ม่านห้อยลงมากั้นหลายชั้นบรรยากาศในพระราชวังเชียนชิวช่างน่าอึดอัดและน่าเศร้า บางครั้งมีนางในวิ่งถือของไปมา
ฮ่องเต้ยืนอยู่หน้าห้องโถงพระองค์ทอดพระเนตรมองอ่างโลหิตที่อยู่ด้านนอก หัวใจของพระองค์ราวกับมีมือหนึ่งบีบเสียแน่นเจ็บปวดจนไม่สามารถหายใจได้
พระองค์ทอดมองไปยังประตูวัง พระอาทิตย์ส่องแสงช่างดูอบอุ่นและสดใส
แต่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยเมฆครึ้มรวมทั้งฟ้าแลบฟ้าร้อง
พระองค์ไม่รู้ว่าตนเองยืนมานานเพียงใดแล้ว ว่านต้าเป่าที่เข้ามาขอให้เขานั่งรอ เขาไม่แม้แต่จะได้ยิน
จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงว่านต้าเป่าตะโกนขึ้นว่า “ท่านหมอหวง…”
ฮ่องเต้หันศีรษะไปมองทันที พระองค์จ้องหมอหลวงที่ก้าวออกมาจากห้องโถง
“เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงของเขาแหบจนน่ากลัว ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับว่าพร้อมจะสังหารทันทีหากได้ยินคำตอบที่ไม่เข้าหู
หมอหวงตกใจกับสายตาของฮ่องเต้ เขาประมวลผลในสมองอย่างรวดเร็วและพยายามตอบอย่างใจเย็น “ทูลฝ่าบาท เหนียงเหนียงปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต…”
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ทรงผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดเขาจึงเสริมประโยคในช่วงครึ่งหลังว่า “แต่เด็กในครรภ์…ไม่สามารถรักษาไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่เขาพูดจบคอของเขาก็ถูกมือคู่หนึ่งบีบจนแน่น ฮ่องเต้กดเสียงด้วยความเกรี้ยวกราด “เหตุใดถึงรักษาไว้ไม่ได้เจ้าเป็นหมอเชี่ยวชาญด้านสูตินารีมิใช่หรือแค่เรื่องนี้ก็ทำไม่ได้”
หมอหวงสำลักเขาหายใจไม่ออก ว่านต้าเป่าจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อห้ามฮ่องเต้ “ฝ่าบาท! โปรดเมตตาด้วย กุ้ยเฟยยังคงรอให้หมอหวงทำการรักษาอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อารมณ์ของฮ่องเต้ก็เย็นลงเล็กน้อยจ้องไปที่หมอหวงครู่หนึ่งและในที่สุดเขาก็ปล่อยมือ แผ่นอกของเขาขยับอย่างแรงพระองค์หายใจหนักด้วยอารมณ์โกรธ ผ่านไปนานกว่าจะพูดว่า
“เหตุใดถึงรักษาไว้ไม่ได้ พูดมา!”
หมอหวงสำลักจนไอติดต่อกันหลายครั้งเมื่อกลับมาหายใจได้ปกติเขาก็รีบโค้งกายตอบกลับว่า “เหนียงเหนียงไม่ได้ให้กำเนิดบุตรมาหลายปีแล้ว การตั้งครรภ์จึงไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งด้วยอายุที่มากขึ้น และร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง…”
“แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ดูแลนางให้ดี” ฮ่องเต้ระงับเสียงตัวเองไม่อยู่ มือของเขาก็เริ่มสั่นอีกครั้ง “เจิ้นย้ำพวกเจ้าแล้วว่าให้ดูแลอย่างดีแล้วพวกเจ้าดูแลเช่นนี้งั้นหรือ!”
