บทที่ 290 เที่ยวชมโคมไฟ

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

“เจ้ารู้ตั้งนานแล้วแต่กลับไม่บอกข้า”

ฮูหยินฉินมองลูกชายแล้วเคาะพัดใส่เขาด้วยความโกรธกริ้ว

“เทศกาลมงคลยิ่งใหญ่เช่นนี้จะทำท่านแม่ขายหน้าได้อย่างไร” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยเสียงเบา

ฮูหยินฉินส่งเสียงถุยออกมา

“เจ้าทนมาเสียหลายวัน เพื่อรอดูแม่เจ้าขายขี้หน้าในเวลานี้กระมัง!” นางยิ้มพลางกระซิบเอ่ย

ท่านชายฉินสิบสามยิ้มบางๆ ออกมา

“ท่านแม่อย่าใส่ร้ายลูกสิขอรับ” เขายิ้มบอก

ยามนี้พวกเขาเดินออกจากกระโจมของตระกูลโจวแล้วเดินไปตามถนนที่สะท้อนแสงไฟสีแดงจากโคมขนาดน้อยใหญ่

ท่านชายฉินสิบสามในอาภรณ์สีฟ้าเข้ม สวมเข็มขัดหยก รัดเกล้าด้วยมงกุฎทองที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางแสงโคมแวววาวบนถนนนั้น ช่างโดดเด่นสะดุดตา รอยยิ้มแต่งแต้มในยามนี้ดูมีชีวิตชีวาเรียกสายตาผู้คนรอบข้างให้แอบมองมาได้ไม่น้อย

“ข้าคร้านจะสนใจเจ้าแล้ว” ฮูหยินฉินเอ่ย “ไป ไป เจ้าไปเที่ยวเล่นคนเดียวไป”

ฮูหยินฉินกล่าวจบก็ก้าวตามฮูหยินเฉินที่อยู่ด้านหน้าไป

ท่านชายฉินสิบสามเห็นท่านแม่เดินไปแล้วก็หันหลังกลับเดินไปทางนอกถนนหลวง รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าค่อยๆ จางหาย เขาหยุดเท้าลงตรงทางแยก

ถนนที่ไกลออกไป แม้จะหรูหราไม่เท่าถนนหลวง แต่เพราะไม่ได้ถูกจำกัดกฎเกณฑ์มากมายจึงทำให้คึกคักกว่ามาก

ทิวทัศน์น่ารื่นรมย์ของที่นั่น ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การหาคนงามสักคนมาร่วมชื่นชมด้วยกันจริงๆ

ป่านนี้นางคงกำลังเที่ยวชมทิวทัศน์อยู่กระมัง

หากมองลงมาจากด้านบนก็จะเห็นบรรยากาศอันงดงามราวกับดวงดาวเป็นสายบนฟากฟ้าของเมืองหลวง ปล่อยตัวเข้าไปสัมผัสกับความงามที่แตกต่างเหล่านี้ก็เป็นรสชาติที่แปลกใหม่ไปอีกแบบ

มีดอกไม้ไฟเบ่งบานท่ามกลางฟากฟ้าในยามราตรีอยู่เป็นพักๆ

ในขณะที่ดอกไม้ไฟกำลังเบ่งบานบนนภานั้น ปั้นฉินและจินเกอร์ก็หวีดร้องออกมาเหมือนกับคนอื่นๆ ในฝูงชน แต่เป็นเสียงหวีดร้องด้วยความยินดีและประหลาดใจ

“อย่าเดินเพ่นพ่านไปทั่ว มองคนมองทางด้วย” สาวใช้กำชับขึ้น แล้วยื่นมือไปดึงจินเกอร์ที่กำลังจะวิ่งไปข้างหน้าเอาไว้ “เทศกาลนี้มีคนร้ายมาลักพาตัวอยู่ทุกๆ ปี เจ้าอย่าได้ถูกจับไปอีก!”

“ข้าไม่เคยถูกจับมาก่อนนะ!” จินเกอร์ตะคอก “ครั้งนั้นข้าแค่พลัดหลงต่างหาก!”

ทุกคนต่างหัวเราะกันออกมา

“นี่ เจ้าเร็วเข้าหน่อยสิ”

ท่านชายที่เดินอยู่ข้างหน้าหันมาตะคอกบอกด้วยเพราะอดรนทนไม่ไหว

“จะรีบร้อนไปใย” สาวใช้ขมวดคิ้วตะโกนถาม “ชมทิวทัศน์ก็ต้องเดินช้าๆ สิ”

สาวใช้นางนี้โหดเหี้ยมนัก!

