บทที่ 289.2 เทศกาลไหว้พระจันทร์ (2)

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

“พี่สี่เล่า”

 

เหล่าพี่น้องที่นั่งปักหลักกันอยู่หันไปมองก็เห็นว่าขาดไปคนหนึ่ง

 

“จะไปทำอันใดได้เล่า ก็ไปดูม้าน่ะสิ” ฟ่านเจียงหลินบอก

 

สวีปั้งฉุยและพี่น้องคนอื่นทำหน้าฉงน มองไปทางฝูงม้าที่อยู่ไม่ไกลก็เห็นสวีซื่อเกินนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้นจริงๆ

 

“พี่สี่แทบจะกราบไหว้บูชาม้าฝูงนั้นอยู่แล้ว” สวีปั้งฉุยเอ่ยพลางทึ้งหัวตัวเอง “หรือว่าน้องจะให้ม้าทองพันชั่งมาจริงๆ”

 

สวีเม่าซิวยืนอยู่ข้างๆ มองสวีซื่อเกินที่กำลังตั้งอกตั้งใจดูม้าอยู่

 

“เป็นเช่นไร” เขาเอ่ยถาม

 

“ยังดูไม่ออก” สวีซื่อเกินตอบแต่สายตาไม่ละจากม้าไปไหน จะพูดให้ถูกคือละจากเกือกม้า

 

 

ม้าเจ็ดตัวอยู่ท่ามกลางฝูงม้าตัวอื่นๆ ขนของมันก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ก้มไปดูอย่างตั้งใจก็จะพบว่าเกือกของพวกมันไม่เหมือนกับม้าในฝูง

 

“ถนนหนทางเท่ากันสม่ำเสมอ ใช้เวลาเดินทางสั้น จึงยังไม่เห็นข้อแตกต่างอะไร” สวีซื่อเกินบอกพลางลุกขึ้นยืน ท่าทางเขาตื่นใจ ดวงตาเป็นประกาย น้ำเสียงสั่นเครือไม่เหมือนกับยามปกติ “แต่ว่า พี่สาม!”

 

เขาคว้าแขนสวีเม่าซิวไว้ด้วยความตื่นเต้น

 

“พี่สามรอพวกเราไปถึงซีเป่ยก่อนเถิด เดี๋ยวก็จะดูออกเอง!” เขาพูดจาสะเปะสะปะไม่สอดคล้องเชื่อมโยงกัน มือที่คว้าแขนสวีเม่าซิวไว้ออกแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว “พี่สาม พี่สาม ข้าดูออกแล้ว! ไม่เหมือนแล้ว! ไม่เหมือนอย่างมาก! พี่สาม นี่เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ นี่เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ของน้องสาว!”

 

สวีเม่าซิวหัวเราะออกมา

 

“ใช่ ข้ารู้ ของขวัญที่น้องสาวให้ไม่ใช่ของธรรมดาๆ แน่นอน” เขาเอ่ยพลางตบแขนสวีซื่อเกินเบาๆ

 

“ของขวัญชิ้นใหญ่ ของขวัญชิ้นใหญ่ ของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นนี้ ช่าง…ช่าง…” สวีซื่อเกินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเครือ ท่าทางเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นตอนเช้าตอนที่เห็นม้าที่เฉิงเจียวเหนียงให้มาชัดๆ ก็เป็นเช่นนี้มาตลอด “พวกพี่ไม่เข้าใจ พวกพี่ไม่เข้าใจ เจ็บปวดเพียงใด เจ็บปวดใจเพียงใด ม้ามากมายเช่นนี้ ม้าดีๆ มากมายเช่นนี้ ไม่ควรจะตายแท้ๆ แต่กลับมาตายไป…หากว่า…หากว่าจะ…หากว่าจะกลายเป็น…”

 

เขาพึมพำกับตัวเองแล้วนั่งยองๆ ลงอีกครั้งด้วยท่าทางตื่นเต้น กอดเกือกม้าที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้อย่างอดใจไม่อยู่ ดูเท่าใดก็ยังไม่พอเสียที

 

สวีเม่าซิวยิ้มอย่างจนใจ รู้สึกถึงสายตาที่มองมาจึงหันไปมอง เห็นผู้บัญชาการกลุ่มหนึ่งกำลังเตรียมตัวเข้าเมืองกันอยู่ หนึ่งในนั้นมีหนุ่มน้อยคนหนึ่งกำลังมองมาทางตน

 

เห็นเขามองไป ท่านชายโจวหกก็ดึงสายตากลับ

 

ม้าแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น มีอะไรน่าอวดกัน ท่าทางอย่างกับกราบไหว้บรรพบุรุษ

 

น่าขายขี้หน้านัก!

