บทที่ 291.1 ราคาที่ต้องจ่าย (1)

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

เนื่องจากผู้คนต่างออกไปด้านนอกกันหมด หอเต๋อเซิ่งจึงเงียบสงบลง

เฉิงเจียวเหนียงและพวกสาวใช้ที่ยืนอยู่บนบันไดราวกับยังคงไม่หลุดจากภวังค์

นึกไม่ถึงว่าจะถูกทิ้งไว้เช่นนี้!

พวกนางเป็นฝ่ายถูกเชิญมา ไม่คิดเลยว่าจะถูกคนที่เชิญทิ้งไว้เช่นนี้!

ท่านชายหวังสิบเจ็ดวิ่งออกไปแล้ว ผู้ติดตามของเขาก็ตามเขาออกไปด้วยความเป็นห่วง แล้วทิ้งพวกนางนายบ่าวสี่คนไว้ที่นี่

“ทำเกินไปแล้ว!”

สาวใช้ตะโกนขึ้นด้วยความโมโหจนหน้าดำหน้าแดง

“เช่นนั้นพวกเราเข้าห้องไปกันก่อนเถิด” ปั้นฉินเอ่ยขึ้น

แม้คนที่ออกไปจะมีจำนวนมาก แต่ก็ยังมีคนบางส่วนที่ไม่ได้ออกไปด้วย พวกนางยืนอยู่บนบันไดของโถงใหญ่เช่นนี้จึงโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก

เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็คงต้องปล่อยไปเท่านั้น สาวใช้เรียกเด็กในร้านไว้ด้วยความโมโห

“ห้องที่ท่านชายตระกูลหวังจองไว้น่ะหรือ” เด็กในร้านคนนั้นได้ยินจึงถามย้ำกับพวกนาง

สตรีมาหอเต๋อเซิ่ง ตัวเองไม่ได้เป็นผู้จองห้อง แต่ให้ผู้อื่นเป็นคนจอง

หากตัวเองจองไว้ย่อมไม่ต้องถามย้ำอีก แต่คนอื่นจองให้เช่นนี้ก็ต้องมีคนมารับจึงจะได้

ทราบเพียงแค่นามเช่นนี้ แต่กลับไม่ทราบว่าเป็นห้องไหน จึงได้เรียกคนในร้านมาถาม…

คงไม่ใช่สตรีบ้านใดมาหาเรื่องหรอกกระมัง

“คนจองวิ่งออกไปดูนางคณิกาเมื่อครู่แล้ว! พวกเราจะเข้าไปรอในห้อง” สาวใช้ดูออกว่าเด็กในร้านคนนั้นกำลังคิดอะไร จึงยิ่งบอกไปด้วยความโกรธ

เป็นเช่นนี้เอง ก็ยังจะพูดออกมาได้ เด็กในร้านกลั้นยิ้มพลางพยักหน้า ให้พวกนางรอสักครู่แล้วไปตรวจสอบดู เพียงไม่นานเขาก็กลับมา

“เรียนแม่นาง ไม่มีห้องที่ท่านชายหวังสิบเจ็ดจองไว้ขอรับ” เขาบอกด้วยสีหน้าแปลกๆ

ไม่มีหรือ

ไอ้สารเลวนี่! ตั้งใจจะเที่ยวเล่นเพื่อฆ่าเวลากับนายหญิงของพวกนางหรือ!

สาวใช้กระทืบเท้าด้วยความโมโห

“หากไม่มีก็แล้วไปเถิด” เฉิงเจียวเหนียงบอก “พวกเราออกไปดูก็มีค่าเท่ากัน”

คงต้องเป็นอย่างนั้นแล้ว

ท่ามกลางสายตาแปลกๆ ของเด็กในร้านและการถกเถียงกันเบาๆ นี้ สาวใช้พลันรู้สึกหน้าร้อนจี๋อย่างกับสมองจะระเบิด

นางโตถึงขนาดนี้เพิ่งจะเคยอับอายขายขี้หน้าถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก!

คิดไม่ถึงว่าจะโดนไอ้สารเลวนั่นทิ้ง! ถูกไอ้สวะนั่นทิ้งเสียแล้ว!