ผู้ติดตามข้างกายของท่านชายหวังสิบเจ็ดต่างพากันอึ้ง หันไปมองนางกันอย่างอดไม่ได้

“มีอันใดน่าดูกัน!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดบ่น

“เช่นนั้นแล้วท่านยังจะเชิญนายหญิงของข้าให้มาดูอีก” สาวใช้รีบสวนทันควัน

สาวใช้นางนี้นี่!

ท่านชายหวังสิบเจ็ดถลึงตาโต ไว้จะมาจัดการเจ้าทีหลัง!

เขาหยุดฝีเท้าลงเพื่อรอให้เฉิงเจียวเหนียงที่ถูกล้อมหน้าล้อมหลังด้วยสาวใช้เดินเข้ามาใกล้

“ข้างหน้ายังมีสิ่งที่น่าสนใจอีก มีถนนคนเดินประดับโคมอยู่ริมแม่น้ำ เรารีบไปที่นั่นกัน” เขาเอ่ยบอก

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าพลางเอ่ยรับคำ

ผู้คนคลาคล่ำดั่งสายน้ำหลาก ผู้ติดตามสี่ห้าคนของตระกูลหวังช่วยกันแหวกทางให้พวกเขาอย่างสุดความสามารถ

ถนนตกแต่งด้วยโคมไฟหลากสีไปตลอดทาง เปล่งประกายสาดแสงดั่งทองคำ งดงามแวววาว ทุกคนต่างชะลอฝีเท้าลงมองชมโคมไฟเหล่านี้โดยไม่ทันรู้ตัว

ท่านชายหวังสิบเจ็ดถูกผู้ติดตามเรียกไว้จึงพบว่าพวกนางไม่ได้เดินตามมาก็โมโหใหญ่

“เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ” เขาก้าวยาวๆ เดินกลับไปตวาดถาม ยื่นมือไปจับแขนเฉิงเจียวเหนียงไว้ “รีบเดินหน่อย”

เฉิงเจียวเหนียงที่กำลังจะเงยหน้ามองโดนแสงจากดอกไม้ไฟอาบแก้มจนแดงเรื่อแล้วถูกดึงเสียจนโซเซ

สาวใช้แผดเสียงร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ท่านทำอันใดน่ะ!” นางตะโกนขึ้นพลางยกมือขึ้นตีแขนท่านชายหวังสิบเจ็ด

“เจ้าทำอันใดน่ะ!” ผู้ติดตามตระกูลหวังก็ยื่นมือไปผลักนางออก เอ่ยขึ้นด้วยความดูถูกและไม่พอใจ “สาวใช้ต่ำต้อยเช่นเจ้า กล้ามาลงมือกับท่านชายของข้าได้อย่างไร!”

ปั้นฉินและจินเกอร์ก็พากันล้อมพวกเขาไว้เช่นกัน แต่อีกฝ่ายเป็นบุรุษที่มีกันตั้งห้าหกคน พวกนางจึงดูตัวเล็กและอ่อนแอไปอย่างเห็นได้ชัด

สถานการณ์แปลกๆ ระหว่างพวกเขายามนี้ดึงดูดสายตาฝูงชนมากมายให้สนใจ

“ได้ ข้าจะเดินให้เร็วขึ้น” เฉิงเจียวเหนียงบอก

ท่านชายหวังสิบเจ็ดจึงได้ปล่อยมือจากนางด้วยความหงุดหงิด

“ข้าตั้งใจพาเจ้าออกมาเที่ยวเล่น เป็นเกียรติแก่เจ้า มิฉะนั้นไหนเลยเจ้าจะได้มาเห็นความคึกคักเช่นนี้” เขาเอ่ยบอก

เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้ม

“ใช่” นางบอก “หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าก็คงไม่ออกมา”

“รู้แล้วก็ดี เจ้าต้องเชื่อฟังข้า อย่าทำให้ข้าไม่พอใจ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดส่งเสียงเฮอะออกมา พลางนึกอะไรขึ้นมาได้จึงมองนาง “แล้วก็ อย่าพูด หน้าตาก็ดีอยู่หรอก แต่พอพูดเท่านั้นแหละความงามก็หมดไปแล้ว”

เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าคำนับ

แล้วนางก็ไม่ได้พูดอะไรอีกจริงๆ

ท่านชายหวังสิบเจ็ดจึงพยักหน้าอย่างพออกพอใจ

“ถ้าเจ้าถูกใจอันใดเดี๋ยวข้าซื้อให้” เขามองดูเสื้อผ้าธรรมดาๆ บนร่างนางรวมถึงดวงหน้าที่ไร้ซึ่งเครื่องประดับของนางแล้วโบกมือเอ่ยบอก แล้วก้าวยาวๆ เดินต่อ

เฉิงเจียวเหนียงยังคงแย้มยิ้มแล้วก้าวเดินตามเขาไป

“รีบเดินได้แล้ว” ผู้ติดตามตระกูลหวังเอ่ยขึ้นพลางมองสาวใช้ทั้งสามด้วยความเหยียดหยาม

การแต่งงานเข้าตระกูลหวัง ล้วนเป็นเรื่องที่ใครหลายคนทำได้แค่ฝัน นับประสาอะไรกับนายหญิงบ้าของพวกเจ้า

สาวใช้อย่างพวกเจ้าจึงพลอยได้อานิสงค์ไปด้วย

“พวกเจ้า…”

จินเกอร์และปั้นฉินถลึงตาใส่พวกเขาด้วยความโมโห

“ช่างเถิด” สาวใช้เอ่ยพลางมองเหล่าคนใช้ตระกูลหวัง “ไม่มีผู้ใดหนีจากบาปไปได้”

นางกล่าวจบก็เรียกพวกเขาให้ตามมา

“ผู้ใดหนีจากบาปกัน” ผู้ติดตามตระกูลหวังเบะปากหัวเราะพลางส่ายหัวเอ่ยว่า “คนอย่างพวกนาง พอเข้าบ้านเรามา ไม่กี่วันก็คงถูกเฆี่ยนเจียนตายและถูกไล่ออกมา”

“ไป ไป” มีคนผู้หนึ่งหมดอารมณ์จะว่าพวกนางจึงเอ่ยเร่ง “ให้ท่านชายเที่ยวเล่นเสียให้พอ พวกเราจะได้รีบกลับเมืองกัน”

พวกเขาเดินฝ่าฝูงชนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก

ดอกไม้ไฟที่ค่อยๆ พุ่งขึ้นสูงสู่ฟ้า ถนนหนทางประดับประดาด้วยโคมไฟ รวมทั้งโคมลอยที่ลอยเอื่อยอยู่ในแม่น้ำ ก่อให้เกิดทัศนียภาพอันงดงามไปทั้งฟากฟ้าและผืนดิน

สถานที่ชมโคมไฟที่ดีที่สุดคือเลียบริมฝั่งแม่น้ำ เป็นทำเลทองที่ผู้คนต่างแย่งกันมาจับจอง ที่นั่นมีกระโจมของเหล่าชนชั้นสูงตั้งอยู่ทั้งสองฟากฝั่ง หอสุราและโรงน้ำชาทั้งสองฟากของแม่น้ำจึงมีความได้เปรียบเป็นพิเศษ

หนึ่งในนั้นก็คือหอเต๋อเซิ่งอันโด่งดังแห่งนี้

“เป็นเช่นไร โคมที่นี่งดงามหรือไม่”

ท่ามกลางฝูงชน ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยถามด้วยความภาคภูมิใจ เขายื่นมือชี้โคมใหญ่ที่อยู่หน้าหอเต๋อเซิ่ง

โคมใหญ่ใบนี้ดูละเอียดประณีต ด้านบนมีโคมไฟเคลือบเงาและโคมม้าวิ่ง ประดับอยู่รวมกัน เห็นได้ชัดถึงระยะเวลาที่ประดิษฐ์และทุนที่ใช้ว่ามากมายเพียงใด

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า นางมองโคมตรงหน้าด้วยความตั้งใจ

ในที่สุดก็ได้มายังสถานที่ที่ดวงใจคะนึงหามาโดยตลอด ท่านชายหวังสิบเจ็ดจึงพออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้ชวนให้เฉิงเจียวเหนียงได้ชมดู

“ไม่เพียงเท่านี้นะ ในหอสวยกว่านี้มากนัก” เขาบอก “ที่นั่นติดแม่น้ำ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ในแม่น้ำได้”

พูดไปเขาก็ภาคภูมิใจไป

“ข้าจองห้องไว้แล้ว ตอนนี้ห้องติดแม่น้ำของหอเต๋อเซิ่งจองได้ยากนัก”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าอีกครั้ง

ท่านชายหวังสิบเจ็ดพานางเดินเข้าไปด้านใน พอเข้าหอเต๋อเซิ่งมา ขึ้นบันไดไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังขึ้น

“นางคณิกา แม่นางจูออกมาแล้ว!”

