บทที่ 305 โน้มน้าวใจ

คู่ชะตาบันดาลรัก

เมื่อมองหลู่เฉียนตรงหน้าฮ่องเต้ก็แย้มสรวล “เจิ้นคิดว่าวันนี้หลู่ชิงคงมีเรื่องอยากพูดกับเจิ้น”

หลู่เฉียนดำรงตำแหน่งโส่วเซี่ยงมาหลายสิบปีแล้วพร้อมกับฮ่องเต้องค์นี้ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรจึงยิ้ม “กระหม่อมไม่มีอะไรปิดบังฝ่าบาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่มีเรื่องจะกราบทูลเพียงแต่ได้ยินว่า…” เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “เลยไม่กล้าให้ฝ่าบาทเป็นกังวลอีก”

ฮ่องเต้รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่พระองค์ที่ได้เผยกุ้ยเฟยปลอบประโลมมาจนอารมณ์ดีแล้วยิ่งเหมาะเจาะไปอีกจึงอุทานว่า “หลายปีมานี้ที่เจิ้นครองบัลลังก์ ไม่มีประสบการณ์ด้านการเมืองต้องขอบคุณหลู่ชิงที่สั่งสอนอย่างใกล้ชิด เจิ้นรู้ดีว่าในบรรดาขุนนางในที่นี้เจ้าจริงใจกับเจิ้นมากที่สุด”

หลู่เฉียนไม่แน่ใจว่าอารมณ์ของฮ่องเต้เป็นอย่างไร พูดตามเหตุผลจู่ๆ พระองค์ก็ส่งหยางชูเข้าคุกหลวง ทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเผยกุ้ยเฟยแท้งลูกเลย

หลู่เฉียนรู้ว่าฮ่องเต้รักเผยกุ้ยเฟยมากเพียงใด ทั้งสองไม่มีบุตรด้วยกันซึ่งเป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ยังไม่ทันได้รับรู้ก็สูญเสียไปเสียแล้วยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้เรื่องที่วางแผนว่าจะย้ายหยางชูจึงพับเก็บไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ทำให้ฮ่องเต้ขุ่นเคืองใจ และนำโชคร้ายมาสู่หยางชู แต่ผู้ใดจะรู้ว่าฮ่องเต้จะเรียกพวกเขามาคุยราชกิจเร็วเพียงนี้ อีกทั้งยังดูอารมณ์ดีซึ่งดูไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ

เพื่อความปลอดภัยเขาจึงไม่พูดอะไร รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อนแล้วค่อยพูดดีกว่า แต่ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะพูดก่อน พระองค์คงอารมณ์ดีมากจริงๆ ไม่ได้แสร้งทำเป็นอารมณ์ดี

เขาได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่า “กุ้ยเฟยไม่เป็นอะไรแล้วแม้ว่าพวกเราจะเสียบุตรที่พวกเราหวังไว้ในที่สุด แต่พวกเราได้แก้ปัญหาปมในใจของกันและกัน ยังมีความโชคดีในโชคร้ายอยู่”

หลู่เฉียนเข้าใจในทันที เผยกุ้ยเฟยได้ตอบสนองนำเขาไปก่อนก้าวหนึ่ง

การตอบสนองเช่นนี้ แผนการเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้ไท่จู่จะสู่ขอบุตรสาวตระกูลเผยให้หลานชายคนโตด้วยตนเอง…

อารมณ์ของหลู่เฉียนซับซ้อนมาก สำหรับขุนนางแล้วมันเป็นเรื่องอันตรายมากที่จะมีสตรีเช่นนี้ข้างกายฮ่องเต้ซึ่งมีอิทธิพลต่ออารมณ์และการตัดสินใจของเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้จะโทษเผยกุ้ยเฟยได้อย่างไร

เขารีบเก็บอารมณ์อย่างรวดเร็วแล้วยิ้ม “ฝ่าบาทกับกุ้ยเฟยสบายดีกระหม่อมก็ดีใจพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้มีความสุขมากเขาแทบรอไม่ไหวที่จะทำเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเพื่อให้เผยกุ้ยเฟยมีความสุขมากขึ้นจึงตรัสว่า “ที่เจิ้นรั้งหลู่ชิงไว้เพราะต้องการพูดกับท่านเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

เมื่อเห็นคำถามบนใบหน้าของหลู่เฉียนฮ่องเต้ก็ตำหนิเล็กน้อย “ทำไมหรือ เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่ได้คิดหาวิธีเพื่อช่วยเด็กคนนั้นหรอกหรือ”

