“ผู้คนต่างร่วมใจล้างแค้น ความโกรธาเคียดแค้นล้นฟ้า หนึ่งผู้สู้ยิบตา มอดม้วยดั่งนิทรา แทนคุณแก่แผ่นดิน ฆ่าคนชั่วช้าเฟ้นหาเฟิงโหว…”
เสียงร้องเพลงภายในค่ายค่อยๆ เงียบลง เข้าสู่ความเงียบในยามราตรีอีกครั้ง
ภายในกระโจมหลัก มีเจ้าหน้าที่ทางการทหารในอาภรณ์สีม่วงกำลังพึมพำเนื้อเพลงที่ดังขึ้นนอกค่ายเมื่อครู่ คนผู้นี้ก็คือโจวเฟิ่งเสียง เป็นผู้ตรวจการของตะวันตกเฉียงเหนือที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ในครั้งนี้
“มาเพื่อส่งทหารหลบหนีพวกนั้นหรือ” เขาเอ่ยถามขึ้น
มีเสียงตอบรับดังตามขึ้นมา
ขณะเดียวกันนี้ทหารหนีทัพที่อยู่ด้านนอกก็ถูกทุกคนล้อมไว้แทบจะทั้งคืนแล้ว ถูกถามถึงที่มาที่ไปด้วยความอิจฉาตาร้อน แต่ความคึกคักเหล่านี้กลับไม่อยู่ในสายตาใต้เท้าโจวแม้แต่น้อย
“ไปถามมา” ใต้เท้าโจวเอ่ย
ผู้ติดตามที่ไม่ต้องออกไปถามให้มากความก็พลันเอ่ยตอบขึ้นว่า
“…มาส่งม้าเจ็ดตัวให้ขอรับ” เขาบอก
ไม่ต้องถามถึงที่มาที่ไปของคนพวกนี้ แม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่ใต้เท้าโจวและผู้ติดตามต่างรู้ดี
เถ้าแก่แห่งเรือนไท่ผิง เป็นที่หลบซ่อนของทหารหนีทัพที่ถูกแม่ทัพลาดตระเวนอย่างหลิวขุยจับไว้ได้
ทหารหนีทัพมีมากมาย แต่ก็มีเพียงเจ็ดคนนี้เท่านั้นที่ทำใต้เท้าโจวจำได้ขึ้นใจ
หากไม่ใช่เจ็ดคนนี้ เขาในยามนี้คงไม่ได้เป็นแม่ทัพลาดตระเวนที่โด่งดังเช่นนี้ แม้เขาจะไม่ได้นั่งบนตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายปกครอง แต่ตำแหน่งรองผู้บัญชาการก็อาจจะยังพอถูไถอยู่
พอล่าช้าเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกเท่าใดจึงจะสมใจปรารถนา!
แน่นอนว่าหากให้โทษทหารหนีทัพพวกนี้ล่ะก็ จะเป็นการยกย่องพวกเขาเกินไป แล้วเหมือนจะเป็นการกดตัวเองให้ต่ำลง
เรื่องนี้ต้องโทษโชคที่ไม่เข้าข้าง ถูกจางฉุนสอดมือมายุ่ง
โจวเฟิ่งเสียงถอนหายใจ
“…มีอาวุธติดกายเป็นธนูจากชิ่งโจว ไม่ทราบว่าครานี้เหล่าเถ้าแก่ของเรือนไท่ผิงจะใช้ม้าพันธุ์ดีอะไร” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“ใต้เท้าขอรับ นี่เป็นเพียงม้าทหารธรรมดาๆ เท่านั้น” ผู้ติดตามเอ่ยตอบ
โจวเฟิ่งเสียงขมวดคิ้ว
“ม้าธรรมดาหรือ” เขาถาม
“ขอรับ บ่าวตั้งใจดูให้ดีแล้ว เป็นม้าที่ธรรมดามากขอรับ” ผู้ติดตามตอบ
ปลายนิ้วของโจวเฟิ่งเสียงเคาะโต๊ะไปมา