เฉิงเจียวเหนียงสีหน้ายังคงเป็นเช่นเดิม นางย่างเท้าลงบันไดไป เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียง ‘เอ๋’ ดังขึ้น

“เจ้าก็มานี่ด้วยหรือ”

คนผู้หนึ่งยิ้มถามขึ้น

เฉิงเจียวเหนียงหยุดฝีเท้าลง มองไปเห็นท่านชายฉินสิบสามติดตามด้วยบ่าวรับใช้สองสามคนค่อยๆ เดินเข้ามา พอเขาเห็นนางเข้าก็รีบเร่งฝีเท้าเดินมาหา

เฉิงเจียวเหนียงอมยิ้มพลางค้อมกายคำนับ

“ยังไม่ทันไรก็จะกลับแล้วหรือ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถามอย่างยากจะระงับความตื่นเต้นระคนแปลกใจไว้ได้

ออกจากถนนเทียนเจียมา อีกทั้งยังไม่มีท่านชายโจวหกเดินเป็นเพื่อน จึงอยากหาที่ดีๆ สงบๆ นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอนางเข้า

รอยยิ้มบนใบหน้าเขาระบายกว้างอย่างอดไม่ได้

นี่เป็นพรหมลิขิตใช่หรือไม่

“ไม่ใช่ จะออกไปดู” เฉิงเจียวเหนียงบอก

ออกไปดูอะไร

สายตาท่านชายฉินสิบสามค่อยๆ เคลื่อนที่มองไปรอบๆ

“ท่านชายหวังสิบเจ็ด…” เขาหยั่งเชิงถาม

“ไปแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

ไปแล้วหรือ

ท่านชายฉินสิบสามแปลกใจเล็กน้อย เฉิงเจียวเหนียงสีหน้ายังคงเหมือนเก่าไม่เปลี่ยน อย่าได้หวังจะได้เห็นอารมณ์ใดอยู่บนหน้านาง แต่เหล่าสาวใช้ข้างๆ นางนั้นกลับปิดบังสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่

ไปแล้วหรือ ไอ้คนโง่เขลาไม่รู้จักดีชั่วคนนี้นี่!

มีคนมากมายเพียงใดเฝ้ารอที่จะได้พบนาง นึกไม่ถึงว่าเขาจะมาทิ้งคนที่นัดเอาไว้เช่นนี้

ท่านชานฉินสิบสามไม่รู้จะบอกว่าเขาโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่

“นี่ช่างเชิญมาไม่สู้เจอกันโดยบังเอิญดีแท้ หอเต๋อเซิ่งแห่งนี้เป็นที่ที่ดีที่สุดในการชมโคมไฟ ข้าก็มาที่นี่เป็นครั้งแรกเช่นกัน ไม่ทราบว่าแม่นางสนใจไปดูด้วยกันหรือไม่” เขายิ้มบางๆ เอ่ยถาม

“เอาสิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น

ไม่มีการบอกปัดหรือคำสุภาพใด พูดออกไปในสิ่งที่คิด ไม่หลบไม่เลี่ยงอะไรทั้งนั้น

ท่านชายฉินสิบสามเชื่อว่าหากเขาถามนางว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางและท่านชายหวังสิบเจ็ด นางจะต้องตอบออกมาอย่างไม่ปิดบังเป็นแน่ แต่ว่าเรื่องเช่นนี้มีอะไรให้น่าถามกัน

ถามเพื่อทำลายอารมณ์ดีๆ ให้หายไปหรือ

ยามนี้ไม่ใช่ว่าควรจะชื่นชมทิวทัศน์งดงามหรอกหรือ เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ไม่มีทางได้มาและความชื่นชอบที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ไม่ดีกว่าหรือ

“แม่นางตามข้ามาเถิด” เขายิ้มบางๆ เอ่ย

ดอกไม้ไฟมากมายเบ่งบานอยู่กลางฟากฟ้าเป็นพักๆ โคมไฟหลากหลายแบบลอยล่องอยู่ในแม่น้ำ ประดับประดาให้ลำน้ำนี้กลายเป็นทะเลดวงดาว รวมกับไอน้ำที่อยู่ทั่วทุกสารทิศราวกับห้วงฝันอันสวยงาม

“ไม่เลวจริงๆ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขึ้นด้วยความทอดถอนใจ “ไม่เหมือนกันจริงๆ”

“ไม่เหมือนอันใดหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม

ท่านชายฉินสิบสามพิงหน้าต่างมองไปยังทะเลดวงดาวที่อยู่ด้านนอก

“ปีก่อนๆ ข้าก็ดูโคมเช่นกัน สุขใจอยู่ไม่น้อย ข้าคิดว่าความสุนทรีย์ของข้าไม่เหมือนกับผู้อื่น” เขาเอ่ยจบก็ยิ้มออกมา “แต่พอยามนี้หายป่วยแล้วมาดู ที่แท้ความสุนทรีย์อันดีงามของคนปกติเขาเป็นเช่นนี้เอง ไม่เหมือนกับที่ข้าจินตนาการเอาไว้แม้แต่น้อย”

เขาบอกพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูหม่นหมองราวกับเงาหมอกของแสงไฟ

