บทที่ 156 เผชิญหน้ากลุ่มนักล่าอสูร

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 156 เผชิญหน้ากลุ่มนักล่าอสูร

ว่าไงนะ!

หลินเป่ยเฉินพลิ้วกายมายืนอยู่ด้านข้างไป๋ชินหยุนแล้วยกมือขึ้นโบกศีรษะเด็กสาวไปหนึ่งเพี๊ยะ “แมลงวันหัวเขียวอะไรของเจ้า นับวันเจ้ายิ่งพูดจาเรื่อยเปื่อยใหญ่แล้วนะ”

“แต่ศีรษะของเจ้ามันเป็นสีเขียวจริงๆ นี่…” ไป๋ชินหยุนกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น

หลินเป่ยเฉินมองตาขวาง กำลังจะโต้เถียงอะไรบางอย่าง…

แล้วในทันใดนั้น กลุ่มคนหลายสิบชีวิตก็ทะยานออกมาจากดงไม้ด้านตรงข้าม กระจายกำลังกันห้อมล้อมซากหมาป่าน้ำแข็งด้วยความรวดเร็วเหมือนลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง

ปรากฏว่าคนกลุ่มนี้เป็นนักล่าอสูร

พวกเขามาเพื่อแย่งชิง

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทุกวันในหุบเขาชายแดนเหนือเป็นเรื่องปกติ

กลุ่มนักล่าอสูรส่วนใหญ่เป็นผู้มีฝีมือ สามารถไล่ล่าสัตว์ป่าอสูรร้ายได้อย่างไม่มีปัญหา แต่พวกเขาจำนวนไม่น้อยก็ขึ้นชื่อเรื่องการปล้นชิงสิ่งของจากผู้อื่นเช่นกัน

ที่น่ากลัวก็คือบางครั้งไม่เพียงปล้นชิง แต่นักล่าอสูรที่ชั่วร้าย ถึงกับลงมือสังหารผู้คนด้วยซ้ำ

“ฮ่าฮ่า หมาป่าของเจ้าพวกนี้ ข้าขอก็แล้วกันนะ”

ชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ในชุดเกราะหนังผู้หนึ่ง กวาดสายตามองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความยียวน

ใครจะให้ง่ายๆ กันเล่า!

หลินเป่ยเฉินกำหมัดด้วยความโกรธแค้น

แต่เด็กหนุ่มยังไม่ทันได้แสดงฝีมือ อาจารย์พานเว่ยหมินก็ลงมือแล้ว

ชายชราพลิ้วกายออกไปข้างหน้า

ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!

หลินเป่ยเฉินไม่ทันได้มองว่าพานเว่ยหมินลงมืออย่างไร รู้ตัวอีกที เขาก็เห็นนักล่าอสูรกลุ่มนี้ลอยกระเด็นไปคนละทิศละทาง ร่างกายร่วงหล่นกระแทกพื้นดินเหมือนกระสอบทรายมีชีวิต เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกปาก ในบรรยากาศพลันดังระงมด้วยเสียงครวญครางจากความเจ็บปวด

“ไสหัวไปให้พ้น” อาจารย์พานยืนเอามือไขว้หลัง กวาดตามองกลุ่มนักล่าอสูรด้วยสายตาเหยียดหยาม “ไม่งั้นพวกเจ้าได้ตายกันหมดแน่”

พร้อมกันนั้น พานเว่ยหมินก็ปล่อยรังสีอำมหิตออกจากร่างกาย

“พี่ใหญ่!”

“พวกเรารีบหนี”

แล้วกลุ่มชายฉกรรจ์ร่างกำยำ ก็รีบลุกขึ้นวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง

นับเป็นพวกนักล่าอสูรชั้นปลายแถวของจริง

วิ่งหนีโดยที่ยังไม่ทันได้เห็นฝีมือแท้จริงของศัตรู ถือว่าน่าอับอายขายหน้าเหลือเกิน

“คนพวกนี้มาจากไหนกัน?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย

“เป็นพวกโจรป่าน่ะเจ้าค่ะ” เยว่หงเซียงอธิบาย “ภายในป่าลึกเช่นนี้จะมีกลุ่มคนรวมตัวกันอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักล่าสมบัติ นักล่าอสูร นักผจญภัย นักสำรวจ หรือแม้แต่คนจากหอการค้าก็มีเช่นกัน นักล่าอสูรเหล่านี้บางครั้งก็จะผันตัวกลายเป็นโจรป่า คอยปล้นชิงสิ่งของจากผู้อื่น ปกติแล้วพวกเขาจะซุ่มรออยู่ในความมืด และเลือกลงมือในเวลาที่เหมาะสมต่อตัวเองที่สุดเท่านั้น”

ดูเหมือนว่าเยว่หงเซียงจะศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดีทีเดียว

ให้ตายเถอะ

เหมือนพวกโจรสลัดโซมาเลียนั่นเอง

หลินเป่ยเฉินเข้าใจแล้ว

โชคร้ายที่ครั้งนี้กลุ่ม ‘โจรสลัด’ เลือกเป้าหมายผิดคนไปหน่อย

ไม่ว่าจะเป็นพานเว่ยหมินหรือฉู่เหิน ต่างก็มีพลังอยู่ในระดับอาจารย์ของอาจารย์ แล้วโจรกระจอกอย่างพวกมัน จะมาต่อกรกับพวกเขาได้อย่างไร

“จากนี้ไปพวกเราต้องระวังตัวให้มากขึ้น”

พานเว่ยหมินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “รีบเก็บกวาดซากหมาป่าแล้วไปจากที่นี่กันเถอะ เมื่อพวกมันพบเจอเราแล้วกลุ่มหนึ่ง เดี๋ยวก็ต้องมีกลุ่มอื่นๆ ตามมาอีก เราอย่าหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวเลยจะดีกว่า”

หลินเป่ยเฉินรีบจัดการเก็บซากหมาป่าน้ำแข็งโดยเร็วไว

“อากวง มาช่วยกันหน่อยสิวะ”

เมื่อเห็นว่าราชันย์หนูอสูรนอนตาเหลือกขาชี้ฟ้า ทำท่าแกล้งตายอยู่ข้างทาง เด็กหนุ่มก็เรียกมันมาใช้งานทันที

ในเมื่อเป็นทาสรับใช้ ก็ต้องทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยสิ

ราชันย์หนูอสูรส่งเสียงครางในลำคอ ก่อนจะหมุนตัวลุกขึ้นยืนโดยไม่เต็มใจนัก

หลังจากนั้น ทุกคนก็ได้พบว่าราชันย์หนูอสูรตัวนี้มีความสามารถในการชำแหละซากหมาป่า เพื่อเอาแก่นลมปราณออกมาได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว

เนื่องจากมันมีกรงเล็บอันแหลมคมเหมือนอาวุธวิเศษ จึงสามารถกรีดผ่านผิวหนังหมาป่าได้อย่างลื่นไหลไร้รอยตำหนิ

สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็มีหน้าที่นั่งดูอยู่เฉยๆ ส่วนการชำแหละหนัง ปล่อยให้อากวงจัดการเพียงลำพัง

“หนูตัวนี้ชักจะฉลาดเกินไปแล้ว”

พานเว่ยหมินหันหน้าไปปรึกษากับฉู่เหิน

หัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 2 ผงกศีรษะ ตอบรับว่า “นั่นน่ะสิ ถึงเป็นหนูฉลาด แต่ก็ไม่ควรสื่อสารกับมนุษย์ได้อย่างเข้าอกเข้าใจเช่นนี้ มิหนำซ้ำ ยังเชื่อฟังหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดี…”

“ข้าว่ามันต้องเป็นหนูกลายพันธุ์ที่มีพลังพิเศษอย่างอื่นอยู่อีกแน่นอน ท่านพอจะมองออกบ้างหรือไม่ว่าหนูอากวงตัวนี้ มีพลังใดอีกบ้าง?” พานเว่ยหมินถามออกมาอีกครั้ง

ฉู่เหินส่ายหน้า “ตอนนี้ข้ายังมองไม่ออก เราคงทำได้แต่เพียงเฝ้าดูไปก่อนเท่านั้น”

“ในเมื่อมันเลือกตีสนิทกับตัวร้ายกาจอย่างหลินเป่ยเฉิน ความสามารถของมันย่อมไม่ธรรมดาแน่ๆ” พานเว่ยหมินพึมพำกับตัวเอง

ฉู่เหินได้ยินโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็หันมาบอกว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”

เพียงไม่นาน ซากหมาป่าน้ำแข็งก็ถูกเก็บกวาดเรียบร้อย

หลินเป่ยเฉินกำลังยกมือขึ้นมาบวกเลข หน้าตาเคร่งเครียด

หนังหมาป่าน้ำแข็ง 10 ผืน แก่นลมปราณอีก 10 ชิ้น รวมกันแล้วมีค่าเท่ากับ 2 เหรียญทองคำ

ไม่เลวเหมือนกันนะ

ในอนาคต เกิดช่วงไหนเงินขาดมือ เขาก็แค่ต้องเข้าป่ามาล่าอสูรพวกนี้เท่านั้นเอง

หลินเป่ยเฉินเริ่มวางแผนชีวิตตัวเองอีกครั้ง

แต่เด็กหนุ่มก็ต้องหยุดคิดเรื่องทั้งหมด เมื่อได้ยินเสียงของพานเว่ยหมินร้องสั่งให้ทุกคนรีบออกเดินทาง

ตลอด 3 วันหลังจากนั้น พานเว่ยหมินนำลูกศิษย์ทั้ง 4 คนออกล่าอสูรอีกหลายชนิดทั่วหุบเขาชายแดนเหนือ ทำให้ศิษย์อัจฉริยะประจำสถาบันกลุ่มนี้ มีประสบการณ์ต่อสู้เพิ่มขึ้นทวีคูณ

