ตอนที่ 137 ช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนัก
“ปัง ปัง ปัง!”
“ปัง ปัง ปัง!”
ประตูห้องฝั่งตะวันออกถูกเขย่าจนส่ายไปมา หยุนลี่จงจึงปรากฏตัวพร้อมเอามือไพล่หลังและชักสีหน้าไม่พอใจ
“จะส่งเสียงดังไปถึงไหนกัน? มิใช่ว่าพวกเราคุยกันไว้ว่าจะปรึกษากับท่านพ่อหรอกหรือ?” แววตาของหยุนลี่จงกระสับกระส่ายอย่างรู้สึกผิดที่ไปมีส่วนร่วมกับคนพาลเช่นนี้
“ถ้าอย่างนั้นก็มาปรึกษากันเดี๋ยวนี้ เรื่องเงินทองมิควรชักช้า” หยุนลี่เซียวยืนกอดอกแสยะยิ้มและตะโกนขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านกล่าวสิ่งใดเอาไว้!”
หยุนลี่จงขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคือง เขาเบื่อหน่ายกับเรื่องเช่นนี้จนแทบทนไม่ไหว
หยุนลี่จงเกลียดตัวเองที่โชคร้าย เกือบจะครบปีแล้วที่ยังไม่ได้รับตำแหน่งขุนนางใด ๆ ได้แต่อาศัยอยู่ในชนบทที่ห่างไกลและแร้นแค้นนี้
ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงแหบพร่าของผู้เฒ่าหยุนก็ดังออกมาจากภายในห้อง “เจ้าใหญ่ สะใภ้ใหญ่และเจ้าสาม ทั้งหมดเข้ามาหาข้า!”
ทั้งหมดเข้าห้องไป
นอกจากหยุนลี่เซียวที่ยิ้มแย้มอยู่ผู้เดียวแล้ว คนอื่น ๆ ต่างเผยสีหน้าไม่สบายใจ
ผู้เฒ่าหยุนรู้สึกผิดที่ตั้งความหวังกับบุตรชายคนโตไว้สูงไป ถึงแม่เฒ่าจูจะเสียดายเงินหนึ่งร้อยเหรียญนั้นแต่ทำได้เพียงแค่ปล่อยไป
หยุนชิ่วเอ๋อขบกรามถลึงตา จนอยากจะกระโจนเข้าไปถลกหนังของแม่นางจ้าวออกมา
แม่นางจ้าวยกมือประคองหน้าผากอย่างอ่อนแรง ไม่เหลือแรงจะพูดหรือขยับเปลือกตาแม้แต่น้อย
หยุนลี่จงมองไปที่ผู้เฒ่าหยุน ก่อนจะดึงแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อและกระซิบว่า “ท่านพ่อเรียกพวกข้ามาเพราะเหตุใด?”
“เจ้าลูกชาย สถานการณ์ของบ้านเราตอนนี้…” ผู้เฒ่าหยุนถอนหายใจอย่างเย็นชา “พวกเราต้องคิดหาทางเกื้อหนุนโดยเร็ว”
เพื่อรวบรวมเงินหนึ่งร้อยเหรียญนั้น พวกเขาได้ขายที่ดินในตระกูลจนเหลือเพียงห้าไร่ บวกกับเหตุการณ์หลายปีมานี้ทำให้ทรัพย์สินที่สะสมมาหลายปีแทบจะหมดสิ้น แม้ว่าครอบครัวของกั๋วต้าฉานจะใจดี แต่หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว กั๋วต้าฉานคงเข้ามายึดที่ดินทั้งหมดไปอย่างแน่นอน…
แต่หากว่าเกิดปัญหาขึ้นอีกจะเป็นอย่างไร? คงจะไม่ดีแน่ถ้าทั้งสองผู้เฒ่าล้มป่วยไป พวกเขาไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อโลงศพเสียด้วยซ้ำ!
