บทที่ 306 ออกจากคุก

คู่ชะตาบันดาลรัก

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังจวนโป๋วหลิงโหว

อาสวนและอาหว่านนั่งหน้ารถเคียงข้างกัน

เมื่อเห็นอาหว่านหันหลังกลับบ่อยๆ อาสวนก็กระซิบ “มองถนนดีๆ อย่าแอบฟัง!”

อาหว่านไม่พอใจ “ข้าแค่แอบฟังแล้วทำไมเจ้าวางใจพวกเขาเพียงนั้นเลยหรือ”

“มีอะไรให้ต้องกังวลกัน” อาสวนไม่เข้าใจ “แม่นางหมิงช่วยเหลือคุณชายอยู่หลายครั้ง เจ้าเองก็รู้” อาหว่านแค่นหัวเราะแล้วหันหน้าไปทางอื่น

ทั้งสองเติบโตขึ้นมาด้วยกัน อาสวนปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นน้องสาวเสมอ เขามองนางแล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงต้องเกลียดแม่นางหมิงเพียงนั้นด้วย นางเป็นคนที่คุณชายต้องการแต่งงานด้วยเพราะฉะนั้นนางไม่ใช่คนอื่น”

อาหว่านยิ่งไม่พอใจ “นางหมั้นหมายกับผู้อื่นแล้ว! แล้วยังไม่ถอนหมั้นด้วย แต่ก็ยังรั้งคุณชายเอาไว้ นางเห็นคุณชายเป็นอะไรกัน!”

อาสวนได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถาม “พูดเช่นนี้คงไม่ใช่เพราะว่า…”

อาหว่านกลอกตาใส่เขา “เพราะว่าอะไร! ข้าก็แค่ไม่ชอบนางก็เท่านั้น!”

อาสวนได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ

“ได้! ไม่ชอบก็ไม่ชอบ” เด็กคนนี้พูดออกมาแบบนี้หมายความว่านางไม่มีความแค้นอยู่ในใจ คุณชายและแม่นางหมิงต่างเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องเล็กๆ เหล่านี้จึงปล่อยนางไป

“ท่านจะไปเมื่อไร”

หยางชูตอบ “โดยเร็วที่สุด”

เขารู้ดีถึงสถานการณ์ที่น่าอับอายของตนเอง เมื่อไม่มีทางแก้ไขได้เขาจะทำอะไรได้อีกนอกจากจากไปโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ทุกคนสบายใจ

“ก็ดีเจ้าค่ะ” แล้วทั้งสองก็เงียบ

หยางชูรู้สึกว่าเขามีเรื่องมากมายอยากจะพูด แต่พอคิดดูอีกทีเขารู้สึกว่ายังไม่เหมาะสมที่จะพูดออกมา

หลังจากนั้นไม่นานหมิงเวยก็พูดขึ้นก่อนว่า “การไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไร ท่านอยากพบกุ้ยเฟยหรือไม่”

มือของหยางชูสั่นเขาหายใจติดขัด ความรู้สึกที่เขามีต่อเผยกุ้ยเฟยนั้นซับซ้อนมาก

เมื่อตอนที่เขายังเด็กท่านย่าบอกเขาว่านางเป็นน้าของเขาเป็นพี่น้องกับมารดาผู้ให้กำเนิดเขา อีกทั้งท่านน้าคนนี้ยังปฏิบัติต่อเขาด้วยความรักตัวเขาที่ไร้มารดาจึงมองนางเป็นมารดาได้อย่างง่ายดาย

ต่อมาเมื่อท่านย่าพูดเรื่องนั้นก่อนสิ้นใจทำให้เขาเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นบุตรนอกสมรสของฮ่องเต้และเผยกุ้ยเฟยจึงอดไม่ได้ที่จะทั้งรักทั้งแค้นเคืองนาง เมื่อรู้ว่ามารดายังมีชีวิตอยู่จึงมีความรู้สึกยินดีเล็กๆ ซ่อนอยู่ในใจ แต่ก็ไม่พอใจที่นางทอดทิ้งตนเพื่อความมั่งคั่ง

ตอนนี้เขารู้ความจริงแล้วก็รู้สึกละอายใจ

ก่อนหน้านี้นางมีความสุขมากทุกครั้งที่เขาเข้าวังไปพบนาง แต่ตนเองกลับละเลยไม่สนใจ…แต่ว่าจะหนีจากความอัปยศเล็กน้อยนั้นได้อย่างไร

