“ไปเถิด ไปเยี่ยมฮองเฮาเสียหน่อย นางออกมาไม่ได้ เจ้าไปเล่าความคึกคักวันนี้ให้นางฟังเสีย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องอุ้มองค์ชายรองขึ้นมาแล้วกระซิบบอกข้างหูเขา

องค์ชายรองจึงได้พยักหน้า

ขันทีที่อยู่ข้างๆ รีบยื่นมือไปอุ้มมา หลังจากเหล่าขุนนางด้านล่างต่างพากันหมอบกราบถวายพระพรแล้ว ฮ่องเต้และพระบรมวงศานุวงศ์จึงเสด็จกลับวังกันไป

หลังจากฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้ว เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่ด้านบนป้อมปราการก็ต่างกลับไป บนประตูเต๋อเซวียนจึงได้เงียบสงบลง ทว่าถนนที่อยู่เบื้องล่างกลับยิ่งคึกคักมากขึ้น

จิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองลงไปด้านล่างอย่างตั้งใจ ในที่สุดดวงตาก็พลันเป็นประกาย มุมปากหยักขึ้น รอยยิ้มค่อยๆ แย้มกว้าง

สิ้นสุดการรอคอยแล้ว…

ท่ามกลางดอกไม้ไฟและหมู่โคมที่ให้แสงสว่างบนถนนเทียนเจีย สตรีนางหนึ่งกำลังเดินผ่านเหล่าองครักษ์เข้ามา

“นั่น! อยู่นั่น!”

ผู้ติดตามคนหนึ่งร้องบอก

เดินๆ วิ่งๆ กันมาจากหอเต๋อเซิ่งจนถึงหัวสะพาน แล้วจากหัวสะพานเดินๆ วิ่งๆ จนถึงหอเต๋อเซิ่ง จากนั้นก็วิ่งตามมา ท่านชายหวังสิบเจ็ดพบว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเดินเยอะถึงเพียงนี้มาก่อน เขาหอบหายใจพลางค้ำมือยันเข่าไว้ หยัดตัวแทบไม่ขึ้น

ได้ยินผู้ติดตามเอ่ยดังนั้นก็ฝืนหยัดกายโดยมีผู้ติดตามคอยพยุง แล้วมองไปทางนั้น

พวกเขามาถึงหัวถนนหลวงแล้ว คนตรงนี้น้อยกว่าทางนั้นมาก ดังนั้นจึงเห็นคนเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน

สตรีนางนั้นกำลังหันกลับมามองท่านชายที่อยู่ด้านหลังนาง ท่ามกลางแสงโคมส่องสว่างสดใสกว่าตรงนี้ที่เขายืนอยู่ แสงจรัสแจ่มจ้า

“นังชั้นต่ำคนนี้นี่!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวต่อก็เห็นท่านชายที่อยู่ด้านหลังเฉิงเจียวเหนียงเบี่ยงตัวเงยหน้ามองโคมที่อยู่ใกล้ๆ

อ้อ เขาเองหรือ!

ทันใดนั้นท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ถอนหายใจออกมา

“ตกใจแทบแย่ ที่แท้ก็คนในตระกูลนาง” เขาเอ่ยขึ้น

เหล่าผู้ติดตามต่างสงสัย

“ท่านชายรู้จักหรือขอรับ” พวกเขาเอ่ยถาม

“รู้จัก นั่นคุณชายตระกูลโจว” ท่านชายหวังสิบเจ็ดถอนใจเอ่ยตอบ จะว่าอย่างไรดี เหตุใดเขาจึงโชคร้ายถูกคนขโมยตัวคู่หมั้นไปเช่นนี้

เหล่าผู้ติดตามต่างถอนหายใจตาม

ไม่ได้ถูกใครเอาตัวไป และก็ไม่ได้ถูกลักพาตัว แต่เจอญาติของตัวเองนี่เอง

“แต่ว่า ท่านชายขอรับ ตระกูลโจวเป็นเพียงทหารยศน้อยมิใช่หรือ นึกไม่ถึงว่าจะได้ตั้งกระโจมอยู่ที่ถนนเทียนเจียด้วย” ผู้ติดตามที่อายุมากสุดนึกขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น