 

แสงตะวันสุดท้ายค่อยๆ ลาลับไป ความมืดของราตรีปกคลุมทั่วทุกผืนดิน

 

ท่านชายโจวหกเงยหน้ามองดวงจันทร์เต็มดวงค่อยๆ เคลื่อนคล้อยขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

“เทศกาลในเมืองคึกคักนัก ไม่รู้ว่าที่นี่จะเป็นเช่นไร”

 

บรรดาใต้เท้าที่อยู่ข้างๆ พูดคุยหัวเราะกันครื้นเครง

 

ใช่น่ะสิ เทศกาลในเมืองคึกคักนัก สตรีนางนั้นน่าจะไปชมความคักคึกด้วยกระมัง

 

แต่ก็อาจจะไม่ใช่ นางประหลาดเช่นนั้น ไม่ชอบความคึกคักวุ่นวาย

 

วันงานเทศกาลเช่นนี้ นางจะทำอันใดกันหนอ

 

ไม่ได้กลับบ้านตัวเองแน่ๆ อยู่บ้านผู้เดียวหรือ

 

“ท่านชายหก ไปกันได้แล้ว” มีคนตะโกนขึ้นบอก

 

ท่านชายโจวหกดึงสติกลับมา รีบรับคำแล้วควบม้าตามไป ท่ามกลางแสงจันทราที่สาดส่อง คนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เมือง

 

ขณะเดียวกันนั้น เมืองหลวงที่อยู่ใต้แสงจันทร์ได้กลายเป็นแดนสวรรค์บนดิน

 

บนถนนทั่วทุกหนแห่งล้วนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีสัน ร้านรวงหรูหราและบรรดาชนชั้นสูงตกแต่งด้วยโคมไฟสูงใหญ่ จิ้นอันจวิ้นอ๋องยืนอยู่ที่ประตูเซวียนเต๋อมองไปในเมืองจนสุดลูกหูลูกตา ราวกับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลที่แต่งแต้มด้วยดวงดาวมากมาย สวยงามตระการตา

 

“ท่านพี่ ท่านพี่”

 

องค์ชายรองตะโกนเรียกด้วยความรีบร้อน มองจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่บนป้อมปราการพลางก้มมองไปรอบๆ

 

“ฝ่าบาทอย่าวิ่งพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขันทีบอกพลางระวังให้

 

บนป้อมปราการนอกจากจะมีฮ่องเต้ที่ประทับอยู่แล้ว ยังมีเหล่าบรรดานางในแห่งวังหลังและพระบรมวงศานุวงศ์เลือดบริสุทธิ์ที่สนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์ รวมถึงขุนนางในราชสำนักและนางกำนัลขันทีก็อยู่ที่นี่ด้วย

 

จิ้นอันจวิ้นอ๋องหยุดฝีเท้า หันกลับแล้วยื่นมือไป

 

องค์ชายรองจับมือเขาแล้วลุกขึ้น

 

“ท่านพี่ สวยใช่หรือไม่” เขาเอ่ยด้วยท่าทางภาคภูมิใจ พลางมองความคึกคักบนถนนหลวงและสีสันงามตาที่อยู่ไกลๆ ภายในเมืองหลวง “ไม่กี่ปีก่อนชวนท่านมาท่านก็ไม่ยอมมา จะนอนอุดอู้อยู่ในห้องลูกเดียว ตอนนี้เสียใจแล้วกระมัง”

 

จิ้นอันจวิ้นอ๋องแย้มยิ้มไม่ได้ตอบคำกลับไป ยังคงมองลงไปยังด้านล่างของประตูเมืองต่อ

 

เหมือนเขากำลังดูโคมอยู่ และคล้ายว่าไม่ได้ดูอยู่เช่นกัน องค์ชายรองรู้สึกไม่ถูกต้อง

 

“ท่านพี่ ท่านกำลังหาสิ่งใดหรือ” เขาเอ่ยถาม

 

แม้กระโจมที่ตั้งอยู่บนถนนหลวงจะมีไม่มาก แต่ก็นับได้สามสิบสี่สิบตระกูล ที่อยู่ใกล้ๆ ยังพอจะมองเห็นได้ชัดเจน แต่ที่แสงโคมที่อยู่ไกลลิบแวววาวนั้นมองอย่างไรก็เห็นไม่ชัด

 

กระโจมของตระกูลโจวคงอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตานั้นกระมัง

 

“เราลงไปดูโคมกันข้างล่างได้หรือไม่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องกันมาถาม

 

ประโยคนี้ไม่ต้องขออนุญาตจากองค์ไทเฮา เพราะเหล่าขันทีต่างรีบพากันส่ายหน้าห้ามไว้ก่อน

 

“ฝ่าบาท อย่าก่อเรื่องนะพ่ะย่ะค่ะ!” พวกเขาพากันเอ่ยบอก

 

จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ทราบดีว่าไม่ควร ได้ยินเช่นนั้นจึงแย้มยิ้มออกมา

 

“มา เรามาดูทางนี้กันดีกว่า” เขายิ้มพลางจูงมือองค์ชายรองเดินไปอีกฝั่ง

 

เขายืนอยู่สูงเพียงนี้ก็ยังมองไม่เห็น บางคนยืนอยู่หน้าสุดแล้วก็ยังมองไม่เห็นเช่นกัน

 

“แม่นางเฉิงไม่มาหรือ” ฮูหยินเฉินเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ

 

“เจ้าค่ะ” ฮูหยินโจวยิ้มตอบ แต่ในใจส่งเสียงเฮอะคำหนึ่ง รู้ดีว่าคนพวกนี้จัดให้ตระกูลนางนั่งกันตรงนี้เพื่อการใด

 

แต่จะไปสนใจทำไม อย่างไรเสียพวกนางก็สมควรที่จะได้รับมันอยู่แล้ว

 

“แล้วนาง…” ฮูหยินเฉินถามขึ้นอีก แต่เสียงจอแจก็ดังขึ้นจากนอกกระโจม ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของสตรี

 

“ไอ้หยา โคมตระกูลนี้งามเสียจริง เราเข้าไปดูกันเถิด”

 

ฮูหยินเฉินจึงเงียบไปไม่ถามต่อ แล้วส่งยิ้มบางให้กับสตรีที่เพิ่งเดินเข้ามา

 

“อุ๊ย ท่านพี่ก็อยู่ด้วยหรือนี่” พอฮูหยินฉินเห็นฮูหยินเฉินเข้าก็โบกพัดยิ้มทัก

 

ฮูหยินเฉินยิ้มแต่ไม่ได้ตอบคำ มองเลยไปยังท่านชายฉินสิบสามที่อยู่ด้านหลังนาง

 

เดิมทีกระโจมไม่ได้ใหญ่ พอคนเข้ามามากเข้าก็เริ่มจะเบียดเสียด มองไปด้านนอกเห็นสตรีตระกูลอื่นลองเดินตามฮูหยินฉินและฮูหยินฉินเข้ามา

 

ชั่วพริบตานั้นสตรีตระกูลโจวก็จำต้องหลบออกมาด้านนอก

 

ฮูหยินโจวไร้ซึ่งความไม่พอใจกับความยุ่งยากนี้แม้แต่น้อย ซ้ำยังแย้มยิ้มกว้างอีกต่างหาก

 

“แม่นางเฉิงเล่า” ฮูหยินฉินเอ่ยถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

 

“ไม่อยู่เจ้าค่ะ”

 

ไม่ต้องรอให้ฮูหยินโจวเป็นคนตอบ ฮูหยินเฉินก็ตอบแทรกขึ้นแทน

 

“ไปไหนแล้วหรือ ไปดูโคมหรือ เหตุใดไม่เห็นเลย” ฮูหยินฉินเอ่ยถามพลางดันท่านชายฉินสิบสาม “ไปตามนางมาให้ข้าที”

 

“นางไม่ได้มา”

 

ครั้งนี้ฮูหยินโจวก็ยังคงไม่ได้ตอบเช่นกัน เป็นท่านชายฉินสิบสามที่ยิ้มเอ่ยตอบแทน

 

ฮูหยินฉินกับฮูหยินเฉินต่างพากันมองไปที่เขา

 

“ไม่ได้มาหรือ นางอยู่บ้านหรือ” พวกนางถามขึ้นพร้อมกัน

 

“วันนี้นางมีนัดขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มบอก

 

“นัดกับผู้ใด”

 

ฮูหยินทั้งสองถามขึ้นมาอีก

 

“คู่หมั้นนางขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามตอบ

 

คู่หมั้น!

 

ฮูหยินเฉินกับฮูหยินฉินต่างตกตะลึง

 

“สิบสาม!”

 

ฮูหยินฉินดึงสติกลับมาแล้วตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว

 

ท่านชายฉินสิบสามมองมารดาแล้วหัวเราะออกมายกใหญ่ ยักคิ้วหลิ่วตาให้อย่างผู้ชนะ

 

ส่วนฮูหยินโจวที่ปากพะงาบๆ อยู่ก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นางยื่นมือไปหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะมา

 

นางรินชาให้กับเหล่าฮูหยินพวกนี้ก็แล้วกัน อย่างไรเสียคนนอกก็รู้เรื่องส่วนตัวของหลานสาวนางได้ดีกว่าตัวนาง

 

…………..