ตอนที่ 535

Elixir Supplier

535 รีบร้อน

 

เรื่องงานแต่งของพี่สาวเป็นอันว่าได้ข้อสรุปเรียบร้อย

 

หลังจบมื้อกลางวัน หวังเย้าโทรหาหวังรุ่ยเพื่อถามความคิดเห็นของเธอ

 

“ฉันดีใจมาก” หวังรุ่ยพูด

 

จากการที่ได้คบกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เธอรู้สึกได้ว่า ตู้หมิงหยางนั้นดีกับเธอมาก เขาพยายามทำให้เธอมีความสุข พวกเขาเข้ากันได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างดีไปหมด ในความเป็นจริงนั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการให้คนรักของพวกเธอเป็นเจ้าชายผู้ร่ำรวยเปี่ยมเสน่ห์, มีพรสวรรค์, และหน้าตาดี ทำไมจะต้องมีข้อเรียกร้องมากมายขนาดนั้นด้วยกัน?

 

“แล้วนายล่ะ นายกับถงเวยมีเรื่องอะไรกันรึเปล่า?” หวังรุ่ยถาม

 

“ก็มีปัญหากันอยู่น่ะ” หวังเย้าไม่ได้พูดเรื่องนี้กับพ่อแม่ของเขา แต่เขาก็รู้ว่าพ่อแม่ของเขาน่าจะสังเกตุเห็นความผิดปกติได้ เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น

 

“มีปัญหาอะไรกันเหรอ?” หวังรุ่ยถาม

 

“มันพูดยากน่ะ” หวังเย้าบอกเกี่ยวกับสถานการณ์ให้พี่สาวของเขาฟังอย่างคร่าวๆ

 

“อืม?” หลังจากที่ได้ฟัง หวังรุ่ยก็ขมวดคิ้ว เดิมทีเธอคิดว่า ปัญหานั้นเกิดจากตัวน้องชายของเธอเอง เธอไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นปัญหาที่ถงเวยแทน นี่ถือเป็นสัญญาณของการเลิกรา “ฉันก็เคยบอกนายไปแล้ว ว่าให้ทำข้าวสารเป็นข้าวสุกซะให้สิ้นเรื่อง ตอนนี้เป็นไงล่ะ นายก็เลยต้องมาเสียใจเพราะไม่เชื่อคำที่ฉันพูด”

 

หวังเย้าอึ้งไป พี่สาวของเขาเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น ถึงจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้แค่นิดเดียวเท่านั้น

 

“อย่าเสียใจไปเลย เดี๋ยวนายก็หาที่ดีกว่านี้ได้ โดยเฉพาะตอนนี้ ที่นายมีแต่ข้อดีเต็มไปหมด” หวังรุ่ยพูด “พรุ่งนี้ ฉันจะบอกให้หมิงหยางแนะนำคนดีดีให้นายสักคนก็แล้วกันนะ”

 

“พี่ พี่กำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผมหรอก ผมไม่รีบ” หวังเย้าพูด

 

“นายไม่รีบ แต่พ่อแม่ของเราเขาร้อนใจนะ พวกเขาอยากจะอุ้มหลานกันแล้ว” หวังรุ่ยพูด

 

“ทำไมต้องมาพูดเรื่องนี้กันด้วย?” หวังเย้าถาม “เรากำลังพูดเรื่องของพี่กันอยู่นะ”

 

“นี่ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ” หวังรุ่ยพูด

 

หลังจากที่วางสายแล้ว หวังเย้าก็บอกกับพ่อแม่ว่าเขาจะไปที่คลินิก เวลาบ่าย 3 โมง มีรถหลายคันขับเข้ามาในหมู่บ้าน

 

“หืม นั่นมันซุนหยุนเชิงใช่รึเปล่า?” ชาวบ้านคนหนึ่งพูด

 

“ใช่เขานั่นแหละ” ชาวบ้านอีกคนพูด

 

ซุนหยุนเชิงเดินทางมาที่หมู่บ้านพร้อมกับหลินซือเทา, อาหาว, และอีกหลายๆคน

 

หลังจากที่ขนของลงจากรถแล้ว พวกเขาก็เดินเข้าไปในบ้านพัก ซุนหยุนเชิงเป็นคนเดียวที่เดินแยกไปยังคลินิกของหวังเย้า

 

“หมอหวัง สวัสดีปีใหม่ครับ” เขาพูด

 

“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ” หวังเย้าลุกขึ้นยืนและชงชาให้กับเขา “มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?”

