บทที่ 291.2 ราคาที่ต้องจ่าย (2)

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

คิดไปถึงตอนนั้น ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ตื่นเต้นจนคันยุบยิบไปหมดทั้งร่าง

แต่ทว่าเรือยังไม่ทันจะล่องมาถึงก็หันลำกลับเสียแล้ว

“คนต่างถิ่นคงไม่รู้ล่ะสิ” คนข้างๆ หัวเราะเอ่ยขึ้น “เรือโคมไฟของหอเต๋อเซิ่งอย่างไรก็เป็นเอกลักษณ์ของหอเต๋อเซิ่ง ต้องเป็นความนิยมและโดดเด่นของหอ ดังนั้นเรือของแม่นางจูจึงไม่ได้ล่องไปรอบๆ เมือง ให้คนได้พอดูชมแล้วก็จะล่องไปจอดอยู่หน้าหอเต๋อเซิ่ง จากนั้นก็จะร่ายรำให้กับแขกของหอได้ดูชม”

ร่ายรำหรือ

ท่านชายหวังสิบเจ็ดตกตะลึง

การร่ายรำของแม่นาง!

“…แต่นั่นมันคนมีเงินถึงจะได้ดูกัน…เหมาห้องที่หอเต๋อเซิ่ง ยืนอยู่ริมหน้าต่างได้ชมอย่างชัดเจน…คนจนๆ อย่างข้ากับเจ้าน่ะ ได้ฟังอย่างเดียวก็เกินพอแล้ว…” คนผู้นั้นบอกเล่าออกมาเป็นฉากๆ ยังไม่ทันเอ่ยจบก็ได้ยินท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนร้องขึ้นมา

“ต้องเหมาห้องจึงจะได้ดูหรือ”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะคอกถามพลางจับแขนคนผู้นั้นไว้

“ใช่น่ะสิ ต้องเหมาห้องจึงจะได้ดู” คนผู้นั้นตกใจยกใหญ่จึงตะคอกตอบไป

ท่านชายหวังสิบเจ็ดพลันกระทืบเท้าด้วยความโมโห

“เหตุใดไม่บอกข้าสักคำ!” เขาตะคอก “หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าจะมาโง่วิ่งตามทำไม!”

พูดจบก็ผลักคนๆ นั้นออกแล้วรีบลงสะพานไป เขาด่าไปตลอดทางเดินกลับบนถนนที่มีน้ำขลังอยู่

“ถุย พูดอย่างกับเจ้าเหมาห้องไว้อย่างนั้นแหละ”

คนบนสะพานหันไปตะโกนด่าไล่หลัง

ขณะนั้นเองเรือของแม่นางจูก็จอดอยู่ในแม่น้ำข้างหอเต๋อเซิ่ง

เสียงจ้อกแจ้กจอแจรอบด้านค่อยๆ เงียบลงอย่างรวดเร็ว บทเพลงจากผีผาไพเราะดั่งไข่มุกกระทบพานหยกดังกังวานกลางผืนน้ำ

ชุนหลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนเรือพลันอมยิ้มลุกขึ้น กวาดตามองหอเต๋อเซิ่ง ขณะนี้หน้าต่างห้องบนชั้นสองชั้นสามของหอเต๋อเซิ่งล้วนเปิดออกกว้างเต็มไปด้วยผู้คน โคมน้อยที่แขวนไว้ข้างหน้าต่างต่างถูกจุดขึ้น ราวกับมีสายตานับร้อยนับพันกำลังมองมาทางนี้ ชุนหลิงพลันหยุดชะงัก มองไปยังหน้าต่างบานหนึ่งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ขณะนั้นคนสองสามคนที่กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างก็กำลังชมการแสดงเหมือนกับคนในห้องอื่นๆ

ทว่า เหตุใดคนๆ นั้นจึงเป็นนางได้

ทันใดนั้นชุนหลิงก็ลุกขึ้นยืน ก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าวอย่างอดไม่ได้ กระพริบตาอย่างแรง

โคมไฟเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ภายในห้องก็มืดสลัว แต่นางเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสตรีนางนั้น!