ใช่น่ะสิ แม้จะเป็นคนต่างถิ่น แต่ถนนเทียนเจียเป็นสถานที่เช่นไร เขาล้วนรู้ดี

นึกไม่ถึงว่าตระกูลโจวนี้จะได้มาชมโคมที่ถนนเทียนเจีย

นี่ใช่ตระกูลเฉิงที่ท่านพ่อพูดถึงว่าเป็นเพียงครอบครัวทหารธรรมดาๆ แน่หรือ

ท่านชายหวังสิบเจ็ดถลึงตาโตมองไปยังเบื้องหน้า เห็นสตรีนางนั้นกำลังถูกสตรีหลายคนล้อมไว้ อีกทั้งสตรีเหล่านั้นยังมาจากทุกทิศทาง อายุอานามก็ไม่เท่ากันสักคน ที่เหมือนกันคือสีหน้าท่าทางคุ้นเคยและเบิกบาน

“เหตุใดสตรีบ้าคนนี้จึงได้รู้จักคนมากมายถึงเพียงนี้” เขาตกตะลึง

เขาพูดจบก็เดินเข้าไป แต่กลับถูกทหารขวางไว้

ตรงหน้าเขานี้ มีทหารคุ้มเกราะเป็นองครักษ์ ตวาดเด็ดขาด กลิ่นไอของการสังหารแผ่กระจายทั่ว เหมือนกับว่าหากมีใครกล้าฝ่าเข้าไปก็จะลงมือสังหารเสียตรงนั้น

ท่านชายหวังสิบเจ็ดและพรรคพวกรีบหยุดฝีเท้าแล้วอธิบายว่าตัวเองมาหาคน แล้วบอกอ้างตระกูลโจวไป

“รอเดี๋ยว ข้าไปถามก่อน” ทหารเอ่ยบอก “ถอยไป ถอยออกไป”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดและพรรคพวกถูกไล่ให้ถอยไปด้านหลังสองสามก้าวจึงหยุดเท้าลง เงยหน้ามองสตรีนางนั้นที่ยังคงถูกคนรายล้อมหัวเราะพูดคุยอยู่บนถนน

จะพูดให้ถูกก็คือคนอื่นหัวเราะพูดคุยกับนาง

“…พี่สาว พี่สาว ข้านึกว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว” เฉินตันเหนียงจับแขนเสื้อเฉิงเจียวเหนียงไว้ไม่ยอมปล่อย

“ไปเที่ยวที่ใดมาหรือ นัดผู้ใดไว้หรือ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยถามพลางมองท่านชายฉินสิบสามที่อยู่ข้างๆ

ท่านชายฉินสิบสามส่ายหน้ายิ้มๆ

“คู่หมั้นข้า” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

คู่หมั้น!

ไม่เพียงแต่แม่นางเฉินสิบแปดที่ตกใจ สตรีนางอื่นๆ ก็พากันนิ่งอึ้ง

ดูเอาเถิด นางเป็นเช่นนี้ ไม่ปิดบังอะไรทั้งสิ้น จิตใจกว้างขวาง

คู่หมั้น…

เป็นครั้งแรกรู้สึกว่าการเรียกเช่นนี้ฟังดูแล้วน่าฟังดี

ท่านชายฉินสิบสามหลุบตาต่ำพรูลมหายใจออกมา มีคนลุกขึ้นชนเขาเข้า

“แม่นางเฉิง”

ฮูหยินฉินอมยิ้มเอ่ยเรียก พลางโบกพัดในมือไปมา

“เจ้ามาแล้วหรือ มา มา รีบมา ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

“ไม่ได้ ไม่ได้เจ้าค่ะ แม่นางเฉิงต้องไปบ้านข้า” เฉินตันเหนียงแย้งขึ้น กอดแขนเฉิงเจียวเหนียงไม่ยอมปล่อย