 

“เพิ่งมาถึงนี่เองครับ” ซุนหยุนเชิงรับถ้วยชามาและส่งยิ้มให้

 

“แล้วคราวนี้ จะอยู่กี่วันเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“อืม ที่คิดไว้ก็น่าจะประมาณเดือนหนึ่งครับ หลักๆแล้วก็เพราะต้องการให้ลุงหลินกับพี่หาวได้อยู่รักษาตัวที่นี่ เราคงต้องรบกวนคุณหมออีกแล้วนะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด เป้าหมายในการมาครั้งนี้ของเขาก็เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหวังเย้า และช่วยให้ลุงหลินและพี่หาวหายดี

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ” หวังเย้ารู้ว่าอาการของคนเหล่านั้นไม่ได้หนักมากนัก พวกเขาแค่ต้องการเวลาเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาแต่อย่างใด

 

“คืนนี้ มีแผนจะทำอะไรไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม

 

“ไม่มี ตอนนี้ยังไม่มีแผนอะไรเลย” หวังเย้าตอบ

 

“ผมอยากจะเลี้ยงข้าวคุณที่บ้านสักมื้อน่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด

 

“ได้สิ” หวังเย้าพูด

 

หลังจากที่คุยกันได้สักพัก ซุนหยุนเชิงก็กลับไปที่บ้านเพื่อเตรียมอาหาร

 

ในช่วงบ่าย ไม่มีคนไข้มาที่คลินิกเลย มันไม่มีคนไข้มารักษาเป็นเวลาหลายสิบวันแล้ว หวังเย้าไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรเลย เขากลับดีใจเสียด้วยซ้ำ

 

“แม่ครับ คืนนี้ผมไม่กลับไปกินข้าวที่บ้านนะครับ” เมื่อกลับไปถึงที่บ้านแล้ว หวังเย้าก็บอกกับแม่ของเขา

 

“ลูกจะไปไหนเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม

 

“ซุนหยุนเชิงมาน่ะครับ เขาเลยมาเชิญผมไปกินข้าวเย็นที่บ้านของเขา” หวังเย้าพูด

 

“อ้อ แม่ได้ยินมาว่า อพาร์ทเมนต์ที่ครอบครัวของเขาลงทุนไปเริ่มสร้างวันที่หกนี้แล้ว การก่อสร้างไปเร็วมาก ชาวบ้านก็พากันกังวลใหญ่เลยล่ะ พวกเขาเอาแต่ถามว่าเขาจะเริ่มให้จองได้เมื่อไหร่” จางซิวหยิงพูด

 

“มีคนมาถามแม่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ใช่จ๊ะ แม่เลยอยากให้ลูกไปถามเขาให้หน่อยน่ะ” จางซิวหยิงพูด ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน เธอจึงไม่กล้าปฏิเสธคำขอเหล่านี้

 

“ได้ครับ ผมจะถามให้” หวังเย้าพูด

 

เมื่อท้องฟ้าหม่นแสง ซุนหยุนเชิงก็ได้เตรียมอาหารน่าตาน่าทานและน่าอร่อยเอาไว้จนเต็มโต๊ะ หวังเย้าก็ไม่ได้มามือเปล่า เขาเอาไวน์และชามาด้วย

 

หวังเย้ายิ้ม

 

“หมอหวัง สวัสดีปีใหม่ครับ” หลินซือเทาพูด

 

“สวัสดีปีใหม่ครับ ลุงหลิน อาหาว” หวังเย้าตอบ

 

ทั้งสองอยู่ในสภาพที่ไม่เลวนัก

 

“นี่เป็นอาหารฮวายหยางครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “คุณชอบไหม?”

 

“มันอร่อยมาก” หวังเย้าพูด

 

ในระหว่างมื้ออาหาร หวังเย้ายังไม่ได้เอ่ยปากถามเรื่องตึกที่กำลังสร้างอยู่ แต่กลับเป็นซุนหยุนเชิงที่ชิงพูดขึ้นมาก่อน

 

“มี 70 กว่าหลังเลยเหรอครับ?” เมื่อได้ยินว่า มีชาวบ้านหลายคน โดยเฉพาะบ้านที่อยู่กันหลายครอบครัวในหลังเดียวคิดที่จะใช้บ้านของพวกเขาแลกซื้ออพาร์ทเมนต์ มันก็ทำให้หวังเย้าต้องตกใจ มันจะทำให้คนในหมู่บ้านลดลงไปเป็นจำนวนมาก มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้

 

“นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นนะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “ผมคาดการณ์เอาไว้ว่า อาจจะมีมาเพิ่มอีก”

 

ในตอนเริ่มต้น ชาวบ้านหลายๆคนเลือกที่จะรอและดูท่าทีเพราะกลัวว่าจะถูกหลอก เมื่อการก่อสร้างเริ่มต้นขึ้น ก็มีชาวบ้านหลายคนมองเห็นเรื่องนี้ และเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา พวกเขาต้องการใช้บ้านของตัวเองแลกซื้ออพาร์ทเมนต์ในตึก บางคนถึงขนาดใช้บ้านสองหลังแลกคนหนุ่มสาวสมัยนี้ มีน้อยคนที่คิดจะกลับมาทำไร่ทำนาที่บ้าน พวกเขาจึงพากันกลัวว่ามันจะสายเกินไป เพราะถ้าหากไม่เหลือห้องให้ซื้อแล้ว มันก็สายเกินกว่าที่จะมาเสียใจทีหลัง

 

หวังเย้ายกไวน์ขึ้นมาจิบ เขาพูดกับคนทั้งสามเพียงแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น และเขาก็ได้รู้ว่า ซุนหยุนเชิงเริ่มเข้าไปทำงานในธุรกิจของครอบครัวแล้ว ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นคนเก่ง แต่ธุรกิจก็ต้องการคนสานต่อ

 

“ในอนาคต คงจะไม่มีเวลาว่างอีกแล้ว!” ซุนหยุนเชิงพูด

 

“โอ้ ตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาที่มีให้คุ้มที่สุดนะ” หวังเย้าพูด “ไม่มีใครสามารถทำนายได้ว่า ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

 

“ใช่ คุณพูดถูก” ซุนหยุนเชิงพูด

 

มื้ออาหารจบลงตอนสามทุ่ม หวังเย้ากลับไปที่บ้านและพูดกับแม่ของเขา

 

“มี 70 กว่ากลังเลยเหรอ?” เธอรู้สึกตกใจ

 

“ครับ หมู่บ้านของเรามีกันอยู่กี่หลังเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“277 หลัง” หวังเฟิงฮวาพูด เขาตอบออกมาอย่างชัดเจน และก้มหน้าสูบบุหรี่

 

“ไม่ใช่ว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมดเลยเหรอครับเนี่ย?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ

 

“แม่บอกได้เลยว่า หมู่บ้านของเราคงจะว่างไปเกือบครึ่งเลยล่ะ” จางซิวหยิงพูด

 

ยิ่งมีชาวบ้านอยู่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเจริญเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมันสามารถดึงดูดคนได้มากขึ้น และมีชีวิตชีวาก็มากขึ้นตามไปด้วย มันเป็นวงจรที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน เหมือนอย่างคนที่ไปอาศัยรวมกันอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เมื่อมีคนอาศัยอยู่ในพื้นที่น้อยลง ความมีชีวิตชีวาก็ลดลงไป มันก็เหมือนกับหมู่บ้านที่หวังเย้าหวังเย้าเคยเห็นในเขตชนบท ที่มีคนอาศัยอยู่แค่ 50 กว่าหลังคาเท่านั้น และหมู่บ้านแห่งนั้นก็มีโอกาสที่จะหายไปภายในเวลาไม่เกิน 30 ปี เพราะชีวิตในเมืองใหญ่เป็นที่นิยมของผู้คนมากกว่า