บุตรคนโตไม่รับผิดชอบ ลูกคนที่สามเอาแต่เกียจคร้าน หยุนชิ่วเอ๋อยังเยาว์วัย ภาระของครอบครัวล้วนกดทับอยู่บนไหล่ของผู้เฒ่าหยุนแต่เพียงผู้เดียว
“ท่านพ่อวางใจได้ ข้าคิดเรื่องนี้มาแล้ว” หยุนลี่จงยกข้อศอกสะกิดแม่นางจ้าวที่ก้มหน้าอยู่
แม่นางจ้าวเงยหน้ามองหยุนชิ่วเอ๋อด้วยสายตาดุดัน จากนั้นจึงละสายตาไปที่อื่นและกล่าวว่า “ท่านพ่อ เมื่อครู่ข้าพูดคุยกับสามีแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปที่บ้านของท่านแม่และขอแบ่งผลบ๊วยจากลูกพี่ลูกน้องของข้ามา…”
แม่นางจ้าวอยากจะพูดต่อแต่ได้หยุดเอาไว้
“แล้วอย่างไรต่อ? อยากจะผายลมก็ปล่อยออกมาเสีย!” แม่เฒ่าจูสบถออกมาอย่างไม่พอใจ
แม่นางจ้าวดึงชายเสื้อและกัดริมฝีปากแน่น “ใช่ ลูกพี่ลูกน้องข้าขอบ้านพ่อตาให้จัดการ เขาไม่อาจยอมเสียหน้าได้… จึงไม่คิดจะติดค้างสิ่งใดกันอีก”
“ลูกพี่ลูกน้องกับพ่อตาของเจ้ายังแยกทางกันอยู่อีกหรือ?” หยุนลี่เซียวเยาะเย้ย “ข้าหวังว่าเขาคงจะมิใช่ตัวปัญหาหรอกใช่ไหม? แม้แต่ลูกสะใภ้ของตนเองยังรับไม่ได้!”
“เจ้าจะไปรู้สิ่งใด? นี่เป็นเรื่องขอการค้า เราต้องใจกว้างเข้าไว้!” แม่นางจ้าวมองหยุนลี่เซียวด้วยสายตาเย็นชาพลางคิดในใจว่าเป็นเพราะทุกคนเอาแต่คิดเล็กคิดน้อยจึงสมควรแล้วที่จะไร้อนาคตเช่นนี้!
“ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าสามารถมาส่งลูกบ๊วยได้ภายในกี่วัน?” ผู้เฒ่าหยุนถามบ้าง
“อย่างน้อยก็สามหรือห้าวัน หากข้าเข้าไปขอแบ่งกับเขาด้วยตนเอง”
“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องต้องพูดก่อน แล้วเราจะแบ่งเงินที่ได้จากการขายบ๊วยนี้อย่างไร?” สิ่งที่หยุนลี่เซียวกังวลมากที่สุดคือเรื่องนี้นั่นเอง
เพราะต่อให้ได้เงินมากเพียงใด หากให้แม่นางจ้าวถือไว้ในมือ ทุกอย่างที่ตนทำมาคงเสียเปล่า
ชายชราขมวดคิ้วไม่สนใจคำถามของเขา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันหน้ามาพูดกับแม่เฒ่าจูว่า “ไปนำเงินออกมา”
แม่เฒ่าจูหลบหน้าและพึมพำขึ้นมา “เงิน… เงิน… เงิน พวกเจ้าเอาแต่จะขอเงินทั้งวัน ไอ้พวกผีทวงหนี้!”
“ท่านพ่อ จะให้เราไปแบ่งมาเท่าใด?” แม่นางจ้าวถาม
ผู้เฒ่าหยุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองไปที่หยุนลี่จง “เจ้าใหญ่มีความเห็นว่าอย่างไร?”
แม้ว่าผู้เฒ่าหยุนจะรู้สึกผิดหวังกับลูกชายคนโตผู้นี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พอมีเรื่องก็อดถามความเห็นไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว
“ข้าคิดว่า… พวกเราควรแบ่งมาประมาณห้าสิบจิน?” หยุนลี่จงมักจะเดินทางเข้าเมืองอยู่เสมอ ทำให้บัณฑิตผู้นี้ดูมีความรู้มากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วเข้าไปเพื่อคุยโม้โอ้อวดทำให้ไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับการค้าขายเลยแม้เพียงเล็กน้อย
เขาเห็นว่าหยุนเชวี่ยและเด็กน้อยที่ขนยังไม่ขึ้นพวกนั้นยังสามารถขายได้ถึงห้าสิบจิน ดังนั้นนี่คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด
แม่นางเหลียนและหยุนลี่เต๋อพากันแบกเครื่องมือทำไร่และถังน้ำกลับมา พอเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงแม่เฒ่าตะโกนด่าเสียงดัง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ อาหารพร้อมแล้ว!” หยุนเชวี่ยเปิดฝาหม้อออกกลิ่นที่หอมหวนได้โชยออกมา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ” หยุนเยี่ยนตักน้ำใส่อ่างและวางไว้ที่ข้างสวน
“สิ่งใดทำให้ให้นางไม่พอใจอีกล่ะ?” แม่นางเหลียนวางจอบลงพลางม้วนแขนเสื้อขึ้นและจ้องมองบุตรสาวคนรองอย่างไม่ไว้ใจ “เจ้าไปสร้างปัญหามาอีกแล้วหรือ?”