การล่าอสูร นับเป็นการต่อสู้นองเลือดชนิดหนึ่ง

มันช่วยทำให้ลูกศิษย์ทั้งสี่รู้สึกคุ้นเคยกับการฆ่าฟันมากขึ้น ทำให้สามารถตัดสินใจได้รวดเร็วมากขึ้น มีการตอบสนองของร่างกายที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น

ฮันปู้ฟู่ ไป๋ชินหยุน และเยว่หงเซียงต่างก็รู้สึกว่าพลังการต่อสู้ของตนเองเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า

การพัฒนาฝีมือในอัตรานี้นับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

แต่ในส่วนของหลินเป่ยเฉินนั้น…

เด็กหนุ่มผู้เป็นความหวังของสถานศึกษากระบี่ที่สาม วันทั้งวันเอาแต่ออกล่าอสูรร้าย ถลกหนังเอาเนื้อ ถลกเนื้อเอาแก่นลมปราณ หลินเป่ยเฉินลงมือด้วยความรวดเร็วฉับไว…ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ออกล่าอสูรด้วยความสนุกสนาน

โดยมีอากวงหนูสัตว์เลี้ยงตัวแสบ เป็นผู้ช่วยตัวสำคัญ

ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน อดีตราชันย์หนูอสูรก็พัฒนาทักษะการเลาะกระดูก ถลกหนัง ชำแหละซากสัตว์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ พานเว่ยหมินซึ่งชื่นชอบการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับประโยชน์จากความสามารถของมันไปเต็มๆ

แต่ตลอด 3 วันที่ผ่านมา พานเว่ยหมินกับฉู่เหินก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นหลายเท่า เนื่องจากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากลุ่มนักล่าอสูรบ่อยครั้งมากขึ้น

มีหลายครั้งที่การปะทะกันเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดสาด

แม้ผู้คุ้มกันความปลอดภัยของคณะศิษย์ในครั้งนี้จะเป็นพานเว่ยหมินผู้มีฝีมือแข็งแกร่ง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าศัตรูที่พวกเขาพบเจอ เป็นพวกที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

ประสบการณ์บอกอาจารย์ชราทั้งสองคนว่า บัดนี้ พวกเขาได้ตกเป็นจุดสนใจของกลุ่มนักล่าอสูรตัวร้ายในป่าชายแดนเหนือเรียบร้อยแล้ว

หรือว่าพวกเขาจะยุติการฝึกพิเศษเร็วก่อนกำหนดดีนะ?

หลังปรึกษาหารือกันหลายรอบ สุดท้าย พานเว่ยหมินกับฉู่เหินก็มีความเห็นตรงกันว่าพวกเขาไม่ควรรีบทำเช่นนั้น

เพราะการฝึกพิเศษครั้งนี้มีความสำคัญต่อสถานศึกษากระบี่ที่สามเป็นอย่างยิ่ง

สถาบันของพวกเขาไม่เคยมีศิษย์เป็นผู้ชนะการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้ายมาก่อน นี่คือครั้งแรกที่ความฝันของพวกเขาจะสามารถเป็นจริงได้ด้วยตัวแทนทั้งสี่คนนี้ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการทำให้เด็กๆ ทั้ง 4 คนได้รู้จักกันและกันมากขึ้น ได้สร้างมิตรภาพให้แน่นแฟ้นมากขึ้น ก่อร่างสร้างความรักใคร่สามัคคีกันมากขึ้น เมื่อถึงวันแข่งขันจริงแล้ว ยามมีเรื่องเดือดร้อนจะได้คอยช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างแข่งเหมือนที่ผ่านๆ มา

อีกอย่าง การฝึกพิเศษมีกำหนดทั้งหมดห้าวัน นี่ก็ล่วงเข้าวันที่สี่แล้ว

ผ่านพ้นวันพรุ่งนี้ไปได้ การฝึกพิเศษก็จะจบลงตามกำหนดเดิม

พวกเขาแค่ต้องระมัดระวังตัวเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เป็นสัญญาณว่าจบการฝึกพิเศษวันที่สี่ พานเว่ยหมินจึงได้เดินนำทุกคนมายังพื้นที่ริมหนองน้ำตื้น เพื่อหาทำเลกางกระโจมที่พักแรม แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากค่ำคืนก่อนๆ ก็คือ คืนนี้พวกเขาพบว่ามีคนกลุ่มอื่นยึดครองพื้นที่ริมน้ำอยู่ก่อนแล้ว

“พวกเจ้าเป็นใคร?”

เสียงคำรามปานฟ้าผ่าพลันดังขึ้น

จอมยุทธ์หญิงในชุดเกราะหนังสี่นาง ปรากฏตัวขึ้นบริเวณที่พักริมน้ำด้วยความปราดเปรียวว่องไว พวกนางพลิ้วกายเข้ามายืนขวางทางคณะศิษย์อาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามด้วยใบหน้าถมึงทึง