“เช่นนั้นก็คือทองพันชั่งซื้อแส้ม้า ของขวัญอันเล็กน้อยแต่มากไปด้วยน้ำใจนัก” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า “น่าแกล้งไม่น้อย แค่แกล้งจนไปถึงซีเป่ยก็ไม่ง่ายที่จะหาเฟิงโหวได้”
“ใต้เท้าขอรับ บ่าวยังต้องไปซักถามอีกหรือไม่ขอรับ” ผู้ติดตามถาม
“ไม่ต้องแล้ว” โจวเฟิ่งเสียงส่ายหน้าด้วยความเหยียดหยาม “ไม่ต้องไปสนใจพวกมัน อยู่ให้ห่างกับพวกมันไว้ นั่นไม่ใช่ของมงคลอะไร”
ผู้ติดตามรับคำ
ภายในกระโจมอีกหลังหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่ทางการทหารในอาภรณ์สีม่วงอีกคนอย่างเจียงเหวินหยวนก็กำลังซักถามเกี่ยวกับม้าเหล่านั้นอยู่เช่นกัน ท่าทางเมื่อเทียบกับโจวเฟิ่งเสียงแล้ว ใต้เท้าท่านนี้มีสิทธิ์รับช่วงต่อจากหวังปู้ถัง ได้นั่งบนตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายปกครองมากกว่า แต่ยามนี้กลับเป็นเพียงรองผู้บัญชาการทหารม้าที่ท่าทางเลวร้ายเสียยิ่งกว่า
“ไปบอกพวกมันว่าให้สงบเสงี่ยมหน่อย นี่ค่ายทหาร ไม่ใช่เรือนไท่ผิง!”
เจียงเหวินหยวนที่ท่าทางราวกับคนแก่เอ่ยอย่างไม่ปิดบังความรังเกียจแม้แต่น้อย
เขาก็ควรจะรังเกียจอยู่หรอก แม้เขาจะได้รับบารมีจากบิดาจึงได้ตำแหน่งมาครอบครอง แต่ดวงด้านการทหารราบรื่นมาโดยตลอด เคยเป็นถึงผู้ตรวจการเหวยโจว อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากเกาหลิงจวิ้นที่บ้านเกิดให้รับตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายปกครองแห่งตะวันตกเฉียงเหนือ ขอเพียงเดินมาถึงจุดนี้ได้ก็จะสามารถมีตำแหน่งอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ สำหรับนายพลอย่างเขา ชาตินี้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
ทว่า ทั้งหมดนี้โดนทำลายจนสิ้น!
แน่นอนว่าไอ้คนที่ทำลายอนาคตอันรุ่งเรืองของเขาก็คือจางฉุนและเฉินเซ่า แต่พวกทหารหนีทัพเหล่านี้ก็ไม่ใช่ของมงคลอะไร!
หากพวกมันไม่ถูกจับได้ในเมืองหลวงเข้าล่ะก็ ไหนเลยจะมีเรื่องเยอะแยะมากมายเช่นนี้
“หากมาทำท่าทำทางโอ้อวดแถวนี้ ก็อย่าหาว่าข้าไร้เมตตาก็แล้วกัน” เขาเอ่ยอย่างรุนแรงพลางหันไปถามว่า “ม้าพวกนั้นไม่ใช่ม้าพันธุ์ดีอะไรหรอกหรือ หากใช่ล่ะก็ไปเรียกเก็บส่วยมาให้ข้า มีทหารเช่นพวกมันด้วยหรือ ที่เที่ยวโอ้อวดอาวุธกับม้าของตัวเองไปทั่วกองทัพเช่นนี้ นี่มาเพื่อตบหน้าราชสำนักหรืออย่างไร ใช้ไม่ได้!”
