บทที่ 304 ตัดใจ

คู่ชะตาบันดาลรัก

ม่านสีน้ำเงินเข้มทำให้บรรยากาศดูมืดมน

ฮ่องเต้เอนกายนอนลงบนเตียงและโอบกอดเผยกุ้ยเฟย พระองค์ตรัสกับนางว่า “เจ้าอย่าคิดมากเลยอายุครรภ์ยังน้อย ไม่ใช่ว่าพวกเรากับเขาไม่มีวาสนาต่อกัน เจ้าดูแลร่างกายให้ดีๆ ในอนาคตอาจมีโอกาสอีก ยังมีหญิงอายุสี่สิบที่ให้กำเนิดบุตรได้พวกเรายังมีเวลาอย่างน้อยยี่สิบปี…”

เผยกุ้ยเฟยกลับไม่พูดอะไรนางเอนกายพิงเขาจ้องไปที่ม่านด้วยสายตาว่างเปล่า

ฮ่องเต้เปลี่ยนเรื่อง “รอให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงขึ้นอีกหน่อย พวกเราไปพักที่พระราชวังลั่วชานสิงดีหรือไม่ ที่นั่นมีน้ำพุร้อนหน้าหนาวกำลังสบาย”

“ขอบพระทัยเพคะ” เผยกุ้ยเฟยฝืนยิ้มราวกับกำลังปลอบโยนเขา

ฮ่องเต้ทุกข์ใจมากทรงประคองนางไว้ในอ้อมแขนแล้วเริ่มพูดถึงเรื่องนั้น “เจิ้นรู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องชูเอ๋อร์ เรื่องนี้เจิ้นผิดเองที่โกรธไปชั่วขณะ…ตอนนั้นเจิ้นรับปากพี่ใหญ่ไว้แล้วเด็กคนนั้นเป็นเด็กดี เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย เจ้าวางใจเถอะ เจิ้นจะสั่ง…”

“ฝ่าบาท!” เผยกุ้ยเฟยขัดจังหวะเขา

ฮ่องเต้ก้มหน้ามองนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สิ่งที่เจ้าขอตราบเท่าที่เจิ้นทำได้เจิ้นจะให้สัญญากับเจ้า”

เผยกุ้ยเฟยส่ายหน้าเอนตัวแนบหน้าอกอีกฝ่ายแล้วพูดเบาๆ ว่า “หม่อมฉันไม่ต้องการอะไร เพียงแค่ต้องการให้ฝ่าบาทปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ…”

ฮ่องเต้รีบพูดว่า “ไม่! อาหรงเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เจิ้นเข้าใจแล้วก่อนหน้านี้เจิ้นหน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ…”

“ฝ่าบาท!” เผยกุ้ยเฟยพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “พระองค์ไม่แม้แต่อยากฟังหม่อมฉันพูดแล้วหรือเพคะ”

ฮ่องเต้ต้องนั่งเอนหลังราวกับรอคำตัดสินพระองค์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เอาล่ะ เจ้าพูดมาได้”

เผยกุ้ยเฟยสงบลงแล้วพูดว่า “หม่อมฉันทราบว่าฝ่าบาทมีปมในใจอย่างไรตอนที่หม่อมฉันติดตามฝ่าบาทนั้น หม่อมฉันเป็นแม่หม้ายที่เคยให้กำเนิดบุตร แต่ฝ่าบาทไม่เพียงไม่รังเกียจ อีกทั้งยังทรงมีพระเมตตาต่อหม่อมฉัน แม้แต่ชูเอ๋อร์เองก็ด้วย ถือว่าทรงมีความผ่อนปรนอย่างยิ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่บุรุษทั่วไปทำไม่ได้ ฝ่าบาทเป็นถึงผู้ปกครองแผ่นดินแต่ทรงมีพระเมตตา หม่อมฉันจะจดจำไว้ในใจเพคะ”

“สิบแปดปีมานี้พวกเราไม่พูดถึงเรื่องในอดีตเลยเพราะคิดว่ามันน่าจะดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเรา” เผยกุ้ยเฟยเงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าซีดเซียวราวกับคนกำลังร้องไห้

“ปมในใจยังอยู่ไม่ใช่ว่าไม่มี ฝ่าบาท…เรื่องราวในอดีตหม่อมฉันไม่สามารถแก้ไขได้ แต่พวกเราอยู่ด้วยกันมาสิบแปดปี! พระองค์ลองคิดดูเถิดหม่อมฉันกับเขาเป็นสามีภรรยากันเพียงหนึ่งปีจนถึงตอนนี้ผ่านไปหลายปีแล้ว หม่อมฉันจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำตอนนี้ผู้ที่อยู่ข้างกายหม่อมฉันคือฝ่าบาทนะเพคะ!”