เขาไม่ต้องตั้งใจมองก็รู้สึกได้ว่าสตรีข้างๆ เขากำลังหันมามองตนอยู่

นี่เป็นครั้งที่สองที่นางตั้งใจมองเขาเช่นนี้ ครั้งแรกนั้นเพื่อรักษาให้เขา ซ้ำตอนนั้นเขาก็ร้อนรนอยู่ไม่สุข เดิมทีเขาไม่เคยใส่ใจท่าทางที่นางมองเขามาก่อนเลย

เพื่อที่จะชมโคมไฟด้านนอก จึงจุดตะเกียงภายในห้องให้น้อยลงเป็นพิเศษ ท่ามกลางแสงไฟสลัว ดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้นฟากฟ้าในยามราตรีเป็นครั้งคราวนั้นสะท้อนให้ใบหน้าเป็นประกายขึ้นเป็นพักๆ

ภายใต้โคมไฟแห่งค่ำคืนนี้ นางที่มีสีหน้าท่าทางแข็งทื่อมาโดยตลอดก็อ่อนโยนขึ้นมาก

กลับเนื้อกลับตัวใหม่ ชะตาชีวิตก็พลิกผัน ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของเขากระมัง…

“ไม่ ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ได้เปลี่ยนไป” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอก

ท่านชายฉินสิบสามมองนาง

“แม่นางคิดเช่นนั้นหรือ” เขาเอ่ยถาม

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“ท่านไม่ใช่บุรุษปกติทั่วไปจริงๆ” นางตอบ

ท่านชายฉินสิบสามนิ่งอึ้ง

เขาเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน เป็นคราที่ถูกนางโกรธเกือบตายครานั้น

“อารมณ์อ่อนไหวง่าย แสร้งทำท่าทำทาง ที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป มีอะไรให้น่าทอดถอนใจกัน มาอาลัยอาวรณ์เช่นนี้ ไม่สมกับชายชาติทหาร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ

ท่านชายฉินสิบสามนิ่งอึ้งแล้วพลันหัวเราะออกมายกใหญ่ จากนั้นจึงยิ้มขื่นขม

“ใช่ ถูกต้อง ที่แม่นางกล่าวมานั้นถูกต้อง” เขาเอ่ยขึ้น ยืนตัวตรงมองไปยังนาง “รู้จักกับแม่นาง ก็เหมือนได้ทบทวนตัวเองอยู่ตลอดเวลา”

“นั่นไม่ใช่มูลเหตุของข้า เป็นมูลเหตุของเจ้า” นางเอ่ย “ข้าจะพูดอันใด มันก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะพูดอันใด”

ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้ายิ้มๆ

“ได้สนทนากับแม่นาง ยิ่งกว่าได้อ่านตำรานับสิบเล่มเสียอีก” เขายิ้มเอ่ย

“แล้วของขวัญกราบอาจารย์เล่า” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วเอ่ยถามขึ้น

แม่นางน้อยทำท่าทางจริงจังท่ามกลางโคมไฟสลัวริบหรี่

ท่านชายฉินสิบสามนิ่งอึ้งแล้วพลันขำออกมายกใหญ่ ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งหยุดไม่ได้ เขาพิงหน้าต่างหัวเราะท้องคัดท้องแข็งอย่างเสียกิริยา

สาวใช้หันไปมองปั้นฉินกับจินเกอร์

“มีอันใดน่าขำกัน” นางถามด้วยสีหน้างุนงง

ปั้นฉินกับจินเกอร์ก็หัวเราะขึ้นตาม ได้ยินนางส่งเสียง ‘อา’ ออกมาอย่างน่าเอ็นดู

“ช่างเถอะ คิดเสียว่าข้าไม่ได้ถามก็แล้วกัน” สาวใช้เอ่ยบอกก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง

เสียงซือจู๋ ลอยมาจากไกลๆ โคมลอยในแม่น้ำกระเพื่อมไหว เรือหรูหราลำหนึ่งล่องมาแต่ไกล

“เหตุใดเรือจึงล่องไปแล้ว หันหัวเรือกลับเช่นนี้ได้อย่างไร”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ เขามองเรือในแม่น้ำที่ล่องไกลออกไปเรื่อยๆ

กว่าเขาจะเบียดจนมาถึงตำแหน่งที่ดีๆ บนสะพานนี้ได้ เพียงเพื่อรอให้เรือล่องผ่านไป แล้วเขาจะได้โบกมือตะโกนเสียงดังให้แม่นางจูเห็นเขา

แน่นอนว่าคนอื่นๆ ก็ตะโกนขึ้นมาเช่นกัน แม่นางจูก็มองไม่เห็นอยู่ดี แต่สิ่งสำคัญก็คือเขามีคนของเขาคอยช่วย

พอชุนหลิงบอกตำแหน่งให้ แม่นางจูก็จะมองเห็นเขา

……………………