“ท่านป้าฉิน เช่นนั้นท่านป้าก็มาบ้านเราเสียสิเจ้าคะ” แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มบอก ดึงแขนอีกข้างของเฉิงเจียวเหนียง

“เด็กอย่างพวกเจ้านี่นะ นึกไม่ถึงว่าจะมาแย่งนางกับข้า” ฮูหยินฉินยิ้มเอ่ยแล้วใช้พัดชี้นาง จากนั้นจึงเดินตามไป “รังแกคนแก่อย่างข้าไม่ให้กล้าแย่งกับเจ้าหรือ”

เฉินตันเหนียงกับแม่นางเฉินสิบแปดเห็นนางเดินตามมาก็หัวเราะแล้วรีบดึงเฉิงเจียวเหนียงให้เดินไวขึ้น

บนถนนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าสตรี

ฮูหยินโจวที่ยืนอยู่ข้างๆ ลดมือลง ขณะกำลังมองผู้คนเดินหัวเราะพูดคุยผ่านกระโจมของตระกูลเฉิน

แม่นางก็ดูโคมต่อเถิด อย่างไรเสียคนอื่นก็ดูแลหลานสาวนางนี้ของนางได้ดีเสียยิ่งกว่าตัวนางเอง

“ใต้เท้าโจว มีคนบอกว่าเป็นคนตระกูลท่าน ต้องการจะเข้ามาด้วย”

นายใหญ่โจวที่กำลังดื่มสุราอยู่กับเหล่าพี่น้องลูกหลานอย่างพออกพอใจในกระโจมถูกคนขัดจังหวะขึ้น

“คนตระกูลข้าหรือ” นายใหญ่โจวถามด้วยความฉงน

คนตระกูลเขาก็อยู่นี่กันหมด ที่ไม่อยู่ก็มีแต่คนที่ไม่จำเป็นต้องมา

“เห็นบอกว่าแซ่หวัง” ทหารเอ่ยบอก

แซ่หวังหรือ

นายใหญ่โจวตกตะลึงแล้วเบะปาก

“ไม่รู้จัก ให้เขาไสหัวไป” เขาบอก

ทหารรับคำแล้วหันหลังจากไป

“เป็นผู้ใดกันถึงกล้ามาเหยียบที่นี่” นายใหญ่โจวเอ่ยอย่างโมโห ยกสุราในมือดื่มจนหมดจอก แล้วหัวเราะยิ้มแย้มต่อ “มา มา เติมให้เต็มจอก”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ถูกไล่ให้ออกไปไกลอย่างจนตรอกหยุดฝีเท้าลง

“บังอาจก่อเรื่อง อย่างกับโจรชั้นต่ำ!” เหล่าทหารทางนั้นตะคอกว่า ยกมือขึ้นชี้ตักเตือน

ท่านชายหวังสิบเจ็ดโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ถูกผู้ติดตามดึงไว้แน่น

“ท่านชายขอรับ ที่นี่คือเมืองหลวง ซ้ำยังหน้าประตูเซวียนเต๋อด้วย ไม่ควรก่อเรื่องนะขอรับ” พวกเขาเกลี้ยกล่อม

ท่านชายหวังสิบเจ็ดกระทืบเท้าอย่างโมโห

“ไอ้พวกแซ่โจวจะรังแกคนเกินไปแล้ว!” เขาตะโกนขึ้น “ไปพวกเรา”

ผู้ติดตามเห็นเขาหันหลังกลับจึงได้รีบเดินตามไป สองคนในนั้นเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามองอย่างอดไม่ได้

“ดูท่าแล้ว นางบ้าตระกูลเฉิงนางนั้น ไม่ได้ถูกตระกูลโจวละเลย อีกทั้งดูเหมือนว่าจะรู้จักผู้คนไม่น้อย…” เขาพึมพำขึ้นอย่างอดไม่ได้

ดูท่าแล้วนอกจากเรื่องที่นางปัญญาอ่อนตั้งแต่เด็กแล้ว พวกเขารู้จักแม่นางตระกูลเฉิงผู้นี้น้อยเกินไปนัก…

 …………………..