เผยกุ้ยเฟยร้องไห้สะอึกสะอื้นเงียบๆ เสียงสะท้อนอยู่ในห้องเป็นระยะ “สิบแปดปีมานี้พระองค์ปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างไร หม่อมฉันจะไม่รู้เลยหรือ แม้ตอนที่ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ ฝ่าบาทก็ไม่ทำให้หม่อมฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม ทุกคนล้วนมีเลือดเนื้อหม่อมฉันจะไม่ซาบซึ้งได้อย่างไรที่หม่อมฉันไม่พูดเพราะคิดว่าฝ่าบาทคงทราบอยู่แล้ว…”

ฮ่องเต้เดิมทีคิดว่านางจะกล่าวประณามตน แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะเป็นการสารภาพในลักษณะนี้ที่แท้นางกล่าวโทษตัวเอง จู่ๆ เขาก็หายใจไม่ออกด้วยความเจ็บปวด กอดเผยกุ้ยเฟยแน่นและกล่าวขอโทษ “นี่เป็นความผิดของเจิ้นเอง เจิ้นไม่ระวังเอง เจิ้นขอโทษเจ้าด้วย!”

เผยกุ้ยเฟยร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งแล้วฝังหน้าไปกับอกเขาแล้วพูดต่อว่า “หม่อมฉันเห็นแก่ตัวเกินไป รู้ว่าฝ่าบาทมีปมในใจแต่ยังขอให้ฝ่าบาทพาชูเอ๋อร์เข้าวัง ฝ่าบาทใจดีกับเขามากจนหม่อมฉันไม่นึกถึงจิตใจของฝ่าบาทเลย”

จิตใจของฮ่องเต้กระวนกระวายเขาโพล่งออกไปว่า “เจิ้นผิดเอง เจิ้นจะปล่อยเขาออกมา”

“ไม่เพคะ!” เผยกุ้ยเฟยปฏิเสธอย่างเด็ดขาดนางคว้าแขนเสื้อของฮ่องเต้แล้วเงยหน้าขึ้น “หม่อมฉันไม่ต้องการเช่นนั้น หากปล่อยเขาเพื่อประโยชน์ของตนเอง จะเป็นการทำร้ายฝ่าบาทได้”

“เจ้าอย่าคิดเช่นนั้น” ฮ่องเต้พูดปลอบประโลม “เจิ้นหลงผิดไปชั่วขณะ อันที่จริงเด็กคนนั้นเป็นเด็กรู้ความจัดการทุกอย่างได้ดีอีกทั้งยังเห็นข้าเป็นเสมือนบิดา เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเสียหน่อย”

“ฝ่าบาท!” เผยกุ้ยเฟยมองเขาอย่างอ้อนวอน “นี่ไม่ใช่แค่เพื่อฝ่าบาท แต่เพื่อหม่อมฉันด้วย ก่อนหน้านี้แม้เขาจะปลอบโยนหม่อมฉันทำให้หม่อมฉันหลงระเริงไปกับอดีต สำหรับเด็กคนนี้ถ้าหม่อมฉันระวังมากกว่านี้บางทีเขาอาจจะยังอยู่…หม่อมฉันไม่อยากทำผิดแบบเดิมอีกแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอดีตก็ให้มันผ่านไปเถิด เขาเป็นลูกของหม่อมฉันแน่นอนว่าหม่อมฉันต้องรู้สึกสงสารเขา แล้วยังฝ่าบาทไม่แน่ว่าเราอาจมีลูกในอนาคต…ดังนั้นเพื่อเขาแค่คนเดียวมันคงไม่ยุติธรรมที่จะละทิ้งพวกท่าน”

ฮ่องเต้รู้สึกสะเทือนใจและจับมือนางไว้แน่น “สนมรัก เจิ้นทำให้เจ้าเสียใจ…”

เผยกุ้ยเฟยเอนกายพิงเขาด้วยความเหน็ดเหนื่อยแล้วพูดเสียงเบา “เพราะฉะนั้นฝ่าบาทเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของพวกเราทรงปล่อยเขาไปเถิดเพคะ เขาเติบใหญ่แล้วต่อไปต้องแต่งงานมีบุตร ต้องมีครอบครัวเป็นของตนเอง…หม่อมฉันไม่มีอะไรที่ต้องปล่อย ขอเพียงฝ่าบาทให้อภัยเขาเพียงเท่านี้หม่อมฉันก็ไม่กังวลอะไรอีกแล้ว…”