นางเข้าห้องได้อย่างไร

ชุนหลิงบอกกับท่านชายหวังสิบเจ็ดว่าได้จองห้องไว้ให้แล้ว นั่นนางโกหกเขาต่างหาก

นางเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งจะจองห้องได้อย่างไร ต่อให้นางเป็นสาวใช้ของแม่นางจูก็ยังจองไม่ได้ หากแม่นางจูออกหน้าให้ยังพอทำเนา แต่นางจะให้แม่นางจูออกหน้าให้ได้อย่างไร

หากแม่นางจูเกิดสงสัยเข้า อนาคตของนางได้จบสิ้นแน่ อย่าได้หวังเรื่องแก้แค้นอะไรเลย

พวกนางได้ห้องมาได้อย่างไร

ท่านชายหวังสิบเจ็ดผู้นี้มีความสามารถถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

ชุนหลิงหรี่ตาลง อยากจะดูอีกให้ชัดขึ้นสักหน่อย

“ชุนหลิง”

มีคนกระซิบเรียก

ชุนหลิงหลุดจากภวังค์ก็เห็นแม่นางจูยื่นมือส่งผีผาให้ เพราะนางมัวแต่ใจลอย สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ จึงรีบรับไว้แทน จึงไม่เกิดความกระอักกระอ่วนขึ้น

“ขออภัยเจ้าค่ะ” ชุนหลิงก้มหน้าด้วยความตื่นตระหนก

“ไม่เป็นไร ครั้งแรกจึงได้ตื่นเต้นเช่นนี้” แม่นางจูยิ้มพลางกระซิบบอกให้นางคลายกังวล

ชุนหลิงถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ

เสียงกลองดังขึ้น ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่บนเรือมืดมิด ขณะนี้มีแสงสว่างจากโคมรอบด้าน กระจกตั้งตระหง่านรวมแสงไว้ราวกับตอนกลางวัน

ในระหว่างนี้แม่นางจูที่เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าอันหรูหราวิจิตรก็ร่ายรำตามทำนองเพลง อาภรณ์สดใสโบกพลิ้วไปตามลม ราวกับเทพธิดาในตำหนักจันทราบนสรวงสวรรค์

“แม่นางผู้นี้เต้นได้ไม่เลว” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มบอก

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“ลำบากฝึกซ้อมไม่น้อย” นางเอ่ยขึ้น

ท่านชายฉินสิบสามหันไปมองนางด้วยรอยยิ้มบางๆ

“แล้วการร่ายรำของแม่นางเล่าเป็นเช่นไร” เขาเอ่ยถาม

ร่ายรำหรือ

“นายหญิงร่ายรำเป็นหรือไม่” ปั้นฉินระซิบถามสาวใช้อย่างอดไม่ได้ เหตุใดท่านชายฉินผู้นี้จึงได้ถามเช่นนี้ขึ้นมา

“คนไม่เชี่ยวชาญดูความคึกคัก คนที่เชี่ยวชาญดูช่องทาง  ในเมื่อนายหญิงบอกว่าสตรีนางนั้นลำบากฝึกซ้อมไม่น้อย ก็เห็นได้ชัดว่านายหญิงเป็นคนที่เชี่ยวชาญ”

นายหญิงร่ายรำเป็นสิแปลก…

ปั้นฉินยิ้มเหยเก

ร่ายรำ…

เฉิงเจียวเหนียงเงียบไปพักหนึ่งแล้วหรี่ตาลง

ความมืดเบื้องหน้านี้เหมือนกับมีคนกำลังร่ายรำ พริบตาเดียวก็หายไป

“ไม่รู้” นางลืมตาขึ้นเอ่ย

ไม่รู้ว่ารำเป็นหรือไม่ หรือไม่รู้ว่ารำดีหรือไม่ดีกันล่ะ

แม้สีหน้ายังคงเรียบเฉยเหมือนเก่าไม่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ แต่ในชั่วพริบตาหนึ่งท่านชายฉินสิบสามราวกับสัมผัสได้ว่านางกำลังซึมเศร้า

“ข้าถามเรื่องที่ไม่ควรถามเข้าให้แล้ว” เขาบอก ไม่ได้มองไปในแม่น้ำอีก แต่ดวงตากลับฉายแววกังวลขึ้นเล็กน้อย

เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้ม

“เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่ท่าน มันอยู่ที่ข้า” นางเอ่ย

“แล้วข้าช่วยได้หรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามมองนางแล้วอมยิ้มถาม

ดอกไม้ไฟหลายดอกเบ่งบานริมแม่น้ำ เสียงดังกลบเสียงของเขาไป

เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า มองดอกไม้ไฟบนฟากฟ้าโดยไม่กล่าวคำใด

ดอกไม้ไฟที่สดใสโชติช่วงทำเอาท้องฟ้าสว่างไสวเจิดจ้าขึ้น ชุนหลิงเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างห้ามไม่อยู่ นางจ้องไปยังหน้าต่างบานนั้น

ภายใต้แสงเจิดจ้าของดอกไม้ไฟ ท่านชายที่อยู่ริมหน้าต่างงดงามอย่างยิ่ง

ดอกไม้ไฟสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ฟากฟ้าราตรีกลับมามืดสนิทอีกครั้ง

แต่รอยยิ้มงดงามของท่านชายที่มองสตรีนางนั้นกลับสลักอยู่ในสายตาของชุนหลิงอย่างชัดเจน

นั่นไม่ใช่ท่านชายหวังสิบเจ็ด!

