บทที่ 155 หลินเป่ยเฉินหัวเขียว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 155 หลินเป่ยเฉินหัวเขียว

ราชันย์หนูอสูรมีประโยชน์อย่างไรน่ะหรือ?

“จี๊ด จี๊ด…”

2 เค่อต่อมา ในอาณาเขตของหมาป่าน้ำแข็ง เมื่อราชันย์หนูอสูรขึ้นไปยืนส่งเสียงกรีดร้องอยู่บนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง เพียงไม่นานนัก หมาป่าน้ำแข็งผู้มีดวงตาแดงฉานก็ปรากฏตัวขึ้นตามเสียงร้องของมันถึงสี่ตัว พานเว่ยหมินกับฉู่เหินจึงเข้าใจแล้วว่าหลินเป่ยเฉินอยากจะเก็บหนูอสูรตัวนี้เอาไว้ทำไม

ไป๋ชินหยุน ฮันปู้ฟู่ และเยว่หงเซียงก็เข้าใจแล้วเช่นกัน

ทุกคนล้วนคิดไม่ถึง!

หลินเป่ยเฉินคิดวิธีนี้ได้ ก็เพราะเขาคือเกมเมอร์ตัวจริง

เขาพบว่ากลวิธีการเล่นเกมก็สามารถใช้ได้กับโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ เขาจึงตัดสินใจใช้ราชันย์หนูปีศาจ เป็นตัวดึงดูดสัตว์ประหลาดชนิดอื่นๆ ให้ปรากฏกายออกมา

“พวกเราทุกคนรีบประจำตำแหน่ง เตรียมพร้อมโจมตี”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

บรรยากาศแบบนี้

ความรู้สึกแบบนี้

เหมือนเขากำลังนั่งเล่นเกมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่มีผิด

เพียงแต่ว่าเกมที่เขาเล่นอยู่ขณะนี้ มันเจ็บจริงตายจริงก็เท่านั้นเอง

นอกจากนี้ หลินเป่ยเฉินยังสามารถนำประสบการณ์จากค่ายฝึกครั้งก่อนมาปรับใช้ได้เป็นอย่างดี

หมาป่าน้ำแข็งเป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดตัวร้ายชื่อดังประจำเขตชายแดนเหนือ มีพลังการต่อสู้เทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 7 หรือระดับ 8 โด่งดังมากโดยเฉพาะการโจมตีด้วยพลังปราณน้ำแข็ง มีอาวุธเป็นใบมีดน้ำแข็งที่สามารถปล่อยออกมาจากลำตัวได้อย่างลึกลับ ซ้ำร่างกายยังมีแก่นลมปราณ ผิวหนังและขนราคาแพง ส่วนเนื้อของมันไม่มีส่วนไหนที่ขายไม่ได้

กล่าวได้ว่า หมาป่าน้ำแข็งเป็นอสูรที่มีพลังโจมตีน่ากลัวมาก

แต่ก็เป็นภารกิจที่พานเว่ยหมินอยากให้ลูกศิษย์ทั้งสี่คนได้เรียนรู้

หลินเป่ยเฉิน ฮันปู้ฟู่ เยว่หงเซียง และไป๋ชินหยุนหมายตาหมาป่าน้ำแข็งเอาไว้คนละตัว จากนั้นการต่อสู้จึงเริ่มขึ้น

หลินเป่ยเฉินเป็นคนแรกที่จัดการเป้าหมายสำเร็จ

เขายิงลูกดอกใส่ดวงตาของหมาป่า ทำให้มันตาบอดโดยไม่ทันตั้งตัว

เจ้าหมาป่าส่งเสียงร้องโหยหวน ล้มลงดิ้นทุรนทุราย ก่อนขาดใจตายอยู่ตรงนั้นเอง

หลังจากหลินเป่ยเฉินเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุสำเร็จ เขาก็มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์

พลังการโจมตีจึงแข็งแกร่งมากขึ้นตามลำดับ

เขาสามารถสังหารหมาป่าน้ำแข็งตัวนี้ได้โดยไม่ต้องเหนื่อยแรง

ในขณะเดียวกัน ฮันปู้ฟู่ก็สามารถจัดการหมาป่าน้ำแข็งได้เช่นกัน แม้จะค่อนข้างทุลักทุเลหน่อยก็ตาม

พานเว่ยหมินกับฉู่เหินรู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้มีอันตราย พวกเขาจึงไม่กล้าชะล่าใจ พลังลมปราณถูกโคจรเอาไว้ พร้อมสำหรับยื่นมือเข้าช่วยเหลือลูกศิษย์ยามฉุกเฉินได้ทุกเมื่อ

“ย๊าก ตายซะ! ตายซะ! ตายซะ!”