หยางชูเงยหน้าขึ้น “ข้าอยากพบนางท่านช่วยคิดหาวิธีได้หรือไม่”

หมิงเวยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอเพียงท่านอยากพบ ข้าจะใช้สิ่งที่เรียนรู้มาตลอดทั้งชีวิตเพื่อให้พวกท่านได้พบกันอย่างปลอดภัย”

“ขอบคุณ…” หยางชูพูดเสียงกระซิบ

หมิงเวยถอนหายใจแล้วนางก็เอนกายเข้าไปหาอ้าแขนโอบกอดเขาอย่างอ่อนโยน

หยางชูรู้สึกถึงลมหายใจอันแผ่วเบาตัวเขาที่ถูกโอบล้อมด้วยความอ่อนโยนราวกับสายลมจากต้นหลิวในต้นฤดูร้อน ราวกับน้ำดอกท้อในฤดูใบไม้ผลิ

จู่ๆ หัวใจก็อ่อนยวบลง ความเจ็บปวด ความเสียใจ และความรู้สึกผิดล้วนได้รับการปลอบโยน เขาเหยียดแขนออกรั้งนางให้จมลงในอ้อมแขนของตน

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรก็เหมือนโอบกอดโลกทั้งใบ

อ้อมกอดนี้กินเวลาเพียงสั้นๆ จากนั้นเขาก็คลายอ้อมกอดด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ในคุก…เอ่อ ข้าไม่ได้อาบน้ำมีกลิ่นหรือไม่”

หมิงเวยหัวเราะเบาๆ เขาถูกขังไว้นาน แต่ตอนนี้ก็เข้าหน้าหนาวแล้วจะมีกลิ่นได้อย่างไร มีกลิ่นอายหยินเล็กน้อยอยู่จริง เพราะสถานที่แห่งนั้นไม่เป็นมงคลเท่าไรนัก

รถม้าหยุดลงแล้วเสียงลังเลของอาสวนก็ดังขึ้นจากข้างนอก “คุณชาย ถึงจวนแล้วขอรับ”

หมิงเวยหยิบซองยาออกมาและพูดว่า “ตอนอาบน้ำให้เทยาลงไปช่วยขจัดความโชคร้าย ส่วนเรื่องนั้นหากข้าจัดการเรียบร้อยแล้วจะมาหาท่านอีกทีเจ้าค่ะ”

“ได้”

หยางชูมองดูนางกระโดดออกจากรถอย่างไม่เต็มใจอีกฝ่ายหันกลับมายิ้มให้เขา จากนั้นจึงเดินเข้าซอยอื่น หลังจากนั้นไม่นานอารมณ์ของเขาก็สงบลงอย่างสมบูรณ์ เขาออกจากรถม้าและเดินเข้าไปในจวนโหว

เมื่อเดินไปถึงห้องโถงก็พบว่าในห้องมีคนอยู่เต็มไปหมด โป๋วหลิงโหวและภรรยา ซื่อจื่อ คุณชายรอง และภรรยาทั้งสองคนเองก็อยู่ในนี้ด้วย

หยางชูนับในใจแล้วเดินเข้าไปทำความเคารพ “คารวะท่านลุง ท่านป้าขอรับ”

โป๋วหลิงโหวยังคงมีท่าทีอ่อนโยน แต่ก็มีความรักษาระยะห่าง

หยางชูถูกเลี้ยงโดยท่านปู่ท่านย่ามาตั้งแต่เด็กได้รับความรักอยู่คนเดียว โป๋วหลิงโหวถึงแม้ไม่ได้แข่งแย่งความรักกับหลานชาย แต่ก็ไม่ได้สนิมสนมกับเขาเช่นกัน

“ลำบากหรือไม่” เขาถาม

หยางชูตอบ “ไม่ขอรับ ผู้คุมไม่กล้าปฏิบัติไม่ดีต่อหลาน”

โป๋วหลิงโหวพยักหน้า “งั้นก็ดีแล้ว” เขาพูดอีกว่า “พระราชโองการของฝ่าบาท พวกเราทราบแล้วต้องเตรียมตัวอะไรบอกป้าของหลานได้เลย”