หลู่เฉียนก้มหน้า “กระหม่อมรู้สึกละอายใจ รู้ทั้งรู้ว่าฝ่าบาทไม่โปรด แต่ก็ยังคิดจะเอ่ยเรื่องที่ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยอีก”

ฮ่องเต้เอ่ยชม “นี่เป็นคุณสมบัติที่หายากของหลู่เฉียน! อยากพูดอะไรก็พูดออกมา วางใจเถอะเจิ้นไม่โกรธ เจ้าอยากพูดก็พูดมา”

“พ่ะย่ะค่ะ” หลู่เฉียนชะงักพักหนึ่งแล้วพูดเสียงเบา “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทคิดจะทำอย่างไรกับคุณชายสามตระกูลหยางหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ยิ้มแล้วถามกลับ “หลู่ชิงคิดว่าอย่างไร”

หลู่เฉียนจงใจตอบว่า “คุณชายสามตระกูลหยางดูแลหวงเฉิงซือ ในเรื่องที่มีพ่อมดปะปนเข้ามาในเทศกาลชิวเลี่ย เขามีความประมาทเลินเล่ออยู่บ้าง เรื่องนี้ไม่อาจโต้แย้งได้ แต่หากพูดตามตรงทุกหน่วยควรมีส่วนรับผิดชอบไม่ควรลงโทษเขาเพียงผู้เดียว หากฝ่าบาททรงไม่พอพระทัย เช่นนั้นแล้วทรงถอดเขาออกจากตำแหน่งคงเป็นการดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้า “อันที่จริงการให้เขาดูแลหวงเฉิงซือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะเป็นอย่างมาก เด็กคนนี้นิ่งสงบไม่ค่อยได้ชอบโอ้อวดมากเกินไป”

หลู่เฉียนถาม “ฝ่าบาทหมายถึง…”

ฮ่องเต้ลูบที่ทับกระดาษบนโต๊ะสีหน้าของพระองค์ดูไม่ออกว่าโกรธหรือดีใจ พระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตอนที่พี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านเลี้ยงดูเขาอย่างสุดความสามารถ ตระกูลหยางมีความดีความชอบทางการทหาร แต่ตอนนี้มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นวรยุทธ์ เมื่อคิดดูแล้วช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียใจให้เขาอยู่ที่เมืองหลวงคงไม่ช่วยอะไร เจิ้นคิดว่าปล่อยให้เขาได้มีประสบการณ์โชกโชนยังพอสามารถขัดเกลาได้ หากพี่ใหญ่และพี่เขยทราบคงรู้สึกเบาใจ” หลู่เฉียนรู้สึกโล่งใจ

นี่ต้องเป็นความคิดของกุ้ยเฟยซึ่งมันสอดคล้องกับความต้องการของพวกเขามาก แต่กุ้ยเฟยจะรู้ได้อย่างไรว่าหากเด็กคนนั้นยังอยู่ในสายตาของฮ่องเต้เขาจะไม่มีทางมีชีวิตที่ดีได้

“ฝ่าบาทคิดเพื่อเขาเช่นนี้ทรงมีพระเมตตาจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ยิ้มเขาชอบให้ผู้อื่นชมเขาว่ามีความเมตตากรุณา บางทีอาจเป็นเพราะความสามารถทางทหารของเขาอาจไม่ดีเท่ากับพี่น้องของตน แต่ในเรื่องนี้เขาทำได้ดีกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน

หลู่เฉียนถามอีกว่า “ฝ่าบาทคิดจะให้เขาไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เจิ้นเรียกหลู่ชิงเอาไว้” ฮ่องเต้ครุ่นคิด “ให้เขาไปทางใต้ บรรยากาศที่นั่นดูฟุ่มเฟือยไปหน่อย กังวลว่าเด็กคนนั้นอาจนิสัยเสียเข้า หากให้เลือกกองทัพทหารหนึ่งกอง สถานะของเขาก็สูงเกินไปเกรงว่าแม่ทัพจะลำบาก เจิ้นลำบากใจมากไม่ทราบว่าหลู่เฉียนมีความคิดดีๆ หรือไม่”

