กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็มาถึง
ทิวทัศน์อันงดงามของเมืองหลวงในเทศกาลไหว้พระจันทร์ไม่ได้ด้อยไปกว่าเทศกาลโคมไฟเลยแม้แต่น้อย
บ้านเรือนแต่ละหลังต่างตระเตรียมโคมไฟเอาไว้ล่วงหน้าจนเพียงพอ รอวันที่จะเปล่งแสงในงาน
เฉินตันเหนียงวิ่งตึกตักอยู่ในเรือนที่ประดับด้วยโคมไฟหลากสี ด้านหลังมีแม่นมค่อยๆ วิ่งตามมา
“ท่านแม่ ท่านแม่”
ฮูหยินเฉินที่กำลังดูเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เพิ่งตัดเย็บเสร็จใหม่ๆ กับสาวใช้อยู่ในห้องโถง เห็นนางวิ่งเข้ามา สาวใช้ก็รีบเอาเสื้อผ้าพวกนั้นหลีกให้
เฉินตันเหนียงคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินเฉิน
“เลิกเรียนแล้วหรือ หิวหรือไม่” ฮูหยินเฉินยื่นมือไปลูบไหล่บุตรสาวพลางยิ้มถาม
“ท่านแม่ ท่านแม่ แม่นางเฉิงไม่มาฉลองเทศกาลที่บ้านเราหรือ” เฉินตันเหนียงรีบเอ่ยถามขึ้น
“นี่มันเทศกาลไหว้พระจันทร์ นางไหนเลยจะมาบ้านเรา คนเขาก็มีบ้านของตัวเองเช่นกัน” ฮูหยินเฉินยิ้มบอก
“เป็นเช่นนั้นหรือ” ฮูหยินเฉินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ของแม่นางเฉิงกับบ้านเราไม่ดีหรอกหรือ จึงไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก”
ฮูหยินเฉินพลันหุบยิ้มลง สายตามองไปยังแม่นมชราที่คุกเข่าอยู่หน้าประตู
“ท่านแม่ พวกนางไม่ได้เป็นคนพูดเจ้าค่ะ” เฉินตันเหนียงเอ่ยพลางดึงแขนเสื้อมารดาตัวเองไปมา “พี่สาวก็จะไม่ไปมาหาสู้กับแม่นางเฉิงอีกแล้ว แม่นางเฉิงก็จะไม่มาเล่นบ้านเราอีกแล้ว ข้าจะไปหานาง พี่กับท่านปู่ก็ไม่ให้ข้าไป ต่อไปแม่นางเฉิงก็จะมาที่นี่อีกแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ…”
“ไม่ใช่ เลิกซี้ซั้วเดาได้แล้ว” ฮูหยินเฉินแย้มยิ้ม “เป็นเพราะหมู่นี้พี่เฉิงนางยุ่งๆ ไม่ควรจะไปรบกวนนาง”
ลูบหัวนางเบาๆ
“แม่จะคอยดูให้เจ้าเอง พอสะดวกแล้วก็จะพาเจ้าไปหานาง”
นางพูดพลางชี้ไปยังเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อยู่ด้านข้าง
“เจ้าดูสิ เสื้อผ้าที่จะมอบให้แม่นางเฉิงล้วนตระเตรียมไว้เพียบพร้อมแล้ว อีกไม่นานก็จะส่งไปให้นาง”
เฉินตันเหนียงจึงได้วางใจลง
ฮูหยินเฉินพาเปลี่ยนเรื่อง สองแม่ลูกหัวเราะพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เฉินตันเหนียงก็ถูกพาตัวออกไป
รอยยิ้มบนใบหน้าฮูหยินเฉินจางหายไปและถอนหายใจออกมา
“ไปถามมาว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์กระโจมตระกูลโจวตั้งอยู่ที่ใดของถนนเทียนเจีย” นางเอ่ย
“ฮูหยินเจ้าคะ กระโจมตระกูลโจวไม่มีสิทธิ์ได้ตั้งบนถนนเทียนเจียเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ
ถนนเทียนเจียคือถนนที่ฮ่องเต้ทรงใช้สัญจร เมื่อถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ฮ่องเต้และไพร่ฟ้าประชาชนล้วนร่วมเฉลิมฉลองกันอยู่ที่ประตูเซวียนเต๋อ และเฉพาะครอบครัวของผู้ที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างเป็นทางการขึ้นไปเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ถนนเทียนเจียได้