ไป๋ชินหยุนคำรามเสียงดังสนั่น

เด็กสาวร่างเล็กมีรูปแบบการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านที่สุดในกลุ่ม

นางเหวี่ยงดาบใหญ่ด้วยความดุดัน สวนทางกับร่างกายขนาดเล็กจ้อยบอบบาง

สุดท้ายไป๋ชินหยุนยังไม่สามารถจัดการหมาป่าน้ำแข็งได้สำเร็จ นางก็ได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว

“ฮีลข้าเร็วเข้า หลินเป่ยเฉิน ฮีลข้า”

ไป๋ชินหยุนตะโกนออกคำสั่ง

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก แต่ก็โยนวงแหวนวารีไปให้นางตามคำขอ

“อ๊า…”

ไป๋ชินหยุนส่งเสียงครวญครางอย่างมีความสุข จากนั้นอาการบาดเจ็บก็หายไป เด็กสาวกลับมาคึกคักและสามารถต่อสู้กับหมาป่าน้ำแข็งได้อย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินยืนมองการต่อสู้ของเพื่อนทั้งสามอยู่ด้านข้าง เวลาที่ฮันปู้ฟู่หรือเยว่หงเซียงได้รับบาดเจ็บ เขาก็จะโยนวงแหวนวารีเข้าไปช่วยรักษาโดยทันที

ในที่สุด เพราะว่ามีหลินเป่ยเฉินคอยทำหน้าที่เป็นตัวฮีลให้กับเพื่อนๆ หมาป่าน้ำแข็งทั้งสี่ตัวจึงถูกสังหารหมดสิ้น

พานเว่ยหมินกับฉู่เหินหันมองหน้ากัน ต่างก็เห็นความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของกันและกัน

พวกเขาพลันรู้สึกว่าการเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุของหลินเป่ยเฉิน มีความพิเศษเหนือธรรมดาจริงๆ ต่อให้มันจะไม่ช่วยเสริมพลังโจมตีเลยก็ตาม แต่คุณสมบัติที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องพิสดารเหนือธรรมดา เพียงวิชารักษาอาการบาดเจ็บที่เรียบง่ายอย่างวงแหวนวารี หากเขารู้จักใช้มันได้ดี ใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา ก็นับว่าเด็กหนุ่มจะกลายเป็นผู้ที่มีความสามารถทัดเทียมฟ้าดินไม่ยากแล้ว

การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้าย หลินเป่ยเฉินสมควรเป็นความหวังของพวกเขาจริงๆ

แล้วการต่อสู้ก็จบลง

ฉู่เหินรับหน้าที่เก็บกวาดซากหมาป่า

“ว่าแต่ว่า…” ไป๋ชินหยุนพูดด้วยความสงสัย “ตอนที่ข้าต้องการให้เจ้าส่งวงแหวนวารีออกมา ทำไมเจ้าต้องให้ข้าพูดคำว่าฮีลด้วยล่ะ? มันแปลว่าอะไรรึ?”

พานเว่ยหมิน ฮันปู้ฟู่ และเยว่หงเซียงกางหูสดับรับฟังด้วยความสนใจ

หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “มันเป็นรหัสลับที่รู้กันเฉพาะแค่พวกเรา เวลาต่อสู้กับศัตรู พวกมันจะได้ไม่รู้ว่าเราทำอะไรกันอยู่ ทำไมหรือ? เจ้าว่ามันฟังดูไม่เข้าท่าหรือไง?”