หลู่เฉียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ให้เขาไปซีเป่ยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “ซีเป่ยงั้นหรือ น่าจะไม่ดีนะสภาพแวดล้อมแย่เกินไป เขาเกิดมาบนความสะดวกสบายแล้วเขาจะทนทุกข์ทรมานกับความยากลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร นอกจากนี้เจิ้นแค่อยากให้เขาออกไปฝึกไม่ได้ต้องการที่จะบดขยี้เขา”

ประโยคหลังจากนั้นฮ่องเต้ไม่ได้กล่าวออกมา

ซีเป่ยเป็นศูนย์กลางทางการทหารในช่วงที่องค์หญิงหมิงเฉิงและโป๋วหลิงโหวยกทัพไปแดนเหนือใต้นั้นจนถึงตอนนี้พวกเขายังคงมีชื่อเสียงมากในด้านการทหาร การให้เขาเดินทางไปซีเป่ยถ้า…

หลู่เฉียนยิ้ม “ฝ่าบาทต้องการขอให้เขาไปฝึก แน่นอนว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กุ้ยเฟยคงเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”

เขาชะงักแล้วพูดอีกว่า “ให้เขาไปเกาถางดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ! ที่นั่นมีทุ่งหญ้า สภาพแวดล้อมค่อนข้างดี หูเหรินไม่มีทางบุกไปถึงที่นั่นแน่นอนรับประกันความปลอดภัยได้”

“เกาถางงั้นหรือ”

เกาถางเป็นสนามเลี้ยงม้าที่ใหญ่ที่สุดในยุคนี้ถูกใช้เพื่อเลี้ยงม้าให้กับกองทัพต้าฉีเป็นพิเศษ แม้ว่าจะอยู่ที่ซีเป่ยแต่ไม่ติดกับพวกหูเหรินมีเพียงทหารที่คอยดูแลสนามม้าอยู่รอบๆ ไม่มีทางติดต่อกับกองทัพซีเป่ยได้

ฮ่องเต้ลูบฝ่ามือ “ความคิดของหลู่เฉียนไม่เลวงั้นเอาตามนี้ละกัน!”

……….

ในวันนี้มีพระราชโองการลงมา

หยางชูรับพระราชโองการเขารู้สึกสับสน

ฮ่องเต้ยังไว้หน้าเขาอยู่โดยกล่าวว่าแม้ว่าเขาจะประมาทเลินเล่อ แต่เขาก็ไม่มีข้อผิดพลาดร้ายแรง ดังนั้นเขาจึงถูกถอนจากตำแหน่งเลขานุการ และย้ายไปดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ดูแลสนามเลี้ยงม้าที่เกาถาง

เจ้าหน้าที่ดูแลสนามเลี้ยงม้าเป็นขุนนางขั้นห้ามีการลดขั้นลงไปหลายระดับ อีกทั้งยังให้ไปอยู่สถานที่เช่นเกาถางซึ่งเห็นได้ชัดว่าถูกเนรเทศ ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ไป ทุกคนต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันอย่างแน่นอนว่าเขาทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยจนสูญเสียความโปรดปราน

หยางชูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาคงต้องประเมินความสามารถของฟู่จินใหม่ เขาบอกให้ตนไปซีเป่ยก็พูดโน้มน้าวหลู่เฉียนจริงๆ ว่าให้เขาไปซีเป่ย

“คุณชายหยาง เชิญขอรับ!” ผู้คุมส่งเขาออกไปยิ่งรู้สึกเห็นใจมากขึ้น

เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์อยู่ดีๆ กลับถูกส่งไปซีเป่ยเพื่อกินทรายเลี้ยงม้าไม่รู้ว่าเขาจะรอดจากความยากลำบากนี้ได้หรือไม่

หยางชูออกจากคุกหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอน อาหว่านและอาสวนรออยู่ข้างนอกแล้ว เขาเข้าไปในรถม้าอย่างเงียบๆ แต่พอขับไปข้างหน้าครู่หนึ่งก็หยุดลงกะทันหัน

อาสวนยื่นหน้าเข้ามาส่งสายตาให้อาหว่าน

อาหว่านไม่เต็มใจ แต่ก็ยังยอมหลีกทางให้ จากนั้นม่านก็ถูกยกขึ้นและมีคนเดินเข้ามาข้างใน

เป็นหมิงเวย เมื่อหยางชูเห็นนางดวงตาของเขาร้อนผ่าว

แม้ว่าเขาในตอนนี้จะอยู่ในสถานการณ์คับขันลำบากมาก แต่เขารู้สึกมีความสุขมากกว่าที่เคย