บทที่ 157 สำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 157 สำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ

“พวกเจ้าล่ะเป็นใคร?”

พานเว่ยหมินตะโกนถามกลับไป

“พวกเราสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ” หญิงสาวที่มีท่าทางเป็นหัวหน้ากลุ่มอายุประมาณ 30 ปี ร่างกายแข็งแรงกำยำเหมือนนักกล้ามหญิง นางคำรามตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดุดัน

พานเว่ยหมินหันหน้ามาสบตาฉู่เหิน

ฉู่เหินกล่าวว่า “สำนักล่าอสูรส่วนใหญ่ลงทะเบียนขึ้นตรงกับกรมการค้า แต่ได้ยินว่าช่วงเวลานี้หลายสำนักเกิดปัญหาทางการเงินหนักหน่วง ทำให้ต้องเข้าป่าลึกเพื่อมาล่าอสูรมากขึ้นเรื่อยๆ”

พานเว่ยหมินรับทราบเรื่องนี้เช่นกัน จึงหันกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “พวกเรามาจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม อยากจะตั้งที่พักแรมบริเวณริมน้ำ ไม่ทราบว่าพวกท่านพอจะหลีกทางให้ได้หรือไม่”

น้ำเสียงของชายชราค่อนข้างแข็งกระด้าง

ในจักรวรรดิเป่ยไห่ สถานศึกษามีสถานะสูงส่งกว่าสำนักยุทธ์ทั่วไป

ผู้ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปีอย่างเช่นพานเว่ยหมินกับฉู่เหิน ย่อมมีสถานะสูงส่งกว่านักล่าอสูรชั้นต่ำอย่างหญิงสาวกลุ่มนี้ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

ดวงตาของหัวหน้ากลุ่มจอมยุทธ์หญิงเป็นประกายแวววาวด้วยความประหลาดใจ จังหวะนั้น เด็กสาวที่มีอายุประมาณ 16-17 ปีผู้หนึ่งขยับออกมากระซิบบางอย่างข้างหูนาง ก่อนที่เด็กสาวจะหมุนตัววิ่งหายไปครู่หนึ่ง แล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมพูดว่า “นายหญิงบอกว่าไม่เป็นไร”

สุดท้าย สำนักล่าอสูรกุหลาบไปก็ยอมยกพื้นที่บริเวณริมน้ำให้เป็นที่พักแรมของพวกหลินเป่ยเฉิน ส่วนพวกตนเองย้ายไปตั้งค่ายพักที่จุดอื่น

พานเว่ยหมินจัดการกางกระโจมขึ้นด้วยความรวดเร็ว

หลินเป่ยเฉินยืนกอดอกสังเกตกลุ่มนักล่าอสูรรื้อกระโจมด้วยความสนอกสนใจ

นี่คือครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสสำรวจดูชีวิตของนักล่าอสูรในระยะใกล้ชิด

สิ่งที่คิดไม่ถึงเลยก็คือสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ มีสมาชิกเป็นสตรีล้วน

แต่พวกนางไม่เหมือนมือกระบี่หญิงในจินตนาการ พวกนางไม่มีชุดเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ชุดเกราะหนังสีน้ำตาลที่คอยคุ้มกันร่างกายเปื่อยขาด บ่งบอกว่ามีอายุการใช้งานไม่ใช่น้อย ซ้ำยังเปื้อนคราบเลือดเป็นด่างดวง ผิวพรรณของพวกนางก็ปกคลุมไปด้วยเศษดินเศษฝุ่นสกปรกมอมแมม เส้นผมถูกรวบไว้ด้านหลังลวกๆ แต่ก็ยังดูยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงอยู่ดี

สำหรับนักล่าอสูรกลุ่มนี้ สิ่งที่สะอาดที่สุดบนตัวของพวกนาง กลับเป็นอาวุธคู่กาย

พวกนางทุกคนมีสีหน้าเหนื่อยล้า

เห็นได้ชัดว่าชีวิตของนักล่าอสูรในหุบเขาชายแดนเหนือไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ณ ใจกลางที่พักแรมของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ มีกระโจมหลังหนึ่งเป็นสถานที่เก็บของสำคัญทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ หนังอสูรมากมายหลากหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอสูรระดับต่ำ มักถูกล่าเป็นฝูงและขายไม่ค่อยได้ราคา

แม้หลินเป่ยเฉินจะมีประสบการณ์ล่าอสูรไม่มาก แต่ดูก็รู้ว่าข้าวของทั้งหมดที่พวกนางหามาได้ เอาไปขายก็คงได้เงินเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น