“ไม่ใช่จริงๆ ขอรับใต้เท้า” ผู้ติดตามเอ่ยบอก “เป็นเพียงม้าธรรมดาๆ เท่านั้น”
“ดี!” เจียงเหวินหยวนเคาะโต๊ะไปมาเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไปยึดม้าพวกมันมา ตัวเองมีม้าแล้วก็ขี่ของตัวเองไปเสีย”
ผู้ติดตามรีบรับคำแล้วเกิดความฉงน
“เช่นนั้นต้องบอกใต้เท้าโจวไว้ด้วยหรือไม่ขอรับ” เขากระซิบถาม
“เรื่องม้าทหารของข้า จะไปบอกกับเขาทำไม” เจียงเหวินหยวนถลึงตาบอก
ผู้ติดตามรีบรับคำแล้วหันหลังเดินออกไป พอเดินไปถึงหน้ากระโจมแล้วกลับถูกเรียกไว้
“ช่างเถิด ม้าแค่ไม่กี่ตัว ไม่เอาแล้ว เอาไว้ให้พวกมันนั่นแหละ” เจียงเหวินหยวนบอก “แล้วแต่พวกมันเถิด ระหว่างทางก็ไม่ต้องก่อเรื่องแล้ว ถึงตะวันตกเฉียงเหนือแล้วค่อยว่ากันใหม่”
ผู้ติดตามถอนหายใจแล้วรีบรับคำ
เฉิงเจียวเหนียงไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่าม้าที่นางส่งมาให้นั้นจะทำให้ใต้เท้าสองคนโกรธกริ้ว แน่นอนว่าต่อให้นางรู้ก็คงไม่โต้ตอบอะไรไปอยู่ดี เสียงเพลงได้หยุดลงแล้ว กลองหนังใบเล็กถูกท่านชายฉินสิบสามถือเอาไว้ในมือ ตีๆ หยุดๆ อยู่อย่างนั้น ทำเอานกแสกพากันแตกรังในยามค่ำคืน
“แม่นางยังทำอะไรเป็นอีก” เขาถามขึ้น
“ไม่รู้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
“นึกไม่ถึงว่าจะตีกลองเป็น แล้วดีดพิณเป่าขลุ่ยเล่า” ท่านชายฉินสิบสามถามพลางทำหน้าเสียดาย “หากรู้อย่างนี้ข้าเอาพิณมาด้วยก็ดี”
เขาพูดไปพลางตีกลองเคล้าคลอไปพลาง
“ท่านชายสิบสามหยุดตีเถิดเจ้าค่ะ ดึกมากแล้ว เดี๋ยวจะทำคนที่เดินทางยามค่ำคืนตกใจ” สาวใช้เลิกม่านขึ้นบอกอย่างทนไม่ไหว
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางหยุดมือลง เขาเงยหน้าขึ้นมองทางเบื้องหน้า
“แม่นางจะตรงกลับเข้าเมืองเลย หรือว่าจะหาที่พักสักหน่อยก่อนดี” เขาเอ่ยถาม
“เอาที่ท่านสะดวกเถิด” เฉิงเจียวเหนียงบอก “ข้านั่งรถ จะเลือกอย่างใดล้วนเป็นเรื่องดี”
จะที่ไหนหรือว่าเมื่อใดก็หลับนอนในรถนี้ได้เสมอ
ท่านชายฉินสิบสามอมยิ้มมองไปที่นาง
“ดึกมากแล้ว เราเร่งเดินทางเถิด” เขาบอก
สาวใช้ตกใจเล็กน้อย นางคิดว่าเขาจะบอกให้พักเสียอีก
เดินทางกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ไม่เหนื่อยล้าบ้างหรือ
“แม่นาง เพลงนี้ของเจ้าเป็นเพลงที่ร้องสืบต่อกันมาหรือเพิ่งแต่งขึ้นหรือ” ท่านชายฉินสิบสามถามขึ้น
เขาคงจะไม่ชวนคุยไปทั้งคืนหรอกใช่หรือไม่
สาวใช้เบะปากแล้วกลับไปนั่งที่
“น่าจะเป็นเพลงที่ร้องสืบต่อกันมา” เฉิงเจียวเหนียงตอบ จากนั้นก็พยักหน้ายืนยันอีกครั้ง “เป็นเพลงที่ร้องสืบต่อกันมา”
เพลงนี้วนเวียนอยู่ในหัวของนางจึงร้องออกมา
ชายชาตรีออกเรือนหวังเป็นเฟิงโหว บุรุษสร้างชีวิตอันมีเกียรติ…
เสียงกลองดังขึ้นราวกับสอดรับเพลงที่นางร้องพึมพำออกมา