“นางคณิกา แม่นางจูออกมาแล้ว!”

ผู้คนที่กำลังเดินขึ้นบันไดต่างพากันหยุดชะงักแล้วหันไปมองตรงที่ที่คนกำลังมุงอยู่

“นางคณิกาคืออันใดหรือ” จินเกอร์ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“คือนางโลมแห่งกองสังคีต” สาวใช้เอ่ยบอก “ในหอสุราเช่นนี้นิยมเลี้ยงไว้เพื่อเล่นดนตรีเคล้าสุรา นางคณิกาคือนางโลมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของกองสังคีต”

นางกล่าวจบแล้วก็หยุดไปครู่หนึ่ง

“แม่นางจู…คุ้นหูนัก…”

นางพึมพำกับตัวเองพลางมองไปยังที่ที่คนกำลังมุงอยู่

มีสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังเดินอยู่บนระเบียงฝั่งตรงข้าม หนึ่งในนั้นมีนางหนึ่งที่เดินนำอยู่หน้าสุดในอาภรณ์ประดับสีแดงสดหรูหราสวยงาม ศีรษะปักปิ่นและสวมมงกุฎล้ำค่า กำลังเดินอ้อนแอ้นดั่งมัจฉาที่แหวกว่ายวารี ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ที่อยู่ท่ามกลางแสงแวววาวของโคมไฟที่ประดับอยู่

“งามจริงๆ”

ปั้นฉินอดไม่ได้จึงเอ่ยออกมาอย่างตะลึง

จินเกอร์มองตะลึงตาค้างไปแล้ว

ทันใดนั้นเสียงจอแจคึกคักภายในหอเต๋อเซิ่งก็พลันเงียบกริบ

ที่แท้ก็มีเพียงการเปิดตัวของนางคณิกาเท่านั้นที่จะเกิดการต้อนรับเช่นนี้ได้ และมีเพียงผู้ติดตามนางคณิกาเท่านั้นจึงจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ได้

ชุนหลิงที่กอดผีผา ไว้ในอ้อมแขนเดินๆ หยุดๆ ตามนางอยู่ด้านหลัง แม้ว่าสายตาริษยาทั้งหลายจะไม่ได้จับจ้องมาที่นาง แต่จะเป็นอันใดไปเล่า แค่นางได้ชื่นชมถึงมันก็เพียงพอแล้ว

สายตาของนางมองไปด้านหน้า โคมไฟภายในหอโชติช่วงเสียจนคนมองลืมตาแทบไม่ขึ้น แต่นางกลับหรี่ตาไม่ได้ และต้องตั้งใจมองลงไปยังฝูงชนที่อยู่ด้านล่างเพื่อมองหาอะไรบางอย่าง

ชุนหลิงมองฝ่าฝูงชนที่กำลังรุมล้อมไปยังฝั่งตรงข้าม ฝีเท้านางก็หยุดลงโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจพลันขาดห้วง

บนบันไดฝั่งตรงข้ามที่เต็มไปด้วยผู้คน ทั้งบุรุษสตรีคนแก่คนหนุ่ม แต่นางก็สามารถเห็นคนที่นางกำลังมองหาได้อย่างรวดเร็ว

ท่านชายกำลังมองมาทางพวกนางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ แน่นอนว่าเขาไม่ได้มองนางอยู่ และอันที่จริงนางก็ไม่ได้จะมองเขา

สายตาของชุนหลิงไปหยุดอยู่ด้านหลังท่านชายหวังสิบเจ็ด คนผู้นั้นโดดเด่นดั่งหงส์ในฝูงห่าน

แม่นางผู้นี้ดูบอบบางอ่อนแอ อาภรณ์สีเทาเรียบๆ โดดเด่นเป็นพิเศษท่ามกลางโคมเคลือบสีสวยแวววาว

นางยืนอยู่บนบันได เบี่ยงตัวมองมาทางนี้เล็กน้อย เพราะเข้ามาภายในหอ หมวกคลุมหน้าจึงแหวกออกสองข้างเผยให้เห็นใบหน้า

เป็นใบหน้านี้จริงๆ เป็นใบหน้าดวงนี้จริงๆ

‘นายหญิงเจ้าคะ…นายหญิง…พวกเราทำผิดท่านก็ลงโทษเถิด อย่าได้ไล่พวกเราออกเลย อย่าไล่พวกเราเลยนะเจ้าคะ…’

‘ข้าคนนี้มันจิตใจคับแคบ…’

สตรีนางนั้นกดสายตาลงมองพวกนางภายใต้เงาไม้ มองพวกนางที่กำลังคุกเข่าโขกหัวกับพื้นกันไม่หยุด พวกนางที่เหมือนกับมดตัวหนึ่ง พอยกมือบดเบาๆ ก็บี้แบน…

‘พี่สาว พี่สาว ข้าไม่อยากตาย…’

‘เมี่ยวหลิง เจ้าอย่ากลัว ข้าจะไปตามหมอมา…’

‘พี่สาว พี่สาว ข้าจะตายแล้ว พี่สาว เจ้าคนเดียวอย่าได้กลัวไป…’

ภายในวัดที่ทั้งเก่าทั้งผุพัง ในที่สุดร่างเล็กอันอ่อนแอที่กำลังนอนอยู่บนพื้นก็ถูกฝนห่าใหญ่คร่าชีวิตไป

‘พี่สาว เจ้าตัวคนเดียวอย่าได้กลัวไป เมี่ยวหลิงจะไปตามท่านพ่อกับท่านแม่มา…’

ไม่มีเมี่ยวชุนเมี่ยวหลิงสองพี่น้องอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป มีแต่ชุนหลิงผู้หนึ่ง และนางอีกผู้หนึ่ง

“ชุนหลิง”

มีคนกระซิบเรียกนางอยู่ข้างหู

เสียงจอแจดังขึ้นอีกครั้ง ชุนหลิงจึงหลุดจากภวังค์

“อย่ากลัวไปเลย เดินตามเสี่ยวเหนียงจื่อไปก็พอ”

สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังกระซิบบอก

“ปีที่แล้วคึกคักกว่าปีนี้นัก ต่อไปเจ้าก็จะชินเอง”

ชุนหลิงเม้มปากแย้มยิ้มรับคำ ไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ ค่อยๆ เดินก้าวไป

แม่นางจูที่อยู่ข้างหน้าเริ่มก้าวลงบันได กระโปรงยาวของนางถูกสาวใช้หลายคนยกขึ้น ดั่งเมฆมงคลหลากสีที่ลอยอยู่บนบันได

“แม่นางจูจะไปนั่งเรือไฉ่ฉวน แล้ว!”

ผู้ที่คุ้นเคยกับพิธีเป็นอย่างดีต่างร้องบอกแล้วเริ่มเบียดกันไปยังด้านนอกเพื่อจับจองที่นั่งที่ดีๆ

สายตาของชุนหลิงไม่ได้ละจากบันไดไปแม้แต่น้อย นางมองเห็นท่านชายหวังสิบเจ็ดที่อยู่ข้างๆ สตรีนางนั้นโห่ร้องสนุกสนานวิ่งตามฝูงชนออกไปได้อย่างชัดเจน

ไม่เพียงแต่ท่านชายหวังสิบเจ็ดเท่านั้น ผู้คนส่วนใหญ่บนบันไดต่างพากันวิ่งออกไปด้านนอก นายบ่าวบนบันไดอย่างพวกนางจึงโดดเดี่ยวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ไม่รู้ว่าควรรู้สึกที่เห็นคู่หมั้นของตัวเองทิ้งตัวเองไว้เพราะสตรีนางอื่นในเทศกาลที่ดีงามอย่างไหว้พระจันทร์เช่นนี้จะเป็นความรู้สึกเช่นไร

แต่นี้มันเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น

ชุนหลิงเดินตามแม่นางจูออกไปด้านนอก วางผีผาที่บังหน้านางอยู่นานลง เผยรอยยิ้มบนใบหน้าสวยสดงดงามยิ่งขึ้น

…………….