ตอนที่ 534

Elixir Supplier

534 สุดยอดปรมาจารย์กังฟูอยู่ที่นี่แล้ว

 

หวังเย้าสามารถหลบกำปั้นอันร้ายกาจที่กำลังพุ่งเข้าหาเขาได้อย่างง่ายดาย

 

ยอดฝีมือ!

 

หลังจากที่ได้ประมือด้วย ผู้เชี่ยวชาญก็จะสามารถบอกได้ว่า คนคนนั้นมีฝีมือจริงหรือไม่

 

จงหยวนหยางรู้ได้ในทันทีว่าหวังเย้าคือยอดฝีมือ ตอนที่ชกออกไป เขาไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดเผื่อว่าหวังเย้าอาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญการต่อสู้จริงๆ เขาไม่ต้องการทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาไม่คิดเลยว่า หวังเย้าจะสามารถหลบหมัดของเขาได้อย่างง่ายดาย

 

“โปรดชี้แนะด้วย!” จางหยวนหยางพูด

 

หวังเย้าส่ายหน้า

 

“ได้โปรดเถอะครับ!” จงหยวนหยางชกหมัดออกไปอีกครั้ง

 

หวังเย้าชกหมัดออกไปกลางอากาศ

 

ปัง! จงหยวนหยางปลิวออกไป เขาต้องใช้ความพยายามพอสมควรเพื่อให้ตัวเองสามารถกลับมายืนได้อย่างมั่นคง อะไรกัน?

 

ผู้มาเยือนทั้งสามต่างตกใจกับภาพที่พวกเขาได้เห็น หวังเย้าเพิ่งทำอะไรลงไป? เขาชกคนโดยที่ยังไม่ได้แตะตัวเลยด้วยซ้ำ? เขาส่งพลังฉีไปที่ฝ่ามือใช่ไหม?

 

จงหยวนหหยางคือคนที่ตกใจมากที่สุดในทั้งสาม เขามาจากครอบครัวที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ เขาจึงรู้ว่าความสามารถของหวังเย้ามันหมายถึงอะไร

 

พลังฉีที่ออกมาจากฝ่ามือของหวังเย้าคือสิ่งที่พุ่งเข้าใส่ตัวเขา มันคล้ายกับว่า เขาเพิ่งจะถูกม้าวิ่งชนเข้าใส่ แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย เขารู้สึกประทับใจในความแข็งแกร่งและพลังฉีของหวังเย้า เขาไม่เคยพบเจอคนที่เคยทำได้แบบนั้นมาก่อน เขาเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาจากในนิยายและหนังเท่านั้น

 

หวังเย้าคือยอดฝีมือที่ยากจะได้พบพานสักครั้ง ในความคิดของจงหยวนหยางและอีกสองคนที่เหลือ หวังเย้าคือยอดฝีมือของจริง และมันทำให้จงหยวนหยางตื่นเต้นมาก

 

“ยังจะต่ออยู่ไหม?” หวังเย้าถาม

 

“ไม่ ผมแพ้แล้ว” จงหยวนหยางพูด

 

เขาไม่อาจเทียบชั้นกับหวังเย้าที่แข็งแกร่งกว่าเขาได้ เขาเป็นเหมือนกับเด็กประถมที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้านักศึกษามหาวิทยาลัย

 

“แต่…” จงหยวนหยางพูด

 

“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็เชิญกลับได้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

จงหยวนหยางพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ถูกหวังเย้าขัดไว้ก่อน เขาจึงเลือกที่จะถอยก่อนในตอนนี้ ทั้งสามออกมาจากคลินิกพร้อมกับความรู้สึกสับสน

 

“นี่ ทำไมนายไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?” จงหยวนหยางถามซูจือฉิง

 

“จะให้ฉันพูดอะไรได้ล่ะ?” ซูจือฉิงถาม

 

“ก็นายเป็นคนพาพวกเรามาหายอดฝีมือถึงที่นี่ แล้วยังจะให้ฉันสู้กับเขาอีกยังไงล่ะ” จงหยวนหยางพูด

 

“แล้วเขาเป็นยอดฝีมือจริงรึเปล่า?” ซูจือฉิงถาม

 

“เป็น” จงหยวนหยางพูด

 

“แล้วนายได้สู้กับเขาไหม?” ซูจือฉิงถาม

 

“นายมัน…นี่กำลังเล่นเกมส์ต่อคำกับฉันอยู่ใช่ไหม ห๊า?” จงหยวนหยางพบว่า ซูจือฉิงกำลังแกล้งเขาอยู่

 

“นายคิดว่าเขาเป็นยังไงบ้าง?” ซูจือฉิงถาม

 

“เขาสุดยอดมาก เป็นยอดฝีมือของจริงเลยล่ะ พูดตามตรง ฉันไม่คิดเลยว่า จะมีคนแบบเขาอยู่บนโลกใบนี้ด้วย” จงหยวนหยางพูด

 

ตอนที่เขายังอยู่ที่บ้านเกิด ปู่ของเขามักจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับกังฟูให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ ปรมาจารย์กังฟูเหล่านั้นมีอยู่แค่ในนิยายเท่านั้น ในโลกของความเป็นจริงนั้นต่างออกไป ถึงหวังเย้าจะดูเด็กกว่าเขา แต่กลับมีฝีมือสูงส่งยิ่งกว่าปรมาจารย์กังฟูในนิยายด้วยซ้ำ

 

“นี่ นายว่า เราไปขอเขาให้ช่วยสอนพวกเราที่กองทัพดีไหม?”  เพื่อนทหารอีกคนถาม

 

“เขาเป็นหมอนะ ทำไมเขาจะต้องไปสอนพวกเราที่อยู่ในฐานทัพที่ห่างไกลขนาดนั้นด้วย?” ซูจือฉิงถามด้วยรอยยิ้ม “นายก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เขาปฏิเสธที่จะต่อสู้ ก็แสดงว่าเขาไม่ต้องการให้คนรู้ว่าเขาต่อสู้ได้”

 

“น่าเสียดายจริงๆ” เพื่อนทหารพูด

 

“ช่างมันเถอะ ขอฉันคิดดูก่อนนะ” ซูจือฉิงพูด

 

ทั้งสามมาพร้อมกับความคาดหวังที่มากล้น และกลับไปพร้อมกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ได้เป็นพยานเห็นถึงความสามารถในการต่อสู้ของหวังเย้า

 

“ฉันขอให้พวกนายอย่าบอกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กับคนอื่นนะ” ซูจือฉิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ได้สิ” จงหยวนหยางพูด

 

“แน่นอน” เพื่อนทหารอีกคนพูด “ฉันไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่เขาเป็นหมอที่มีฝีมือ แล้วยังเป็นยอดฝีมือในเรื่องการต่อสู้ด้วย ทำไมเขาถึงอยากมาอยู่ในหมู่บ้านกันดารแบบนี้ด้วย ถ้าอยู่ที่อื่น เขาคงจะกลายเป็นที่นับหน้าถือตาไปนานแล้ว”

 

“รอเดี๋ยวนะ เขาบอกกับฉันว่า ท้องนายมีปัญหานี่” ซูจือฉิงพูด “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

 

“เขารู้ได้ยังไงกัน?” เพื่อนทหารอีกคนถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

 

“ฉันได้ยินมาจากเสี่ยวซวีว่า เขาสามารถวินิจฉัยโรคของคนอื่นได้ด้วยการมองอย่างเดียว ดังนั้น เขาก็เลยรู้อาการป่วยของนายจากการมองเท่านั้น” ซูจือฉิงตอบ

 

“ฉันชักจะรู้สึกสงสัยขึ้นมาซะแล้วสิ” เพื่อนทหารของซูจือฉิงพูด

 

“แล้วนายคิดว่า การต่อสู้ของเขาเป็นยังไงบ้าง?” ซูจือฉิงถาม

 

“สุดยอดไปเลยล่ะ” เพื่อนทหารของเขาพูด

 

“เห็นไหมละ” ซูจือฉิงพูด

 

“แต่นั่นมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความสามารถในการรักษาของเขาสักหน่อย” เพื่อนทหารของเขาพูด

 

“ไม่ต้องพูดแล้ว นายลองไปท้าสู้กับเขาดูสิ” จงหยวนหยางพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“ฉันรู้หรอกน่า แต่ฉันคงสู้เขาไม่ได้หรอก” เพื่อนทหารของซูจือฉิงพูด

 

“เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่าไหม?” ซูจือฉิงพูด

 

หลังจากที่ทั้งสามจากไปแล้ว หวังเย้าก็มีคนไข้มารักษาคนหนึ่ง เขาเป็นชายชราในหมู่บ้านวัยประมาณ 60 เขามีผมขาวทั่วทั้งศีรษะ เขาดูป่วยและหลังงอเล็กน้อย

 

“คุณลุงมีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ฉันรู้สึกหายใจลำบากน่ะ” ชายชราพูด ตอนที่ชายชราพูด หวังเย้าได้ยินเสียงจากในลำคอของเขาด้วย เสียงของมันคล้ายกับเสียงของเครื่องระบายอากาศ

 

“เชิญนั่งก่อนครับ ผมขอตรวจดูหน่อย” หวังเย้าพูด

 

เขามองเห็นความเสื่อมโทรมในร่างกายของชายชรา มันไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย เขาจับดูชีพจรของชายชรา ซึ่งมีการเต้นที่ผิดปกติ มันกระโดดไปมาคล้ายกับนกที่กำลังจิกอาหาร แต่แล้วมันก็เต้นอ่อนลง มันเป็นการเต้นที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นการเตือนของความตายที่ใกล้เข้ามา

 

“คุณตาครับ คุณตาควรรีบไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ไปหาหมอ แล้วบอกให้หมอตรวจดูการทำงานของตับนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“เสี่ยวเย้า มีเรื่องอะไรที่อยากจะบอกกับฉันรึเปล่า?” ชายชราถาม

 

“เชื่อผมนะครับ ไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” หวังเย้าพูด

 

“ได้ๆ ฉันจะเชื่อเธอ” ชายชราออกไปจากคลินิก ท่าทางการเดินของเขาดูไม่มั่นคงนัก

 

เมื่อมองดูชายชรา หวังเย้าก็คิดไปถึงคำพูดของคนสมัยก่อน คนที่กำลังจะตายไม่จำเป็นต้องใช้ยา

 

อาการของชายชราเกินกว่าที่จะรักษาได้แล้ว หวังเย้าทำได้เพียงยืดเวลาให้เขาอยู่ต่อไปได้อีกสามสี่เดือนเท่านั้น แต่เขาก็ต้องได้รับอนุญาตจากคนในครอบครัวของชายชราก่อน

 

ในบางครั้ง การรักษาคนในหมู่บ้านก็มีปัญหาได้ ซึ่งต่างไปจากหวูถงชิ่งและซุนหยุนเชิงที่ทำตามคำแนะนำของเขาทุกอย่าง แต่ชาวบ้านไม่ใช่คนที่จะยอมทำตามคำแนะนำของหวังเย้าแบบนั้น

 

ฉันหวังว่าเขาจะไม่ต้องทรมานมากนะ

 

ตั้งแต่ที่เขากลายเป็นหมอ มุมมองของหวังเย้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

 

เมื่อไปถึงที่บ้าน ชายชราได้บอกกับลูกชายของเขา เกี่ยวกับคำแนะนำของหวังเย้า

 

“อะไรนะ? พ่อต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลเหรอ? พ่อเป็นอะไร?” ชายวัย 30 ถาม เขาขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก

 

“ฉันหายใจลำบากน่ะ” ชายชราพูด

 

“ก็ได้ ขอผมคุยกับพี่ดูก่อนนะ” ลูกชายของชายชราพูด

 

ดังนั้น การรักษาของชายชราจึงช้าลงกว่าเดิม

 

หวังเย้าบอกพ่อแม่ของเขาเกี่ยวกับชายชรา ในตอนที่พวกเขากำลังทานอาหารกลางวันกันอยู่

 

“ลุงยี่หลงน่ะเหรอ?” จางซิวหยิงถาม

 

“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด

 

“เขาเป็นอะไรเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม

 

“เขาป่วยหนักมากครับ” หวังเย้าไม่ยอมบอกพ่อแม่ของเขาว่าชายชราป่วยเป็นอะไร แต่พ่อแม่ของเขาก็เข้าใจได้ในทันที ในหมู่บ้าน ชาวบ้านมักจะเรียกโรคมะเร็งว่า โรคร้ายหรือป่วยหนัก

 

“ลูกรักษาเขาได้ไหม?” จางซิวหยิงถาม

 

“ถ้าทำได้ ผมก็คงทำไปแล้วครับ แต่เขาอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว” หวังเย้าพูด “ผมคิดว่า ผมคงจะช่วยเขาไม่ทันแล้ว”

 

“เอาล่ะ กินข้าวกันดีกว่านะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด

 

“เดี๋ยวนะ ผมไม่น่าไปพูดแบบนั้นกับลุงยี่หลงเลย” หวังเย้าพูดขึ้นมา ในตอนที่เขากำลังใช้ตะเกียบคีบอาหารอยู่

 

“ลูกพูดว่าอะไรนะ?” จางซิวหยิงถาม

 

“ผมว่า ผมไม่น่าไปพูดบอกให้เขาไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่เลย มันจะทำให้เขาเป็นกังวลและอาการแย่ลงได้” หวังเย้าพูด

 

สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งบางคนนั้น อาการของพวกเขามักจะทรุดลงหลังจากที่ได้รู้ผลตรวจแล้ว เพราะอารมณ์ความรู้สึกนั้นส่งผลโดยตรงต่อโรค สุขภาพจิตของพวกเขาแย่ลง แล้วต่อด้วยสุขภาพร่างกาย แต่ถ้าพวกเขาไม่รู้เรื่องที่ป่วยเป็นมะเร็ง พวกเขาก็อาจจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น แต่เมื่อพวกเขารู้ตัว พวกเขาก็อาจจะเสียชีวิตได้ในเวลาแค่สองเดือน

 

“ไม่รู้ว่า ลูกชายของเขาจะยอมพาเขาไปโรงพยาบาลรึเปล่านี่สิ” จางซิวหยิงพูด

 

ลูกชายของชายชรานั้นมีชื่อเสียงที่ไม่ดี ในเรื่องของการไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ เขามักจะตะโกนใส่พ่อแม่ของเขา ราวกับว่าตนเองคือผู้เป็นใหญ่ที่สุดของบ้าน ชาวบ้านหลายๆคนมักจะได้ยินเสียงตะโกนของเขาอยู่บ่อยครั้ง

 

แม่ของเขาได้จากไปแล้ว เมื่อไปเคารพหลุมศพ เขาไม่มีท่าทีเสียใจเลยแม้แต่น้อย หรือเขาอาจจะกำลังหวังให้พ่อของเขาป่วยอยู่แล้วก็ได้

 

“เฮ้อ!” หวังเฟิงฮวาถอนหายใจออกมา

 

“ลูกสาวของเขาก็ดีอยู่นะ แต่ตอนนี้เธอก็มีลูกที่ต้องเลี้ยง ถ้าไม่อย่างนั้น เธอก็คงจะเอาตัวลุงยี่หลงไปอยู่ด้วยที่บ้านแล้ว” จางซิวหยิงพูด “อาการป่วยของเขาก็คงจะเป็นเพราะลูกชายตัวดีของเขานั่นแหละ เพราะเสียใจเรื่องลูกชาย เขาเลยดื่มหนักมาก”

 

ไม่นาน หวังเย้าก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน เขาไม่ต้องการพูดเรื่องประเภทนี้เท่าไหร่ เพราะมีแต่จะทำให้เขาและพ่อแม่ต้องรู้สึกแย่ไปด้วยก็เท่านั้น และสิ่งที่เขาพอจะช่วยชายชราได้ก็มีจำกัด

 

“อ้อ เมื่อเช้าพี่สาวของลูกโทรมา บอกว่าเธอกับตู้หมิงหยางกำลังจะหมั้นกัน เราคงต้องหาเวลาไปคุยกับที่บ้านของตู้หมิงหยางดู” จางซิวหยิงพูด

 

“ครับ” หวังเย้าพูด

 

“หมิงหยางเป็นคนดีทีเดียว” จางซิวหยิงพูด

 

“ผมเห็นด้วยครับ” หวังเย้าพูด

 

เขาคอยจับตามองตู้หมิงหยางมาได้พักหนึ่งแล้ว และเขาคิดว่า ตู้หมิงหยางเป็นคนดีคนหนึ่ง ที่พยายามทำทุกอย่างให้พี่สาวของเขาพอใจ หลังจากที่แต่งงานไป พี่สาวของเขาก็คงจะมีชีวิตที่มีความสุข เพราะได้รับการดูแลจากตู้หมิงอยางเป็นอย่างดี

 

หวังเย้าใช้วิธีการวินิจฉัยทั้งสี่ในการดูลักษณะนิสัยของคนได้ด้วย เขาสามารถบอกได้ว่าคนไหนที่ป่วย หรือเป็นคนดีได้ด้วยการวินิจฉัยทั้งสี่

 

“สรุปว่า เราทุกคนเห็นด้วยกับการแต่งงานนะจ๊ะ” จางซิวหยิงถาม