หมอหวงไม่สามารถอธิบายได้เขาเกือบจะร้องไห้
พวกเขารู้ดีว่าเผยกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานมากเพียงใด แล้วจะกล้าละเลยได้อย่างไร พวกเขามาตรวจชีพจรทุกๆ สองวัน หากมีของดีๆ ก็จะถูกส่งมายังพระราชวังเชียนชิว ยาบำรุงก็ปรุงมาให้ทานตลอด
แต่พื้นฐานสุขภาพของร่างกายไม่ใช่ว่าเสริมแล้วจะไปได้ด้วยดี เผยกุ้ยเฟยมีร่างกายอ่อนแอก่อนจะเข้าวัง ดูแลอยู่นานหลายปีกว่าจะมีรูปลักษณ์เช่นนี้ ปกติที่นางไม่มีโรคภัยไข้เจ็บก็มาจากการพยายามอย่างหนักของพวกเขา
อีกอย่างนางก็ล้มลงด้วยตัวเองก่อนที่หมอหลวงจะมาถึงเสียอีกจะให้ทำอะไรได้
โชคดีที่ว่านต้าเป่าคอยเตือน “ฝ่าบาท! เหนียงเหนียงอยู่ข้างในโปรดเบาเสียงลงเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ไม่สามารถระบายอารมณ์ออกมาได้ เขาทำได้เพียงจับประตู และสูดหายใจเข้าหนักๆ จากนั้นก็ค่อยๆ สงบลง
หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็โบกมือ และพูดด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “จะมายืนตรงนี้ทำอะไร รีบไปรักษากุ้ยเฟยซะ หากนางเป็นอะไรขึ้นมาพวกเจ้าทุกคนถูกฝังแน่!”
หมอหวงรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษเขารีบพูดรัวๆ ว่า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดยา กระหม่อมจะทำให้ดีที่สุด…”
หมอหลวงถอยออกไปแล้ว เมื่อเห็นท่าทางสิ้นหวังของฮ่องเต้ว่านต้าเป่าจึงถามเสียงเบาออกไปว่า “ฝ่าบาทไม่เข้าไปดูเหนียงเหนียงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เช็ดน้ำตาและก้าวเข้าไปในประตูห้องโถง
“ฝ่าบาท” ชุยชุ่นขันทีประจำพระราชวังเชียนชิวยืนอยู่นอกห้องเขาทำความเคารพด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“กุ้ยเฟยเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ถามอย่างใจเย็น
ชุยชุ่นตอบกลับเสียงเบา “เหนียงเหนียงตื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
ฮ่องเต้ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ภายในห้องนอนเพิ่งมีการเปลี่ยนม่าน สีน้ำเงินเข้มเป็นสีของภูเขาที่อยู่ห่างไกล ทั้งไกลและกว้าง แต่เมื่ออยู่ในห้องที่มีพื้นที่ขนาดเล็ก สีน้ำเงินเข้มและสีเทาอ่อนจึงสื่อความหมายว่าเหี่ยวเฉา
ฮ่องเต้รู้สึกเศร้าในใจ เขาแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นเผยกุ้ยเฟยนอนอยู่บนเตียงใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางดูซีดเซียว
ชั่วขณะหนึ่งความตื่นตระหนกกำลังจะครอบงำเขา ราวกับว่าทุกอย่างกลับไปสู่จุดเริ่มต้น นางก็ยังทิ้งเขาไป
ในตอนนั้นเองขนตาของเผยกุ้ยเฟยขยับและค่อยๆ เปิดออก
ทั้งสองสบตากันความสิ้นหวังในดวงตาของนางโจมตีฮ่องเต้ในทันที
“อาหรง!” ฮ่องเต้รีบเดินเข้าไปหานางอย่างไม่ลังเล พระองค์ตรงเข้าไปจับมือของเผยกุ้ยเฟยไว้แน่น
“ขอโทษ เป็นเจิ้นไม่ดีเอง! เจ้าเจ็บหรือไม่ ไม่เป็นไรนะไม่ต้องกลัว…”
เผยกุ้ยเฟยหลั่งน้ำตาออกมายิ่งทำให้พระทัยของฮ่องเต้เจ็บปวดยิ่งขึ้น
พระองค์อดไม่ได้ที่จะเกลียดตัวเองทำไมเขาจึงจงใจละเลยนางเพราะความไม่พอใจนั้นมันไม่ใช่ความผิดของนางเสียหน่อย!