แล้วเป็นใครกัน

เหตุใดจึงยิ้มให้นางด้วยความจริงใจถึงเพียงนั้น

สตรีนางนั้นไม่ได้ถูกท่านชายหวังสิบเจ็ดสลัดทิ้งอย่างอนาถเท่าใดนัก ซ้ำยังมีบุรุษอีกคนมามอบไมตรีให้

อีกทั้งยังเป็นท่านชายที่ดีกว่าท่านชายหวังสิบเจ็ดไม่น้อย…

ชุนหลิงขบริมฝีปาก ตั้งแต่ติดตามแม่นางจูมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกเสียใจภายหลัง

เพราะต้องติดตามแม่นางจู ยามนี้นางจึงต้องติดอยู่บนเรือ วิ่งออกไปดูให้ชัดๆ ไม่ได้…

ดูแล้วนางรู้จักนังบ้านั่นน้อยนิดนัก!

ท่ามกลางแสงโคมอันมืดสลัว ทันใดนั้นท่านชายผู้นั้นพลันชี้มาทางนี้

ชุนหลิงก้าวถอยหลังมาสองก้าวโดยไม่รู้ตัว นางก้มหน้าลง รู้สึกถึงใจที่เต้นแรงเหมือนจะหลุดออกจากอก

เห็นนางแล้วหรือ จำนางได้หรือไม่

“เจ้าดูนางสิ”

ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางชี้ไปยังแม่นางจูที่กำลังร่ายรำอยู่รอบเรือด้วยท่าทางพริ้วไหวดั่งหิมะโปรย

“จะว่าไปแล้วนางก็มีวาสนากับข้าและท่านอยู่บ้าง ท่านเป็นผู้มีพระคุณของนางนี่”

เฉิงเจียวเหนียงมองไปตามทางที่เขากำลังชี้

เสียงขลุ่ย กลอง และฉาบดังขึ้น สตรีบนเวทีหมุนซ้ายหมุนขวาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“นางคือแม่นางจู”

ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยบอกพลางมองเฉิงเจียวเหนียง

“เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่”

“…เป็นครอบครัวของขุนนางที่ถูกราชเลขาหลิวใส่ร้ายป้ายสีและถูกส่งไปยังหนานโจว เสียชีวิตระหว่างทาง ซ้ำยังบังแค่กๆ คับขู่เข็ญให้ลูกสาวตายตาม เหลือไว้เพียงเด็กหญิงอายุประมาณแปดขวบ นางถูกขายให้กองสังคีต ตอนนั้นขณะที่ภรรยาของขุนนางคนนั้นกัดลิ้นเพื่อฆ่าตัวตาย เอาหนังสือที่เขียนด้วยเลือดและหลักฐานที่ถูกใส่ร้ายซ่อนไว้ในอกของเด็กคนนั้น และเพราะความประมาทของราชเลขาหลิวที่ไม่ได้ตัดรากถอนโคนให้สิ้น หลายปีผ่านไปเด็กคนนั้นจึงเก็บความเคียดแค้นไว้ตลอดมา ครั้งนี้ได้โอกาสตีกลองร้องทุกข์แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงบอก

น้ำเสียงนางเนิบช้าแต่หนักแน่น นางกล่าวอย่างไหลลื่นไม่มีสะดุดตั้งแต่ต้นจนจบ

พอกล่าวจบ คนในห้องรวมทั้งท่านชายฉินสิบสามก็ต่างมองนางด้วยความตกใจ

“กล่าวได้ถูกต้อง” ท่านชายฉินสิบสามหลุดจากภวังค์แล้วมองนาง “เด็กคนนั้นก็คือแม่นางจู”

เขากล่าวจบก็หยุดครู่หนึ่ง

“ว่าแต่ บังแค่กๆ หมายความว่าอย่างไรหรือ”

สาวใช้ที่เพิ่งจะหลุดจากภวังค์แล้วกำลังจะดื่มชาให้ชุ่มคออยู่นั้น น้ำชาพลันพุ่งพรวดออกมา

………………………