เฉิงเจียวเหนียงเลิกม่านขึ้นมอง ท่านชายฉินสิบสามที่อยู่ข้างๆ กำลังยกมือตีกลองให้ดังขึ้นเบาๆ
“ข้าชอบยิ่งนัก” เขาหันมายิ้มบอก
“ข้าก็ชอบยิ่งนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่ามกลางลมแรงยามราตรีและแสงสว่างจากคบเพลิง รอยยิ้มของท่านชายสดใสงดงาม
เมื่อนภาค่อยๆ ทอแสง ทั้งคนทั้งม้าก็มาถึงหน้าประตูเมือง
ประตูเมืองเปิดไว้อยู่แล้ว ท่านชายฉินสิบสามจึงไม่ต้องออกคำสั่งให้เปิดประตู
“ลำบากท่านแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงบอกพลางคำนับอยู่บนรถ
ท่านชายฉินสิบสามถอดหมวกกันลมออก สีหน้าเจือความอ่อนล้าที่อดนอนมาทั้งคืน ซ้ำยังโดนลมหนาวมาตลอดทาง แต่แววตากลับกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา
“เช่นนั้น เจ้าติดค้างน้ำใจข้าแล้วนะ” เขายิ้มถาม
“ใช่ ข้าติดค้างน้ำใจท่าน ท่านต้องการสิ่งใดหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะออกมายกใหญ่
“นะ…นี่ทำข้าแปลกใจอยู่มาก” เขาบอก “ข้าขอคิดดูก่อนแล้วกัน”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มแล้วปล่อยผ้าม่านลง
รถม้าโคลงเคลงมาจนถึงสะพานอวี้ไต้
“ข้าคิดออกแล้ว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขึ้นพลางมองเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังลงรถมา
นางหันไปมองเขา
“วันที่สิบห้าเดือนแปดขอเชิญแม่นางไปชมโคมกับข้าได้หรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย
การตอบแทนน้ำใจเช่นนี้คงจะเรียกไม่ได้ว่าตอบแทน เพราะมันทั้งน่าสนใจและให้อิสระ
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” นางบอก “ข้ามีนัดแล้ว”
ท่านชายฉินสิบสามคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก
“มีนัดหรือ” เขาถามแล้วยิ้มเอ่ย “ตระกูลเฉินหรือตระกูลโจวเล่า”
นางส่ายหน้าอีกครั้ง
“ล้วนไม่ใช่ เป็นคู่หมั้นของข้าที่นัด” นางตอบ
คู่หมั้น!
ท่านชายฉินสิบสามตะลึงงัน
คำตอบช่างไม่คุ้นเคยนัก นึกไม่ถึงว่าจะหลุดออกมาจากปากของนาง
คู่หมั้น!
“จริงหรือ” เขาเอ่ยถามอีกอย่างอดไม่ได้
นางหันหลังเดินจากไปแล้ว พอได้ยินจึงหยุดฝีเท้าหันกลับมา
“จะโกหกไปเพื่อการใด” นางบอก
นี่เป็นเรื่องจริง เด็กหนุ่มเด็กสาวล้วนต้องสร้างครอบครัว ล้วนต้องมีสามีภรรยาเป็นของตัวเอง
กำลังจะมีในสักวัน
ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้ายิ้มๆ มองนางเดินเข้าประตูไปจนกระทั่งประตูปิดลง
คู่หมั้น…
แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ท่านชายตระกูลหวังผู้นั้นหรือ เขาก็เคยเจอมาก่อน นี่คือเรื่องจริง
ท่านชายฉินสิบสามยืนอยู่ครู่หนึ่งจึงหันหลังกลับไป
“…ผู้คนต่างร่วมใจล้างแค้น…ความโกรธาเคียดแค้นล้นฟ้า…” เขาทอดถอนใจควบม้าจากไป ฮัมเพลงเบาๆ ขี่ม้าไปยังถนนชิงเฉิน
…………………