หากตนอยู่ด้วยละก็นางอาจจะไม่ล้มลง นางในบอกว่าเมื่อคืนนางวาดภาพมากเกินไปจึงล้มลงเพราะความเหนื่อย
ผ่านไปครู่หนึ่งเผยกุ้ยเฟยน้ำตาก็หยุดไหลนางถามเสียงเบา “ฝ่าบาท ลูก…ไม่อยู่แล้วใช่หรือไม่เพคะ”
น้ำตาของฮ่องเต้หลั่งรินอีกครั้งพระองค์รู้สึกเหมือนมีน้ำโหมซัดเข้ามาแล้วตอบเสียงแหบแห้ง “อย่ากลัวไปเลยไม่ต้องกังวลพวกเรามีใหม่ได้เจ้า…”
เผยกุ้ยเฟยหัวเราะเบาๆ นางดูเศร้ายิ่งกว่าร้องไห้ “หม่อมฉันอายุมากเพียงนี้แล้วจะมีอีกได้อย่างไรเพคะ บางทีคงไม่มีวาสนาจริงๆ พอหม่อมฉันรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา เขาก็จากไปเสียแล้ว…”
“อาหรง!” ฮ่องเต้โอบกอดนางแล้วน้ำตาไหล
ลูก ลูกของพวกเขาสองคน!
เขาปรารถนามาตลอดสิบแปดปี แต่สวรรค์กลับบอกเขาในยามที่สูญเสีย
เด็กคนนั้นเขาทั้งรักทั้งชังไม่ใช่เพราะเป็นบุตรที่นางให้กำเนิด แต่เป็นสายเลือดของชายอื่น
เผยกุ้ยเฟยร้องไห้ น้อยครั้งที่นางจะร้องไห้หรือก็คือนางไม่เคยร้องไห้เลย
ตลอดเวลาสิบแปดปีที่อยู่ด้วยกันพระองค์ไม่เคยเห็นนางร้องไห้เลย แต่ในตอนนี้นางร้องไห้เสียงเบาพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
หลายปีมานี้เขามีความสุขที่ได้อยู่กับนาง แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้
ตอนนี้พระองค์กำลังโทษตัวเองเพราะได้รับแล้วจึงไม่รักและทะนุถนอมหรือ
เด็กคนนั้นมีอะไรร้ายแรงหรือ เขาเข้าใจว่าตนเองเป็นบุตรนอกสมรสไม่ดีหรืออย่างไร หากไม่พอใจที่เห็นหน้าเขาก็ให้เขาออกจากเมืองหลวงก็พอเหตุใดต้องไปโกรธอาหรงกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ด้วย ก็รู้อยู่ว่ามันเป็นอดีตที่นางไม่สามารถเปลี่ยนได้…
ฮ่องเต้กำลังคิดฟุ้งซ่านอย่างหนักจนกระทั่งว่านต้าเป่าพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท เหนียงเหนียงไม่สบายอยู่ พระองค์ไม่ควรโศกเศร้าเกินไปพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ได้สติพระองค์เช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วพูดกับเผยกุ้ยเฟย “เจิ้นไม่ดีเองทำให้เจ้าเสียใจ เจ้าดูแลรักษาตัวเองให้ดีเจิ้นจะไปพบหมอหลวง…”
เผยกุ้ยเฟยคว้าแขนเสื้อของเขานางเงยศีรษะขึ้นแล้วมองดูเขาอย่างเศร้าสร้อย “ฝ่าบาท อย่าเสด็จไปนะเพคะ! หม่อมฉันไม่อยากอยู่คนเดียว…”
“ได้” ฮ่องเต้ตอบอย่างไม่ลังเล “ถ้าอย่างนั้นเจิ้นจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ว่านต้าเป่าเจ้าไปดูพวกเขาต้มยาซะ! พวกเจ้าทุกคนออกไปให้หมด อย่ารบกวนการพักผ่อนของกุ้ยเฟยหากมีอะไรเจิ้นจะเรียกพวกเจ้าเอง”
“เพคะ” นางในทุกคนถอยออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน