ตอนนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าที่ฮ่องเต้ให้หยางชูทำงานในหวงเฉิงซือก็เพื่อที่จะควบคุมเขาได้สะดวกยิ่งขึ้น ถ้าเช่นนั้นกำลังคน และเส้นทางของเขาในหวงเฉิงซือคงไร้ประโยชน์แล้ว

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนหมิงเวยก็เดินทางไปหาเสวียนเฟย

เสวียนเฟยมองนางอย่างเบื่อหน่าย “ครั้งก่อนช่วยท่านปล้นคุกหลวง ข้าก็แบกรับความเสี่ยงครั้งใหญ่แล้ว ตอนนี้ท่านยังต้องการให้ข้าช่วยท่านหาวิธีแอบพากุ้ยเฟยออกมา ไม่มีทาง! กุ้ยเฟยเป็นคนโปรดของฝ่าบาทหากเกิดอะไรขึ้นมาพวกเราก็จบสิ้นแล้ว!”

“ดังนั้นข้าถึงมาหาท่านไงล่ะเจ้าคะ!” สีหน้าของหมิงเวยจริงจัง “ความเชื่อใจของฮ่องเต้ไท่จู่ที่มีต่อราชครูซูสิงแล้วยังหน้าที่ที่พวกท่านแบกรับอยู่ จะต้องมีวิธีที่เข้าไปในวังได้โดยไม่มีผู้ใดรู้ใช่หรือไม่ ข้าแค่ต้องการให้ท่านปกปิดสักพัก ไม่ใช่พากุ้ยเฟยออกไปจริงๆ เสียหน่อย ท่านอย่าโหดร้ายไปหน่อยเลยเจ้าค่ะ”

เสวียนเฟยหัวเราะเสียงเย็น “พวกเรารักกันหรือ”

“ทำไมจะไม่ล่ะเจ้าคะ” สีหน้าหมิงเวยเหมือนกำลังตำหนิ “ครั้งก่อนที่เสวียนตูกวัน พวกเราก็แอบนัดพบส่วนตัวกันหลายครั้ง ท่านราชครูจะหักหน้ากันจริงๆ หรือ”

“….” เสวียนเฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ เขารู้สึกเสมอว่าตนเองเป็นคนอารมณ์ดี ไม่ว่าเขาจะอยู่ต่อหน้าผู้ใด เขาก็จะอ่อนโยนและสงบเสงี่ยม แม้ว่าจะเป็นผู้อาวุโส รุ่นน้อง อาจารย์ในสำนักก็ล้วนเกรงใจเขา แต่สตรีตรงหน้านี้ เขาระงับ อารมณ์ ไว้ ไม่ ได้ เลย!

“ท่านคิดจะทำอย่างไร” เขากัดฟันพูด

หมิงเวยพูดอย่างไม่เกรงใจ “ขอยืมใช้ทางลับของท่านเจ้าค่ะ”

เสวียนเฟยเริ่มระแวดระวัง “ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีทางลับ”

แน่นอนว่านางต้องรู้ตอนที่แคว้นเป่ยฉีล่มสลาย อาจารย์เคยพานางเข้าไปทางลับนั่น น่าเสียดายที่นางจำทางไม่ได้อีกอย่างเส้นทางลับก็ถูกป้องกันโดยข่ายอาคม หลายสิบปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปกี่ครั้งแล้วการเข้าหาราชครูผู้คอยปกป้องทางลับนั่นดูมีความเป็นไปได้มากกว่า

หมิงเวยตอบ “วิธีการดูดาวของสำนักพวกท่านข้ายังเข้าใจนับประสาอะไรกับทางลับล่ะเจ้าคะ”

เสวียนเฟยจ้องนางเขม็ง เขารู้ว่าหมิงเวยมีความลับมากมาย ทั้งที่มาของนาง เคล็ดวิชาของนาง ในช่วงเวลานี้เขาได้ติดตามนางอย่างเงียบๆ แต่ไม่พบอะไรเลย

ในยุทธภพเขาไม่เคยได้ยินการสืบทอดเช่นนี้มาก่อนราวกับว่านางโผล่มาจากอากาศ

ตามเหตุผลแล้วการที่รู้ความลับของเสวียนตูกวันมากมายถึงเพียงนี้ ผู้ที่มีเคล็ดวิชาเก่งกาจเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ทำให้คนอื่นไว้วางใจหากเป็นคนอื่นเขาอาจคิดหาวิธีกำจัดไปนานแล้ว แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดเขาถึงเชื่อใจนางอย่างบอกไม่ถูก

บางทีการสนทนาลับคราวนั้นอาจไปทำให้เขาประทับใจนางก็เป็นได้ เขามักรู้สึกว่านางไม่มีความเห็นแก่ตัวหรือความเกลียดชัง

เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้หมิงเวยก็พูดเสียงอ่อนโยน “ข้าเข้าใจว่าท่านจำเป็นต้องคิดรอบด้านให้ถี่ถ้วน แต่ความลับยิ่งใหญ่เพียงนี้สามารถแบ่งปันได้ก็ถือว่าพวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วไม่ควรสามัคคีเกื้อกูลกันหรอกหรือ แม้จะไม่ใช่สหายแต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อเป้าหมายเดียวกันย่อมถือว่าเป็นสหายร่วมทางใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านควรไว้วางใจข้ามากกว่านี้”

เสวียนเฟยกระตุกมุมปาก สามัคคีเกื้อกูลกันหรือเห็นได้ชัดว่านางขอให้เขาช่วยอย่างไม่มีเงื่อนไขทุกครั้ง

ราวกับว่ารู้ความคิดของเขาหมิงเวยพูดว่า “พอคิดดูแล้วการแข่งขันที่เสวียนตูกวันข้าไม่ได้ช่วยท่านหรือ”

เสวียนเฟยหัวเราะเสียงเย็นต่อให้นางไม่ช่วยเขา เขาก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่นอยู่แล้ว แต่ที่นางพูดมาก็มีเหตุผลมีเป้าหมายเดียวกันช่วยไปก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

องค์ชายทั้งหลายมีคุณธรรมอย่างไร เขาเองก็รู้ดีเป็นการยากที่จะคาดเดาว่าแผ่นดินต้าฉีในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางไหน การสนับสนุนดาวตี้ชิงที่ซ่อนอยู่ถือว่ามีทางเลือกเพิ่มอีกหนึ่งไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดี

เมื่อตัดสินใจได้เสวียนเฟยก็พูดว่า “ให้ยืมใช้ทางลับได้ แต่ท่านต้องมีสิ่งมาแลกเปลี่ยน”

หมิงเวยคิด “ข้ามีวิชาลับท่านอยากรู้หรือไม่เจ้าคะ”

“อยาก!” เสวียนเฟยตอบอย่างไม่ลังเล เขาไม่มีอะไรเสียหายการรู้วิชาลับเพิ่มถือว่ามีค่ามาก เหมือนนกยักษ์เมื่อครั้งก่อนเพราะยันต์จึงสามารถบินได้ในช่วงเวลาสั้นๆ หากทำได้ดีก็เท่ากับว่าได้ความรู้เพิ่มขึ้น

จากมุมมองนี้ให้นางใช้ประโยชน์เพิ่มก็ไม่มีอะไรเสียหายวันหนึ่งนางอาจขุดวิชาลับทั้งหมดของนางออกมาก็เป็นได้

“ได้เจ้าค่ะ” หมิงเวยยิ้ม “ข้าจะบอกคาถาแก่ท่านก่อนรอให้ได้ใช้ทางลับแล้วข้าจะบอกวิธีฝึกฝน” เมื่อเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนใจดีของนาง เสวียนเฟยรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังนางคงไม่ได้โกงเขาหรอกนะ

…………

หลังจากที่หยางชูอาบน้ำล้างตัวเสร็จเขาก็เดินทางไปเพื่อขอบพระทัยฮ่องเต้

ฮ่องเต้ได้พบเขาโดยไม่คาดคิด พระองค์ยังช่วยประคองเขาเหมือนครั้งตอนที่ยังใกล้ชิดกัน

หยางชูสับสน ในใจของฮ่องเต้นั้นยากที่จะคาดเดาเห็นได้ชัดว่าตัวเขาถูกส่งเข้าคุกหลวงเพราะพระองค์ทรงไม่พอพระทัยเพียงเล็กน้อย แต่พอออกมากลับปฏิบัติต่อเขาด้วยความรักใคร่

“สบายดีหรือไม่” ฮ่องเต้ถามใบหน้าของเขามีรอยยิ้มที่นุ่มนวลราวกับผู้อาวุโสที่ไม่มีที่ติ

หยางชูก้มหน้า “ทูลฝ่าบาทกระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วชี้ไปยังถ้วยอาหารที่นางในนำมาถวาย “วันนี้ทางวังได้หน่อไม้สดมา ห้องเครื่องจึงได้ทำน้ำแกงหน่อไม้ เจิ้นจำได้ว่าเจ้าชอบทานเลยให้พวกเขาทำเตรียมไว้ดูเหมือนว่าหลายวันนี้เจ้าจะไม่ได้ทานอะไรดีๆ เลย ทานน้ำแกงก่อนเถิด”

