นายใหญ่โจวมารายงานผลการติดตามเรื่องราชเลขาหลิวด้วยท่าทางตื่นเต้นเมื่อครานั้น
นึกไม่ถึงว่านายหญิงจะความจำดีถึงเพียงนี้ จดจำถ้อยคำของนายใหญ่โจวได้ทุกถ้อยทุกคำไม่มีตกหล่น
รวมถึงเสียงไอนั่นด้วย
สาวใช้ไอออกมาไม่หยุดอย่างกระอักกระอ่วน
ส่วนทางด้านเฉิงเจียวเหนียงก็ยังคงตอบคำถามท่านชายฉินสิบสามอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ไม่รู้” นางส่ายหน้าเอ่ย “ข้าไม่ได้ถามท่านลุง”
“นั่นเป็น…” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยความฉงนเล็กน้อย กล่าวได้ครึ่งทางก็พลันหยุดลง
บัง…แค่กๆ…
ทางด้านสาวใช้ก็ทนฟังทั้งคู่วิเคราะห์คำนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว นางไอแค่กๆ ออกมาสองครั้ง
ท่านชายฉินสิบสามพลันเขินอาย เขาหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ รีบยกมือป้องปากไว้
“คืออันใดหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถามแล้วมองเขา
สีหน้านางเรียบนิ่ง ดวงตากลมโต แม้ดูแล้วเหมือนจะเหม่อลอย แต่กลับมีเสน่ห์เป็นพิเศษ
ท่านชายฉินสิบสามถูกนางมองด้วยท่าทางเช่นนั้นในใจก็อ่อนยวบลงอย่างยากจะอธิบาย ขณะเดียวกันก็กลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว เขาจึงหัวเราะออกมายกใหญ่
เฉิงเจียวเหนียงไม่ถามอีก นางมองดูเขา
“เลิกมองข้าได้แล้ว” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มบอกพลางหันหน้าหนี หัวเราะออกมาไม่หยุด
พอเขาหันกลับก็มาเห็นแม่นางน้อยกำลังทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
บนโลกนี้มีคนเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ! เหตุใดจึงมีคนที่…ทำให้ใจเบิกบานเช่นนี้อยู่ได้!
นางคดโกงโหดเหี้ยมและเย็นชาไร้หัวใจแท้ๆ แต่นึกไม่ถึงว่าจะทำใจคนให้ชื่นมื่นได้เช่นนี้!
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะไม่หยุดจนต้องยันมือค้ำกับหน้าต่างไว้
เขาหัวเราะจนเสียกิริยาเป็นคราที่สองในค่ำคืนนี้ สบายใจเสียจริง!
“ท่านชายฉิน ท่านยังจะขำอีก!” สาวใช้ทนดูไม่ได้อีกต่อไป นางเอ่ยว่า “เป็นเพราะท่าน!”
ทางด้านเฉิงเจียวเหนียงหยัดกายลุกขึ้น
“ข้าจะกลับแล้ว” นางบอก
ท่านชายฉินสิบสามรีบกลั้นหัวเราะ
เพราะถูกหัวเราะจนรู้สึกอับอายหรือ
เขารีบยืนขึ้นให้ดี
“ข้าไม่ขำแล้ว ไม่ขำอีกแล้ว” เขาบอก “บังแค่กๆ ไม่ได้หมายความถึงสิ่งใด แต่เป็นคำไม่สุภาพ นายใหญ่โจว กล่าวไปได้ครึ่งทาง เกรงว่าจะไปล่วงเกินเจ้าเข้า จึงได้ไอกลบเกลื่อนไป”
ยังจะมาอธิบายอะไรอีก! ไม่อธิบายเสียยังจะดีกว่า!
สาวใช้กระทืบเท้าถลึงตาโต
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วส่งเสียง ‘อ้อ’ ออกมา แล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไป
“น่าหงุดหงิดหรือ ข้าขอโทษ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลางย่างเท้าตามไป
“มีอันใดให้หงุดหงิดกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าเพียงแค่อยากกลับแล้ว สิ่งที่ควรจะดูล้วนดูไปหมดแล้ว”
นางหันไปมองดอกไม้ไฟที่ยังคงเบ่งบาน เสียงดนตรี เสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าว
สุดท้ายท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ตามไม่ทัน กว่าจะฝ่ามาถึงหอเต๋อเซิ่ง แม่นางจูก็ขึ้นฝั่งเข้าหอไปหาแขกชั้นสูงที่จองตัวนางแล้ว
ภายในหอเต๋อเซิ่งยังคงคึกคักจอแจ แต่ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลับไม่อาจมองเห็นท่วงท่าสง่างามของคนงามได้อีก
“ท่านชายขอรับ เขาบอกว่าไม่มีห้องที่จองเอาไว้!” ผู้ติดตามตะโกนขึ้น “ท่านให้ผู้ใดจองให้หรือขอรับ”
“เป็นแม่นางที่หอแห่งนี้” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตอบด้วยท่าทางเหนื่อยล้า แล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ช่างเถอะ ไม่มีก็ไม่มี อย่างไรเสียก็ไม่ได้เจออยู่ดี ไปกันเถอะ”
เขาเดินคอตกออกไป ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังพากันร้องขึ้นเสียงดังจนเขาตกใจเกือบจะล้มไปกองกับพื้น