พอฮูหยินเฉินนึกขึ้นได้ก็ส่ายหน้าหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“เช่นนั้น อันที่จริงจะเพิ่มมาอีกสักตระกูลคงไม่เป็นไร ข้าจะไปถามนายใหญ่ว่าเพิ่มอีกตระกูลไว้ด้านนอกได้หรือไม่” นางเอ่ยพลางคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีไม่น้อย จึงลุกขึ้นเดินออกไป
และในขณะเดียวกันนั้นเอง ณ จวนตระกูลฉิน ฮูหยินฉินก็กำลังถามถึงตระกูลโจวกับท่านชายฉินสิบสามอยู่พอดี
“ตระกูลพวกนางอยู่ตรงไหนข้าก็ไม่รู้” ท่านชายฉินสิบสามบอก “ท่านแม่จะหาพวกเขาด้วยธุระอะไรหรือ”
“เรื่องแต่งงานน่ะสิ” ฮูหยินฉินบอกพลางมองท่านชายฉินสิบสามด้วยความแปลกใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกให้ข้าไปสู่ขอนางหรอกหรือ เกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องแล้วหรือ”
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะออกมา
“หากท่านแม่ว่าเหมาะสมก็ไปเถิด” เขาบอก
ฮูหยินฉินหัวเราะมองเขา
“เช่นนั้นเจ้าไปเกริ่นกับนางก่อน ให้นางดูว่าคนที่ข้าเลือกนั้นเหมาะสมหรือไม่” นางบอก
“ไม่ต้องหรอกขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามส่ายหน้ายิ้มๆ “ตระกูลเฉิงมองว่าเหมาะสมก็พอแล้ว ไม่ต้องไปถามนางหรอก”
“เจ้ารู้เรื่องรู้ราวดีนัก ไปปรึกษากันมาแล้วหรือ” ฮูหยินฉินเอ่ยถามด้วยสีหน้าแปลกใจ “แล้วคืนนั้นเจ้าไปที่ใดมา”
“ไม่ต้องปรึกษาหรอก เรื่องแต่งงานพวกนี้ผ่านแม่สื่อแม่ชักแล้วให้พ่อแม่เป็นผู้ตัดสินก็พอแล้ว” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย “ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าไปส่งท่านชายโจวหก”
นางถามบ่าวรับใช้ก็ตอบมาเช่นนี้ แต่คำตอบของบ่าวรับใช้ก็ใช่ว่าจะถูกต้อง
ลูกชายคนนี้ เรื่องไหนบอกนางได้นางก็ถามได้อย่างง่ายดาย เรื่องไหนไม่อยากบอก ก็ปิดปากบ่าวรับใช้เสียเงียบกริบ
แต่หมู่นี้ลูกชายนางไม่มีโอกาสได้พบกับแม่นางผู้นั้นเท่าใดนัก เพราะวิชาที่ต้องร่ำเรียนมีมากมาย
ฮูหยินฉินพยักหน้า ปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปไม่เก็บมาคิด
“เช่นนั้นก็ดี” นางเอ่ยพลางหันไปมองแม่นม “ไปบอกนายใหญ่ว่าการชมโคมครั้งนี้ จัดตระกูลโจวไว้ข้างๆ ตระกูลเรา”
แม่นมรับคำ
“เช่นนี้จะพูดคุยกันก็สะดวกนัก” ฮูหยินฉินโบกพัดยิ้มเอ่ยกับท่านชายฉินสิบสาม
ท่านชายฉินสิบสามก็พลันหัวเราะออกมา
“ท่านแม่ว่าดีข้าก็ว่าดี” เขาเอ่ยขึ้น
การจัดการของตระกูลฉินและตระกูลเฉินรวดเร็วยิ่งนัก วันรุ่งขึ้นกระโจมของตระกูลโจวก็ถูกจัดตั้งเรียบร้อย คนที่ชอบยืมดอกไม้ถวายพระ ย่อมมีอยู่มาก ดังนั้นจึงมีคนไปบอกตระกูลโจวล่วงหน้าแล้ว
พอได้รู้ว่ากระโจมของตระกูลตัวเองถูกตั้งไว้ที่ใด นายใหญ่โจวก็ตกอกตกใจยกใหญ่ ถึงขนาดไม่สนใจไปดูโคมยักษ์ที่พ่อบ้านซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ที่ถนนเทียนเจียหรือ” ฮูหยินโจวก้พลอยตกอกตกใจไปด้วย “จะเป็นไปได้อย่างไร”