หยางชูชะงัก “หลานไปรับตำแหน่งไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมากมาย ให้อาหว่านเตรียมให้ก็พอแล้วขอรับ เพียงแต่ร้านค้าเหล่านี้ในเมืองหลวงคงต้องรบกวนท่านป้าช่วยดูแล”

โป๋วหลิงโหวฮูหยินยังไม่ทันได้พูดอะไร ฮูหยินซื่อจื่อได้ยินดังนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน น้องสามวางใจได้ พวกเราจะช่วยดูแลเป็นอย่างดี”

ซื่อจื่อพูดเสียงกระซิบ “ท่านแม่ยังไม่ได้พูดอะไร เจ้าจะพูดแทรกได้ยังไง!”

ฮูหยินซื่อจื่อหุบปากอย่างไม่เต็มใจ ไม่เข้าใจจริงๆ เด็กคนนี้ถูกลดขั้นไปอยู่ที่ซีเป่ย เห็นได้ชัดว่าหมดความโปรดปรานแล้วทำไมยังต้องสุภาพกับเขาอีก

แม้ว่าทรัพย์สินเรือนใหญ่จะมีมากกว่าเรือนรอง จำนวนคนก็มีมากกว่า ตอนนี้ทรัพย์สินในเรือนอยู่ในความดูแลของผู้อาวุโสทั้งสอง ไม่ค่อยมีอะไรตกอยู่ในมือของนางมากนัก เหมือนกับเรือนรองที่มีแค่เขาคนเดียวจึงได้ถือครองทุกอย่างด้วยตนเอง อีกทั้งองค์หญิงใหญ่และโหวผู้เฒ่ารักเขามากเพียงนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าให้ทรัพย์สินส่วนตัวแก่เขาไปเท่าไร

ร้านค้าที่อยู่ภายใต้ชื่อของเขาอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดซึ่งทำรายได้ได้ทุกวัน เขานำออกมาได้อย่างชาญฉลาด เมื่อรู้ว่าอนาคตต้องพึ่งชื่อเสียงของจวน เมื่อให้มาแล้วจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะ

โป๋วหลิงโหวฮูหยินพูดว่า “หลานวางใจเถอะ ป้าจะดูแลแทนให้ ต้องการอะไรก็เขียนจดหมายกลับมาได้พวกเรามีพร้อมทุกอย่างไม่ขาดสิ่งใด”

“ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ”

หลังจากพูดคุยต่อไม่กี่คำหยางชูก็ขอตัวกลับ อันที่จริงเขารู้อยู่แก่ใจว่าทุกคนยังไว้หน้ากันจึงพูดด้วยความเกรงใจ เขาจงใจเอาทรัพย์สินเหล่านั้นออกไปเพื่อติดสินบนพวกเขา

ตระกูลเผยไม่สนใจพวกเขาสองแม่ลูกการไปของเขาในครั้งนี้หากเกิดเรื่องขึ้นกับเผยกุ้ยเฟยพวกเขาก็จะสามารถยื่นมือเข้ามาได้

“คุณชาย” เสี่ยวถงมองเขากลับมาด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านต้องไปซีเป่ยจริงๆ หรือเจ้าคะ”

หยางชูลูบศีรษะนางแล้วยิ้ม “ใช่! เจ้าอยากไปด้วยหรือไม่ ที่นั่นไม่ได้เจริญเท่าเมืองหลวง การกินอยู่ไม่ได้ดีอะไร แต่ยังมีข้าอยู่ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าโดนรังแกแน่”

“ไปเจ้าค่ะ!” เสี่ยวถงกอดแขนของเขา “ข้าบอกพี่อาหว่านแล้ว คุณชายไปที่ใดพวกเราจะไปที่นั่นด้วย! ลำบากอะไรกันหากพวกเราอยู่ด้วยกันอะไรก็ไม่กลัวทั้งนั้นเจ้าค่ะ”

หยางชูยิ้มเขารู้สึกมีความสุขมากขึ้น “ได้ พวกเราไปด้วยกันเถอะ”

พูดประโยคนี้เขาก็นึกถึงหมิงเวยขึ้นมา

นางจะเต็มใจ…ช่างเถอะ นางมีครอบครัวและเพื่อนที่เมืองหลวงเขาจะเห็นแก่ตัวได้อย่างไรกัน