“ข้าช่วยเผาฟืนทำอาหารตั้งแต่ก้าวเข้าประตูมา หากท่านไม่เชื่อจงไปถามผู้อื่นดูสิ” หยุนเชวี่ยเม้มปากด้วยความคับข้องใจ
“ไม่ใช่เจ้าก็แล้วไป” แม่นางเหลียนตักน้ำขึ้นมาล้างหน้า
“เห็นแล้วไม่แปลกใจเลย ไม่มีวันไหนที่นางจะไม่ลุกขึ้นมาดุด่า คำดุด่าของนางแม่นยํายิ่งกว่าเวลาอาหารสามมื้อเสียอีก” หยุนเชวี่ยยกอาหารขึ้นบนโต๊ะ
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เฒ่าหยุน หยุนลี่จง หยุนลี่เซียว รวมถึงแม่นางจ้าวและหยุนชิ่วเอ๋อจึงออกมาจากห้องและรวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่
หยุนชิ่วเอ๋อยังคงจ้องนางด้วยความเกลียดชัง หยุนเชวี่ยรู้สึกสับสนและไม่รู้ว่าไปล่วงเกินส่วนใดของหยุนชิ่วเอ๋ออีก
หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ แม่นางจ้าวสวมหมวกไม้ไผ่ใบใหญ่และเดินออกจากบ้านไป
ซานหลางวิ่งเข้ามาโอ้อวดด้วยรอยยิ้มว่า “เราจะเข้าเมืองไปเพื่อขายบ๊วย! ได้เงินเมื่อไหร่พวกข้าจะซื้อน่องไก่ชิ้นใหญ่มาฉลองกัน!”
“จะเริ่มขายเมื่อใดล่ะ?” หยุนเชวี่ยถาม
“ท่านพ่อบอกว่าจนกว่าป้าใหญ่จะได้บ๊วยมา!”
“จ้างคนงานด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านพ่อบอกว่าเราจะได้เป็นเจ้าคนนายคน นอนอยู่บนเตียงก็ยังมีเงินไหลมาเทมา!”
หยุนเชวี่ยนิ่งเงียบ
ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง!
“ถึงเวลาที่บ้านของข้าจะได้ดื่มกินอย่างอิ่มหนำสำราญเสียที!” ซานหลางกอดอกและกระโดดโลดเต้นอย่างภาคภูมิใจ “หลังจากนี้ ข้าจะได้ทานเนื้อทุกมื้อ หรูหรากว่าพวกเจ้าเสียอีก ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“เช่นนั้น ข้าขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าด้วย” หยุนเชวี่ยประสานมือเคารพอย่างขบขัน
“ฮึ่ม!” ซานหลางเชิดหน้าขึ้นและมองลงมาด้วยหางตา “เมื่อใดที่ธุรกิจของข้าอยู่เหนือเจ้า ดูสิว่ายังจะอวดดีได้อีกหรือไม่”
“อย่าได้โอ้อวดไป ทำให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” หยุนเชวี่ยเลิกคิ้วขึ้น
คิดไว้แล้วไม่มีผิด ยังไม่ทันเริ่มค้าขายก็ฝันเฟื่องไปไกลเสียแล้ว ไม่เพียงแต่โอ้อวด กลับยังคิดจะเอาชนะอีก ไม่เคยพบเจอผู้ใดที่เห็นแก่ตัวขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
ซานหลางเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”
พอพูดจบก็เดินจากไป
“ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน?” หยุนเชวี่ยกลอกตาไปมา