“ไม่น่าผิด” นายใหญ่โจวเอ่ยขณะกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในโถงใหญ่อย่างปกปิดความตื่นเต้นนี้ไว้ไม่มิด “ตระกูลเฉินกับตระกูลฉินเป็นผู้จัดเตรียมให้”
ตระกูลเฉินตระกูลเดียวมาจัดเตรียมให้ก็ดีใจเหลือคณาแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังมีตระกูลฉินด้วยอีกตระกูล ฮูหยินโจวนั่งหลังตรง
“พวกเขาจะทำอันใด” นางเอ่ยถาม
“จะทำอันใดได้ล่ะ” นายใหญ่โจวส่งเสียงไม่พอใจออกมา “พวกเขาต่างติดค้างบุญคุณเจียวเจียวร์ของเรา ข้ายังคิดว่าพวกเขาจะลืมไปแล้วเสียอีก”
พูดถึงเจียวเจียวร์ ฮูหยินโจวก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“เทศกาลไหว้พระจันทร์ทั้งทีนางจะไม่มาเยี่ยมบ้านจริงๆ หรือ” นางเอ่ยถาม “คงไม่ได้ตั้งใจให้คนอื่นคิดว่าเราแตกกันหรอกกระมัง”
“แตกกันอะไร แตกกันที่ไหน คนของตระกูลหวังมาที่นี่กันทั้งตระกูล จะพานางไปชมโคมต่างหาก” นายใหญ่โจวเอ่ยบอก
“คิดไม่ถึงว่าจะเชิญนางไปดูโคม คิดอะไรกันอยู่น่ะ…” ฮูหยินโจวเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “โง่เสียจริง…”
ประโยคพวกนี้นายใหญ่โจวไม่อยากจะฟัง
“เหตุใดจึงไม่ได้ เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าโง่เขลา” เขาถลึงตาเอ่ย
จะไปสนใจว่าเขาโง่เขลาหรืออะไรทำไม ขอเพียงแค่ไม่ใช่ลูกชายนางที่ไปเป็นเพื่อนสตรีนางนั้นก็พอแล้ว
ฮูหยินโจวรีบยิ้มเปลี่ยนเรื่อง
“ข้าจะบอกว่าท่านชายตระกูลหวังผู้นี้ใส่ใจดี มิน่าเล่าเจียวเจียวร์จึงได้ถูกใจเข้า” นางหัวเราะบอก
ประโยคนี้ยังพอเข้าหูหน่อย นายใหญ่โจวพยักหน้าพอใจ แต่ก็ยังไม่ค่อยได้ดั่งใจนัก
“หากแต่งงานไปแล้ว ยังอยู่ที่เมืองหลวงต่อได้ก็คงดีไม่น้อย” เขาเอ่ยพลางถอนหายใจ ดังนั้นลูกสาวก็คือลูกสาว พอแต่งงานไปก็กลายเป็นคนของบ้านอื่นแล้ว
คิดถึงเรือนไท่ผิง เรือนนางฟ้า เต้าหู้ไท่ผิง วิธีการรังแกคนตามอำเภอใจ ไหนจะฝีมือด้านการแพทย์ที่ชุบชีวิตคนตายได้นั่นอีก…
ล้วนเป็นของตระกูลอื่นไปแล้ว…
นายใหญ่โจวยกมือขึ้นกุมอก
เจ็บปวดยิ่งนัก
ท่ามกลางแสงแดดในฤดูสารท ทหารส่งสารไปๆ มาๆ จนฝุ่นตลบอบอวล
“จะตั้งค่ายอีกแล้วหรือ” สวีปั้งฉุยถลึงตาตะคอก “เพิ่งจะเดินทางได้ไม่กี่วันเอง”
“พวกใต้เท้าอยากอยู่ฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่เมืองซุ่ยเฉิง” ทหารที่อยู่ข้างๆ ตอบ
สวีปั้งฉุยส่งเสียงถุยออกมาอย่างอดไม่ได้
“ออกเดินทางเช่นนี้จะมาฉลองเทศกาลอะไร” เขาเอ่ย
“เจ้ารีบร้อนอันใดเล่า ได้พักผ่อนเช่นนี้ไม่ดีหรือไร” ทหารคนนั้นยิ้มเอ่ย
“มีอันใดให้พักผ่อนกัน ข้ารอไปสร้างผลงานอยู่” สวีปั้งฉุยรีบบอก
ประโยคนี้ทำเอาทุกคนหัวเราะกันออกมา บ่นไปบ่นมาก็เริ่มตั้งค่ายกันอย่างวุ่นวาย
เหล่าผู้บังคับบัญชาถูกขุนนางท้องถิ่นเชิญให้ไปพักอยู่ในเมือง ตามกฎแล้วพวกเขาที่เป็นทหารจะต้องอยู่แต่ในค่ายนอกเมืองเท่านั้น
……………..