“ก็ใช่น่ะสิ!” ไป๋ชินหยุนทำหน้าตาบูดบึ้ง “ไม่เห็นเข้าท่าเลยสักนิด”

เยว่หงเซียงกับฮันปู้ฟู่ก็ไม่เข้าใจคำตอบของหลินเป่ยเฉินเช่นกัน

รวมถึงพานเว่ยหมินก็ไม่มีข้อยกเว้น

แต่จังหวะที่ทุกคนกำลังมึนงงไปกับคำตอบของเด็กหนุ่ม ฉู่เหินก็เดินยิ้มแย้มกลับมารายงานว่า

“เราได้แก่นลมปราณ 4 ชิ้น สามารถนำไปขายได้ 500 เหรียญเงิน เมื่อรวมเข้ากับหนังหมาป่า ก็เพิ่มเข้าไปอีก 100 เหรียญเงิน…”

หลินเป่ยเฉินหันขวับไปมองด้วยความสนใจ “เดี๋ยวนะขอรับ? แก่นลมปราณกับหนังหมาป่าเอาไปขายได้ด้วยหรือ?”

เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามองเห็นเส้นทางเศรษฐีรำไรแล้ว

ฉู่เหินชำเลืองมองคนถามด้วยสายตาที่ใช้มองตัวโง่งมคนหนึ่ง ก่อนถามกลับว่า “เจ้าไม่รู้หรือ?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “ตรงนั้นยังมีซากหมาป่าเหลืออยู่อีกสามตัว ถ้าอย่างนั้น หนังของพวกมันก็…”

ฉู่เหินตัดบทว่า “โดนฟันยับเยินขนาดนั้น จะเอาไปขายได้ยังไง หนังหมาป่าที่มีคนรับซื้อ ต้องเป็นหนังที่มีสภาพดีไร้ริ้วรอยเท่านั้น”

หลินเป่ยเฉินพลันหันไปมองพวกของฮันปู้ฟู่ทั้งสามคนด้วยแววตาอาฆาต

หนังหมาป่าที่ควรจะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นเหรียญเงินของเขา ต้องกลายเป็นเศษขยะไร้ค่าเพราะเพื่อนทั้งสามคนนี้ไปเสียได้

“อากวง เจ้าจะมัวยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบออกไปเรียกหมาป่ามาให้ข้าอีก”

เด็กหนุ่มเตะเจ้าหนูยักษ์ที่ยืนอยู่บนพื้น ส่งตัวมันลอยละลิ่วหล่นตุ๊บลงในใจกลางอาณาเขตของพวกหมาป่าน้ำแข็งอย่างแม่นยำ

“นี่ ทำไมเจ้าถึงตั้งชื่อมันว่าอากวงล่ะ?” ไป๋ชินหยุนถามด้วยความอยากรู้อีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินหันไปมองค้อนขวับ “เจ้าจะสงสัยอะไรนักหนาเนี่ย?”

เขาไม่ยอมตอบคำถามข้อนี้

ก็จะให้บอกไป๋ชินหยุนไปได้อย่างไร ว่าเขาเอาชื่อนี้มาจากไอดีเกมเมอร์ชื่อดังคนหนึ่งบนโลกมนุษย์น่ะ ในเมื่อหาคำตอบดีๆ ไม่ได้ ก็เลือกที่จะไม่ตอบเลยแล้วกัน

เพราะถ้าเกิดสุดท้ายความแตกว่าเขาเป็นวิญญาณจากโลกอื่น มาอาศัยอยู่ในร่างของหลินเป่ยเฉิน มีหวังคงถูกจับตัวไปเผาไฟทั้งเป็นหน้าวิหารเทพกระบี่ แม้แต่ฉู่เหินที่รักเขาเหมือนลูกในไส้ ก็คงช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว

ทันใดนั้น เกิดฝุ่นตลบขึ้นจากที่ไกลตา

“จี๊ด!”