 

“ถ้าเป็นแบบนี้ ในหมู่บ้านของเราก็คงจะเหลือกันอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น!” จางซิวหยิงถอนหายใจ “เราซื้อไว้สักห้องบ้างดีไหม?”

 

“ซื้อทำไมล่ะ?” หวังเฟิงฮวาถาม “อยู่ที่หมู่บ้านนี้ก็ดีอยู่แล้ว

 

“แม่อยากจะเข้าไปอยู่ในเมืองเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เปล่าหรอกจ๊ะ ก็แค่เห็นว่ามีคนซื้อบ้านในเมืองกันเยอะ แม่ก็เลยอยากจะทำตามเขาบ้าง” จางซิวหยิงยิ้ม

 

“ผมมีอพาร์ทเมนต์ในเมืองอยู่ห้องหนึ่งแล้ว เราไม่จำเป็นต้องซื้อเพิ่มอีกหรอกครับ” หวังเย้าพูด ถึงเขาจะมีมันอยู่ เขาก็อาจจะไม่ได้ไปอาศัยอยู่ที่นั่นเลยด้วยซ้ำ

 

เวลาสี่ทุ่ม หวังเย้าออกจากบ้านและเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน

 

 

“เฉินเหล่า อาการพ่อของผมเป็นยังไงบ้าง?” หวูถงชิ่งถาม

 

“อาการของเขายังคงที่อยู่” เฉินเหล่าพูด “แต่เธอก็ควรจะขอให้เขารีบมาที่ปักกิ่ง เพื่อให้การรักษาอีกครั้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

 

“ครับ ผมรู้แล้ว” หวูถงชิ่งพูด

 

เขาเพิ่งจะกลับมาจากเหลียนชานเมื่อไม่นานมานี้ ตารางทำงานของเขาในตอนนี้แน่นเอี๊ยด แต่เขาก็ยังมีแผนที่จะหาเวลาเดินทางไปเหลียนชาน เพื่อไปพาตัวหมอหวังมา

 

เฉินเหล่ากดรับสายที่โทรเข้ามา

 

“แกอยู่ไหน?” หมอหลี่ถาม

 

“ฉันเพิ่งจะออกมาจากบ้านตระกูลหวูน่ะ” เฉินเหล่าพูด “มีอะไรเหรอ?”

 

“มาที่บ้านของฉันสิ ฉันมีชาอู่หลงอย่างดีที่บ้าน” หมอหลี่พูด

 

“มันสายเกินกว่าที่จะดื่มชาแล้ว และมันก็ได้เวลาเข้านอนแล้วด้วย มีอะไรก็รีบๆพูดมาซะ” เฉินเหล่าพูด

 

“ก็เรื่องยาน่ะสิ” หมอหลี่พูด

 

“ผลวิเคราะห์ออกแล้วเหรอ?” เฉินเหล่าถาม

 

“มันเป็นอย่างที่แกบอกจริงๆด้วย” หมอหลี่พูด

 

“ฉันก็บอกแล้ว แต่แกก็ยังไม่ยอมเชื่อ” เฉินเหล่าพูดด้วยรอยยิ้ม

 

หมอหลี่แบ่งเอายาของหวูถงชิ่งที่ได้มาจากหวังเย้าไปเล็กน้อย เขาพยายามที่จะวิเคราะห์หาส่วนประกอบของมัน และมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะล้มเหลว เพราะเขาไม่รู้จักสมุนไพรบางตัวที่อยู่ในนั้น แล้วเขาจะวิเคราะห์มันออกมาได้ยังไงกันล่ะ?