หยางชูกล่าวขอบพระทัยแล้วเขาก็ทานเงียบๆ ภายใต้สายตาของฮ่องเต้

อันที่จริงเขาไม่สามารถลิ้มรสอะไรได้เลยในใจคิดว่ามันไร้สาระสิ้นดี

รอจนเขาทานเสร็จฮ่องเต้ก็พยักหน้าอย่างสบายใจ “เมื่อไปที่เกาถางแล้วเจ้าต้องดูแลตัวเองดีๆ ที่นั่นไม่เหมือนเมืองหลวงหน้าหนาวอากาศเย็นกว่ามาก กลับไปบอกป้าของเจ้าให้เตรียมเสื้อขนสัตว์ไว้เยอะๆ จะได้ไม่หนาวเข้าใจหรือไม่”

ปากหยางชูตอบรับแต่เขาคิดในใจว่าหากสงสารเขาจริงๆ เหตุใดไม่รอให้พ้นฤดูหนาวไปก่อนแล้วค่อยให้เขาออกเดินทางได้ยินว่าหน้าหนาวที่ซีเป่ยหิมะตกหนักมากจนไม่สามารถออกนอกประตูได้

เมื่อเห็นท่าทีของเขาฮ่องเต้ก็ถอนหายใจและพูดเบาๆ ว่า “ในใจเจ้าคงโกรธเจิ้นอยู่ใช่หรือไม่ ไม่ให้เจ้าอยู่ในเมืองหลวงแต่กลับส่งให้ไปลำบากที่นั่น”

หยางชูพูดเสียงเบา “กระหม่อมไม่กล้าคิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

“ปากบอกไม่กล้า แต่ในใจเจ้าโกรธเจิ้นใช่หรือไม่” ฮ่องเต้พูดอย่างจริงจังว่า

“การส่งเจ้าไปไกลถึงซีเป่ยเจิ้นเองก็เสียใจมาก! แต่จะให้ทำอย่างไรได้ครั้งนี้เดิมทีคิดจะหาสะใภ้ให้เจ้าแต่งงานมีชีวิตที่ดี ผู้ใดจะคิดว่าเจ้ากับลูกสามจะก่อเรื่อง เจ้าลองคิดดู ตั้งแต่องค์รัชทายาทยันลูกสาม มีผู้ใดที่ไม่ทำให้เจ้าขุ่นเคืองบ้าง หากเจิ้นยังมีชีวิตอยู่นับว่าดีไป แต่หากวันไหนเจิ้นไม่อยู่แล้วเจ้าจะทำอย่างไร”

ฮ่องเต้ถอนหายใจ “เจิ้นรู้ว่าเจ้าโทษเจิ้นที่ใช้หัวข้อนี้เล่นงานเจ้าอยู่ดีๆ ก็จับเจ้าเข้าคุกหลวง แต่หากไม่ทำเช่นนั้นจะพาเจ้าออกจากเมืองหลวงได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่น้าของเจ้าขอเอาไว้ให้เจ้าได้ขัดเกลาตนเอง ในอนาคต…เมื่อเจ้าไปแล้ว เวลาผ่านไปความขัดแย้งของเจ้ากับองค์รัชทายาทคงค่อยๆ จางลง เจ้าเข้าใจความพยายามของข้าหรือไม่”

หยางชูเงยหน้าขึ้นเขาเห็นความรักและความจริงใจในสายตาของอีกฝ่าย

เขาขยับมุมปากเหมือนจะซาบซึ้งแต่ก็ไม่กล้าเชื่อราวกับเด็กที่ได้รับความไม่เป็นธรรมกำลังโกรธ “เป็นเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“แน่นอน” ฮ่องเต้ยิ้มอย่างใจดี

ทั้งสองคนพูดคุยกันปกติเหมือนเมื่อก่อน ฮ่องเต้มีราชกิจอื่นที่ต้องทำหยางชูจึงขอตัวลา

เขาลังเลและยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งดูเหมือนอยากจะพูดอะไร

ฮ่องเต้พูดว่า “สองวันก่อนน้าของเจ้าล้มป่วย ตอนนี้กำลังพักฟื้นเจ้าจะไปเยี่ยมนางก็ได้ ขอเพียงไม่ไปรบกวนนางกล่าวทักทายจากข้างนอกก็พอ”