่งเสียงปราม

“เบาๆ ไม่ได้ยินแล้ว!”

สวีปั้งฉุยยิ้มแหย

“น้องสาวกำลังร้องเพลงให้พวกเราล่ะ…” เขาพึมพำขึ้น แต่รอบนี้เขาไม่กล้าเสียงดัง แล้วคอยืดคอยาวมองไปยังต้นทางของเสียงเพลง

แสงจากคบเพลิงพวกนั้นค่อยๆ ไกลออกไปท่ามกลางความมืด

“…รับตำแหน่งที่จี้เหมิน…กองทัพไม่เหลือรอด…”

“…ทองพันชั่งซื้อแส้ม้า…ทองร้อยชั่งซื้ออาวุธ…”

“…ผู้คนต่างร่วมใจ…ล้างแค้น…”

“…ความโกรธาเคียดแค้น…ล้นฟ้า…”

“…หนึ่งผู้สู้ยิบตา…มอดม้วยดั่งนิทรา…”

“…แทนคุณแก่แผ่นดิน…ฆ่าคนชั่วช้าเฟ้นหาเฟิงโหว…”

ในตอนแรกมีเพียงเสียงของสตรีนางนี้แค่คนเดียวที่ดังลอยมา แต่เพียงไม่นานก็มีเสียงบุรุษร้องประสานขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีเพียงเสียงหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษเท่านั้น ทว่าฟังดูราวกับเสียงกังวานก้องไปถึงฟากฟ้า เคล้าด้วยเสียงกลองอันหนักแน่น แม้เสียงของสตรีจะเรียบนิ่ง แต่ในใจของแต่ละคนกลับฮึกเหิมกันขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ไม่รู้ใครเป็นคนเริ่ม เหล่าทหารในค่ายจึงได้ร้องตามกันขึ้น เสียงดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ จนสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน

“…ผู้คนต่างร่วมใจ…ล้างแค้น…”

“…ความโกรธาเคียดแค้น…ล้นฟ้า…”

“…หนึ่งผู้สู้ยิบตา…มอดม้วยดั่งนิทรา…”

“…แทนคุณแก่แผ่นดิน…ฆ่าคนชั่วช้าเฟ้นหาเฟิงโหว…”

เสียงของสตรีห่างไปไกลจนไม่ได้ยินแล้ว แต่เสียงร้องเพลงอันกังวานก้องกลับยังคงโอบล้อมอยู่ในค่ายแห่งนี้ท่ามกลางราตรีอันมืดมน

ในเสียงเพลงนี้ ท่านชายโจวหกแย้มยิ้มเคาะตำราในมือกับตัวไปตามจังหวะ แล้วหันหลังเดินกลับกระโจมไป

…แทนคุณแก่แผ่นดิน…ฆ่าคนชั่วช้าเฟ้นหาเฟิงโหว…

………………