อากวงส่งเสียงกรีดร้องเหมือนหนูถูกเชือด

พลัน ภาพที่ทุกคนได้เห็นต่อมาก็คือราชันย์หนูอสูรแลบลิ้นห้อยตะกุยสี่ขา พยายามมุดหนีลงดินอย่างลืมตาย ในเวลาเดียวกันนั้น มันก็ต้องคอยหลบหลีกใบมีดน้ำแข็งที่ลอยว่อนในอากาศด้วยเช่นกัน

คราวนี้ มันเรียกหมาป่าน้ำแข็งออกมาได้ถึง 10 ตัว

หลินเป่ยเฉินพุ่งทะยานตรงเข้าไปทันที

ฮันปู้ฟู่ ไป๋ชินหยุน และเยว่หงเซียงอยากจะเข้าร่วมการล่าด้วยเช่นกัน

“พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่ง”

หลินเป่ยเฉินพูดเสียงดัง เหมือนเด็กหวงของเล่น

ฟ้าว!

เขาใช้กระบอกอินทรีมหากาฬ ร่วมกับวิชาตัวเบาวิหคดั้นเมฆ ยิงลูกดอกเหล็กออกจากแขนเสื้อต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง

ขณะนี้ หมาป่าน้ำแข็งสองตัวล้มลงขาดใจตายเพราะถูกลูกดอกยิงใส่ดวงตา ส่วนอีกตัวหนึ่งก็โดนลูกดอกเหล็กมิธริลปักเข้าบริเวณลำคออย่างจัง ใบมีดน้ำแข็งที่กำลังจะปล่อยออกมาจากตัวของมัน พลันแตกสลายกลายเป็นเศษน้ำแข็งกระจัดกระจายอยู่บนพื้นดิน

หลินเป่ยเฉินเผชิญหน้ากับหมาป่าน้ำแข็งทั้งสิบตัวเพียงลำพัง เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บ ก็รีบโคจรพลังนำวงแหวนวารีออกมาใช้งานทันที

“ฮีลตัวเองก็ได้วะ”

เด็กหนุ่มร้องตะโกน

เขานำวงแหวนวารีครอบลงบนศีรษะของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

เพียงพริบตาเดียว บนศีรษะของหลินเป่ยเฉินก็มีวงแหวนวารีซ้อนกันอยู่นับไม่ถ้วน

เมื่อมีการตั้งรับแข็งแกร่ง ซ้ำการโจมตีของเขายังว่องไว ไม่นานนัก หมาป่าน้ำแข็งทั้ง 10 ตัวก็ตายเกลี้ยง

“ชะ ช่าง…แข็งแกร่งเหลือเกิน” สีหน้าของเยว่หงเซียงเต็มไปด้วยความตกตะลึง

หลินเป่ยเฉินมีฝีมือแข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาสอบกลางภาค

นับว่าระดับพลังของเขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดจริงๆ

แม้แต่ฮันปู้ฟู่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้

ในฐานะศิษย์อัจฉริยะอันดับหนึ่งประจำชั้นปีที่ 3 เด็กหนุ่มยอมรับความจริงว่าศิษย์รุ่นน้องอย่างหลินเป่ยเฉิน มีฝีมือล้ำหน้าตนเองไปเรียบร้อยแล้ว

แต่เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ว่า หลินเป่ยเฉินทำสำเร็จได้อย่างไร

การสังหารหมาป่าน้ำแข็งที่โตเต็มวัย 10 ตัวโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ คือสิ่งที่ไม่เคยมีลูกศิษย์คนไหนจากสถานศึกษากระบี่รุ่นเยาวชนทำได้มาก่อน

กล่าวได้ว่า ด้วยระดับพลังของหลินเป่ยเฉินปัจจุบัน เด็กหนุ่มสามารถบรรจุเข้าสำนักมือกระบี่อาชีพได้โดยไม่เก้อเขินด้วยซ้ำ

ไป๋ชินหยุนเคยเห็นระดับพลังที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉินด้วยตาตัวเองมาแล้วในงานประลองกระบี่ นางจึงไม่แปลกใจในความสามารถของเขาที่แสดงออกมาขณะนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้เด็กสาวประหลาดใจได้ก็คือ บรรดาวงแหวนวารีที่ซ้อนทับกันอยู่เหนือศีรษะของหลินเป่ยเฉิน บัดนี้มันเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ทำให้อดไม่ได้ต้องร้องตะโกนออกไปว่า

“หลินเป่ยเฉิน เจ้าเหมือนแมลงวันหัวเขียวเลยแฮะ!”