“เสียงดังอันใดกัน!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะคอกอย่างโมโห
“ท่านชายขอรับ แม่นางตระกูลเฉิงเล่า” ผู้ติดตามผวาถามขึ้น
ท่านชายหวังสิบเจ็ดชะงัก แล้วพลันนึกขึ้นได้
คนอื่นๆ ต่างวุ่นวาย รีบตามหากันไปทั่วหอ คนมากมายหลายหลากเช่นนี้ไหนเลยจะหาเจอ
“แม่นางคนใดหรือ”
เด็กในร้านที่ถูกเรียกมาถามทำหน้าฉงน
“หอแห่งนี้แขกไปใครมามีมากมาย ซ้ำพวกเราก็ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม”
“หน้าตาสะสวย พูดน้อย ปัญญาอ่อนหน่อยๆ มีสาวใช้สองคนและบ่าวรับใช้คนหนึ่ง…” ผู้ติดตามรีบอธิบาย
ท่านชายหวังสิบเจ็ดโยนเงินรางวัลกำหนึ่งออกมา จึงมีคนนึกออก
“ท่านคือท่านชายหวังสิบเจ็ดผู้นั้นหรือ” เด็กในร้านคนนั้นเอ่ยถาม
ท่านชายหวังสิบเจ็ดรีบพยักหน้า
“แม่นางน้อยคนนั้นให้ข้าบอกกับท่านว่า นางจะกลับก่อนขอรับ” เด็กในร้านบอกพลางลูบแขนเสื้อหัวเราะ “คืนนี้ไม่เลวทีเดียว แค่พูดไม่กี่คำก็ได้เงินรางวัลถึงสองครา”
กลับแล้วหรือ
ถูกทิ้งเช่นนั้น คงโมโหจนอยากกลับกระมัง
กลับไปแล้วก็ดี ไม่ถูกใครลักพาตัวไปก็ดี
ได้ยินมาว่าคนถูกลักพาตัวในงานเทศกาลของเมืองหลวงไปเยอะมาก ซ้ำยังเลือกจับไปแต่ทายาทตระกูลชั้นสูงที่ร่ำรวยเสียด้วย แล้วแม่นางเฉิงผู้นี้ก็ยังเป็นบ้า ง่ายต่อการถูกหลอกนัก
“ไม่เชื่อฟังกันเลยจริงๆ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเริ่มโมโหขึ้นเรื่อยๆ เขาเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ไม่ยอมรออยู่ที่นี่เอง! ไม่ได้ดูโคมไฟพวกนี้ก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน!”
เด็กในร้านได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็ขำออกมา
“ท่านชาย นางบอกว่าจะไปดูโคมที่ถนนเทียนเจียขอรับ ที่นั่นมิใช่ว่าผู้ใดอยากไปก็จะไปดูได้นะขอรับ” เขาบอก
ถนนเทียนเจียหรือ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดกับพรรคพวกนิ่งอึ้ง
ไปดูโคมที่ถนนหลวงหรือ ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่ใครอยากไปก็จะไปดูได้
“นางไปถนนเทียนเจียหรือ” ท่านหวังสิบเจ็ดเอ่ยถาม
“ใช่ขอรับ บ่าวได้ยินท่านชายที่อยู่กับแม่นางพูดเช่นนี้” เด็กในร้านเอ่ยบอก
ท่านชายหรือ
ทันใดนั้นท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ถลึงตาโต
“ท่านชายที่อยู่กับแม่นางอันใดกัน นางไม่ได้อยู่คนเดียวหรือ” เขาเอ่ยถาม
เด็กในร้านส่ายหน้า
“ไม่นะขอรับ แม่นางไปกับท่านชายท่านหนึ่ง” เขาบอก
ไปกับท่านชายท่านหนึ่งอย่างนั้นหรือ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดและผู้ติดตามต่างนิ่งอึ้งกันไปครู่หนึ่ง
“นังผู้หญิงไม่รักนวลสงวนตัว!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
ไม่นึกเลยว่านางจะทิ้งเขาไว้แล้วไปกับชายอื่น!
“รีบตามไป! ดูสิว่าข้าจะตัดขานังแพศยากับชายชู้มันได้หรือไม่!”
เป็นเวลาดึกมากแล้ว ณ ประตูเซวียนเต๋อ ฮ่องเต้ที่ร่างกายอ่อนแอกำลังเตรียมตัวกลับวังตามคำขอของเหล่าขุนนาง ปล่อยให้โอรสองค์โตเป็นตัวแทนพระองค์อยู่รื่นเริงกับพสกนิกรต่อ แต่ไทเฮาเตือนอย่างนิ่มนวลว่าองค์ชายใหญ่ยังเล็กนัก อดหลับอดนอนไม่ได้
“เช่นนั้นข้าจะอยู่เองพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองเพื่อดูโคมมาโดยตลอดได้เอ่ยขึ้น
“ข้าก็จะอยู่นี่ด้วย”
องค์ชายรองที่สวมเสื้อคลุมกันลมเอาไว้เอ่ยขึ้นตาม
“เสด็จพ่อ ลูกก็อยู่ได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่เอ่ยขึ้นตามอย่างไม่ยอมน้อยหน้า
ประโยคนี้ทำเอาฝ่าบาทและไทเฮาต่างสรวลออกมา
“องค์ชายเว่ยอยู่ที่นี่ต่อเถิด พวกเจ้าสองคนยังเด็ก ตามเรากลับวังไปเถิด” ฝ่าบาทตรัสขึ้นในที่สุด
“ข้าจะอยู่เล่นกับท่านพี่” องค์ชายรองยังบอกอย่างไม่ยอมแพ้
“เจ้าอยู่กับท่านพี่ทุกวี่ทุกวัน แยกกันสักประเดี๋ยวจะเป็นไรไป” ไทเฮายิ้มเอ่ย พลางกวักมือเรียก “รีบหน่อย ไปวุ่นวายกับพี่เจ้าแทบจะทั้งคืนแล้ว ให้เขาได้ชมโคมเงียบๆ ได้แล้ว”
……………………