“ได้! เจิ้นจะเชื่อฟังเจ้า!” ฮ่องเต้ให้สัญญากับนาง

ผ่านไปสักพักเสียงเบาๆ ของว่านต้าเป่าดังมาจากด้านนอก “ฝ่าบาท ยาของกุ้ยเฟยเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้อารมณ์ดี “รีบเอาเข้ามาเร็ว”

ว่านต้าเป่าเข้ามาพร้อมกับถ้วยยาและรู้สึกประหลาดใจที่เห็นทั้งสองคนยิ้มให้กัน ฮ่องเต้ทรงป้อนยากุ้ยเฟยด้วยตัวพระองค์เอง ถึงแม้ใบหน้าของทั้งสองมีร่องรอยเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา แต่ตอนนี้มีท่าทางอารมณ์ดีอีกทั้งยังมีเสียงกระซิบหัวเราะอีก

เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้ดีกันเร็วเพียงนี้

หลังดื่มยาเสร็จทั้งสองก็พูดคุยกันสักพักเมื่อเห็นว่าเลยเวลาบ่ายไปแล้ว เผยกุ้ยเฟยมีอาการง่วงงุนจึงตรัสว่า “ฝ่าบาทยังไม่ได้ว่าราชกิจตอนเช้าเลยใช่หรือไม่เพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันทำให้ล้าช้าตอนนี้หม่อมฉันไม่เป็นอะไรแล้วฝ่าบาทไปว่าราชกิจต่อเถิดเพคะ”

ฮ่องเต้พูดเสียงเบา “เจิ้นยังอยากอยู่กับเจ้าอีกสักหน่อย”

เผยกุ้ยเฟยยิ้มแล้วส่ายหน้า “หม่อมฉันง่วงแล้วอยากพักผ่อนพอดี ฝ่าบาทอยู่ที่นี่อาจรบกวนหม่อมฉันนะเพคะ”

ประโยคหลังมีแอบตำหนิเล็กน้อยที่มักไปพบในเวลาปกติ เป็นความใกล้ชิดที่ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกราวกับดื่มน้ำผึ้ง พระองค์ลุกขึ้นแล้วตรัสว่า “ได้ เจ้าพักผ่อนเถอะ เรื่องอื่นไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่เจิ้นรับปากเจ้าเจิ้นทำได้แน่นอน”

หลังจากนั้นชุยชุ่นและคนอื่นๆ ก็ถูกเรียก พวกเขาได้รับการกำชับอยู่หลายครั้งก่อนที่ฮ่องเต้จะจากไปด้วยความพอใจ

เมื่อนางในถอยออกไปเผยกุ้ยเฟยนอนลงบนเตียง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ หายไป นางมองผ้าม่านเหนือศีรษะเงียบๆ

สีน้ำเงินเข้มให้ความรู้สึกหม่นๆ ยิ่งเสริมให้ดูเศร้าโศกขึ้นไปอีกเปลี่ยนได้ถูกจังหวะพอดีเลย

นางอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะหน้าท้องส่วนล่างของตนเองแล้วหลับตาแน่น เผยให้เห็นสีหน้าที่เจ็บปวดเล็กน้อยนางกัดปากแน่นแล้วตัดสินใจอย่างแน่วแน่

เด็กคนนี้ไม่ควรเกิดมา!

ไม่ควรได้รับความรักให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว

ฮ่องเต้เสด็จกลับไปที่ท้องพระโรงด้วยความสบายใจ และสั่งให้ว่านต้าเป่าเรียกเหล่าขุนนางมาหาเพื่อประชุม

เหล่าขุนนางต่างประหลาดใจว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงได้อารมณ์ดีเพียงแต่พวกเขาไม่ใช่พวกสามนางหกแม่[1] หลังถวายพระพรเสร็จพวกเขาก็หารือราชกิจต่อ

หลังจากจัดการเรื่องราชกิจเสร็จแล้วในตอนที่เหล่าขุนนางอาวุโสเดินทางออกจากท้องพระโรงพระองค์รั้งโส่วเซี่ยงหลู่เฉียนไว้

…………….

[1] สามนางหกแม่ : หญิงสาวที่ชอบพูดชอบเล่า