เทียบไม่ได้กับอสูรที่หลินเป่ยเฉินล่ามาได้ตลอด 2 วันนี้ด้วยซ้ำ

แต่ว่าเด็กหนุ่มก็ประเมินจากสิ่งที่เขาเห็นเท่านั้น

บางทีนักล่าอสูรหญิงเหล็กกลุ่มนี้อาจซ่อนของมีค่าไว้อีกก็ได้ ใครจะไปรู้

หลินเป่ยเฉินยังมีประสบการณ์ไม่มากพอ เขาไม่สามารถใช้สายตาของตนเองประเมินสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟได้เด็ดขาด

แต่เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าหากให้ต่อสู้กันจริงๆ พวกเขาก็น่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบนักล่าอสูรกลุ่มนี้อยู่หลายช่วงตัว

“พวกนางเป็นสำนักล่าอสูรระดับล่าง มักเข้ามาล่าอสูรในพื้นที่หุบเขาชายแดนเหนือเป็นประจำเจ้าค่ะ” พลัน เสียงของเยว่หงเซียงดังขึ้นด้านหลังหลินเป่ยเฉิน

“เจ้ารู้จักพวกนางด้วยหรือ?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความประหลาดใจ

เยว่หงเซียงตอบว่า “ครั้งหนึ่งข้าเคยมีความคิดเมื่อเรียนจบ ก็จะสมัครเข้าสำนักล่าอสูรเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้น ข้าจึงศึกษาข้อมูลของพื้นที่นี้เป็นอย่างดี และตัดสินใจว่าจะต้องสมัครเข้าสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟให้ได้ สมาชิกของพวกนางส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 7 ถึงระดับ 8 เท่านั้น แต่ก็โชคดีที่มีมือกระบี่หญิงฝีมือดีแฝงตัวอยู่บางส่วน แม้พวกนางไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักล่าอสูรที่มีประสบการณ์ในพื้นที่นี้มากที่สุด และถูกยกย่องให้เป็นเจ้าถิ่นของหุบเขาชายแดนเหนือไปโดยปริยาย”

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความเหลือเชื่อ “เรียนจบแล้วเจ้าอยากเข้าร่วมสำนักล่าอสูรพวกนี้งั้นหรือ?”

เยว่หงเซียงพยักหน้า ตอบว่า “เมื่อก่อนข้าเคยคิดเช่นนั้น”

“แต่คนที่มีฝีมือเก่งกาจ ซ้ำยังฉลาดเฉลียวเช่นเจ้า น่าจะเข้าศึกษาต่อที่สำนักกระบี่อื่นๆ ได้ไม่ยากเลยนี่นา”

หลินเป่ยเฉินยังคงไม่อยากเชื่ออยู่ดี

เยว่หงเซียงคลี่ยิ้มเยือกเย็น แล้วกล่าว “ครอบครัวข้ายากจน ไม่มีเงินส่งเสียข้าเล่าเรียนหรอกเจ้าค่ะ ทางที่ดีอย่าได้คิดเรื่องศึกษาต่อจะดีกว่า ศิษย์พี่หลินต้องไม่ลืมว่าข้ายังมีน้องชายน้องสาวอีกหลายคน ยิ่งพวกเขาเติบโตเท่าไหร่ ก็ยิ่งกินจุมากขึ้นเท่านั้น…”

ถ้อยคำเหล่านี้ล้วนเป็นความลับที่อยู่ในใจเด็กสาว นางไม่เคยบอกเล่าแก่ผู้ใด

เว้นแต่หลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้น

ไม่ใช่ว่านางจะคิดอะไรเกินเลยกับเขา

แต่การได้พูดคุยกับหลินเป่ยเฉิน ทำให้เยว่หงเซียงรู้สึกผ่อนคลายเสมอ นางจึงพูดหลายเรื่องออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว

เมื่อพูดออกไปแล้ว เยว่หงเซียงไม่เคยคิดเสียใจ ซ้ำยังรู้สึกสบายใจขึ้นอีกด้วย

“แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเจ้าเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายได้ใช่ไหม?” หลินเป่ยเฉินถาม รู้ดีว่าการที่เยว่หงเซียงผ่านเข้าสู่รอบต่อไปของการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้สำเร็จ ย่อมทำให้นางกลายเป็นที่หมายปองของสำนักกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน

เยว่หงเซียงยกมือปิดปาก หัวเราะอย่างมีความสุข “ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ มันเหมือนความฝันที่ได้กลายเป็นความจริง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายได้สำเร็จมาก่อน ที่เป็นเช่นนั้นได้ ก็ต้องขอบคุณศิษย์พี่หลินมากแล้ว”

หลินเป่ยเฉินโบกไม้โบกมือ พูดว่า “โอกาสเป็นของผู้ที่เตรียมตัวพร้อมต่างหาก”

เยว่หงเซียงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้าจะไม่ทำให้โอกาสครั้งนี้ต้องสูญเปล่าเด็ดขาด”

หลังหยุดเล็กน้อย เด็กสาวก็พูดออกมาอีกครั้ง “สำนักล่าอสูรกุหลาบไฟทำงานหนักไม่เป็นสองรองใคร ข้าชื่นชมในความแข็งแกร่งของพวกนางเสมอ ได้ยินว่าเจ้าสำนักของพวกนางมีนามว่าเฟิงซือเหนียง จัดเป็นนักล่าอสูรที่มีหน้าตางดงามที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง”

“แต่ภายหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในสำนัก…สมาชิกทุกคนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างยากลำบาก แต่พวกนางก็ไม่ลืมส่งเสียสำนักเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกหลายแห่งในตัวเมืองด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ข้าถึงได้เคยคิดจะเข้าร่วมกับพวกนาง”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ

นับเป็นเรื่องราวที่น่าเศร้า

แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาสักหน่อย

เด็กหนุ่มยังคงสังเกตการณ์ทุกอย่างด้วยสายตาของคนนอกต่อไปดังเดิม

หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋ชินหยุนก็เดินมาตาม พร้อมส่งเสียงโวยวายว่า “เร็วเข้า ศิษย์พี่หลิน ได้เวลาฝึกพิเศษกับข้าแล้ว”

หลายวันที่ผ่านมานี้ หลินเป่ยเฉินยอมทำทุกอย่างที่ได้เงิน รวมถึงการเป็นคู่ซ้อมกระบี่ให้แก่เด็กสาวร่างเล็กคนนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อเจรจาต่อรองกันได้เรียบร้อย สรุปว่าไป๋ชินหยุนจะจ่ายค่าแรงให้เขาวันละ 1 เหรียญทองคำ

เพราะต้องเก็บเงินเอาไว้ชาร์จโทรศัพท์ หลินเป่ยเฉินจึงไม่คิดปฏิเสธ

“รู้แล้วน่า”

หลินเป่ยเฉินเดินตามไป๋ชินหยุนไปยังพื้นที่ริมน้ำ และเริ่มต้นฝึกซ้อมกระบี่กันทันที

แต่เพิ่งจะซ้อมกันได้ไม่กี่กระบวนท่า พวกเขาก็ได้ยินเสียงผู้คนส่งเสียงตะโกนโวยวายมาจากฝั่งที่พักของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ

ไป๋ชินหยุนมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิม มีหรือที่นางจะอยู่เฉยๆ ได้ เด็กสาวยุติการซ้อมกระบี่ แล้วดึงหลินเป่ยเฉินไปดูที่มาของเสียงโวยวายด้วยความตื่นเต้น

“เรามาตกลงให้ชัดเจนกันก่อนดีกว่านะ เจ้าเป็นคนยุติการฝึกซ้อมเอง จะเบี้ยวค่าแรงข้าไม่ได้เด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินรีบพูดด้วยความหวาดระแวง

“เออน่า รู้แล้ว ข้าไม่เบี้ยวท่านหรอก”

ไป๋ชินหยุนกระซิบตอบกลับมาขณะกุมมือหลินเป่ยเฉิน เพียงพริบตาเดียว นางกับเขาก็มาซุ่มอยู่ด้านนอกค่ายที่พักของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟเรียบร้อย

บัดนี้ กลุ่มจอมยุทธ์หญิงกำลังยืนเผชิญหน้ากับนักล่าอสูรชายฉกรรจ์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

สมาชิกของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟผู้มีร่างกายเหมือนนักกล้ามหญิงยืนหยัดอยู่หน้าสุด นางคำรามออกมาเสียงดังกังวานว่า “ท่านอย่าได้กำแหงให้มันมากเกินไปนัก โจวเฉิง อย่าลืมว่าท่านเป็นคนทรยศนายหญิงของพวกเราก่อน ยังมีหน้ากลับมาหาคุณหนูอีกได้อย่างไร คิดหรือเราจะเชื่อว่าพวกท่านมีเจตนามาดี?”