บนดาดฟ้าของตึกสูงหลังหนึ่ง

“คาถาอัสนีฟาดเปรี้ยง!”

สวีเสี่ยวหลานตะโกน

ภายในพยับเมฆ สายฟ้าวาดลำแสงเจิดจ้าเป็นทางยาวกลางท้องนภา

เถียนหลิงหลิงตกใจจนหน้าถอดสี “นี่…เกินไปแล้วมั้ง จะทำแบบนี้จริงๆ เหรอ”

“ไม่มีทางเลือกแล้ว คนเยอะขนาดนี้ เวลาก็กระชั้นชิด จำต้องใช้วิธีนี้หาซูเฉี่ยนอวิ๋นกลับมา หวังว่านางจะสังเกตเห็นสายฟ้าที่ประหลาดนี่นะ” อันหลินถอนหายใจเบาๆ พูดอย่างเหนื่อยใจ

“ข้าขอช่วยด้วย โฮ่ง!” ต้าไป๋ขยับอุ้งมืออย่างระริกระรี้

ทันใดนั้นลมก็พัดกระโชกไปทั่ว

ลมคลั่งที่ม้วนตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอานักท่องเที่ยวบนพสุธาตกใจจนกรีดร้องกันระนาว

“รีบวิ่งเร็ว! ฟ้าผ่า ลมพัด ฝนจะตกแล้ว!”

“ทำไมอากาศถึงได้เปลี่ยนปุ๊บปั๊บแบบนี้ล่ะ ทำกันเกินไปแล้ว!”

“โธ่ รีบหาที่หลบเร็ว…”

ผู้คนบนท้องถนนหนีกันจ้าละหวั่น แต่ก็มีคนที่ใจกล้ายกมือถือขึ้นถ่ายท้องฟ้าเช่นกัน

ครืน…

สายฟ้าบนนภายังคงลุกลาม หนาแน่นอย่างยิ่ง ดุจกระบี่เทวะที่ทะลวงเมฆดำ ชวนให้พรั่นพรึงใจ

“โอ้โฮ ภาพนี้อลังการจังเลย สหายคนไหนข้ามหายนะกัน”

“ยอดฝีมือสักคนกำลังจะบรรลุแน่ๆ!”

บางคนถ่ายรูป บางคนก็อัดวิดีโอ ต่างก็อุทานกันไม่หยุด

ณ ดาดฟ้าของตึกสูงหลังหนึ่ง

“ฟู่…ข้าไม่ไหวแล้ว หมดแรงแล้วจริงๆ” หน้าผากขาวผ่องของสวีเสี่ยวหลานมีเม็ดเหงื่อซึม ปล่อยพลังสายฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้นางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

“อดทนอีกหน่อย เราจะทำการใหญ่!”

ปลายนิ้วอันหลินมีกระแสไฟกะพริบวิบวับ คลื่นมหัศจรรย์กำลังแผ่กระจายสู่เวหา

สวีเสี่ยวหลานพยักหน้า ใบหน้าพริ้มเพราฉายความเด็ดเดี่ยว

พลังมังกรภายในร่างกายของนางปะทุ พุ่งสู่ฟากฟ้าทันที

มังกรทลายอัสนี!

วิชาเสริมอัสนี!

สายฟ้าเส้นหนาอย่างยิ่งก่อตัวกลางนภาทันใด แบ่งชั้นเมฆดำทะมึนบนท้องฟ้าเป็นสองซีก ส่องฟ้าดินให้สว่างไสว

ผู้คนที่ยังจ้องมองกระแสไฟบนท้องฟ้า รู้สึกเหมือนตาบอดไปแล้ว

จากนั้นเสียง ‘เปรี้ยง’ ก็ดังสะเทือนเลือนลั่นดุจมังกรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าคำราม กึกก้องสิบลี้!

กระจกในบริเวณใกล้เคียงถูกเสียงนี้สะเทือนจนแตกละเอียด

ผู้คนที่ยังจ้องมองกระแสไฟบนท้องฟ้า รู้สึกเหมือนหูดับไปแล้ว

“กริ๊ด!” มีคนตกใจจนกรีดร้อง

บางคนตกใจจนมือถือที่กำลังอัดวิดีโอตกลงพื้นดัง ‘ตุบ’

“พระเจ้า! นี่มันสายฟ้าอะไรกันแน่”

“คุณพระ น่ากลัวจังเลย!”

“โตจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นสายฟ้าที่ตะลึงโลกขนาดนี้มาก่อน!”

“เหตุการณ์เหนือธรรมชาติ นี่ต้องเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติแน่นอน!”

อดพูดไม่ได้ว่า ฝูงชนในละแวกย่านการค้าต่างก็ขวัญกระเจิงกับกระแสไฟที่น่ากลัวนี้ ตอนแรกถนนคนเดินยังมีคนที่พอจะใจกล้าอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ก็พากันหลบเข้าร้านรวงกันระนาว ด้วยเกรงว่าจะถูกสายฟ้าที่น่ากลัวฟาดเอา

แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาแปลกใจก็คือ หลังกระแสไฟที่น่ากลัวเส้นนั้นปรากฏให้เห็น ก็ดูเหมือนว่าสายฟ้าบนท้องนภาจะไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นแล้ว

บนดาดของฟ้าของตึกในเวลานี้ เถียนหลิงหลิงมองผู้คนที่หนีกระเจิดกระเจิงพลางพึมพำว่า “จบเห่แล้วๆ พวกนายทำแบบนี้ได้ยังไง…คราวนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว…”

สวีเสี่ยวหลานกับอันหลินกลับหายใจหอบ นั่งหันหลังพิงกัน ดูเหนื่อยมากอย่างเห็นได้ชัด

ต้าไป๋ยังคงสร้างความปั่นป่วน เรียกลมคลั่งสุดความสามารถ

“ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เราก็ทำเต็มที่แล้ว” อันหลินเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

“หวังว่าซูเฉี่ยนอวิ๋นจะเห็นนะ หากยังไม่ได้ผล…พวกเราค่อยทำต่อ!” สวีเสี่ยวหลานทำหน้ามุ่งมั่น

เถียนหลิงหลิงได้ฟังก็หน้ามืด เรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยังคิดจะทำต่ออีกเหรอ

ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนเรียกอันอ่อนหวานก็ดังมาไกลๆ

“สหายอันหลิน สหายสวีเสี่ยวหลาน! ในที่สุดข้าก็หาพวกเจ้าเจอ!”

ซูเฉี่ยนอวิ๋นที่สวมชุดกระโปรงสีน้ำเงินย่ำกงจักรแสงจันทร์ลอยมา ใบหน้าฉายความตื่นเต้นและละอายใจ

รอบตัวนางมีค่ายกลอำพรางปกคลุม สามารถหลบการตรวจตราของมนุษย์และอุปกรณ์ได้ แต่สำหรับอันหลินกับสวีเสี่ยวหลานที่มีพลังจิตนั้น สามารถมองทะลุได้ในปราดเดียว

เมื่อสวีเสี่ยวหลานเห็นฉากนี้ ก็ตื่นเต้นจนลุกพรวดขึ้นกอดซูเฉี่ยนอวิ๋นที่วิ่งปรี่เข้าใส่

“สวีเสี่ยวหลาน ข้าขอโทษ เป็นเพราะข้าหายไปจากที่เดิมตามอำเภอใจ ทำให้เจ้าต้องเป็นห่วง…”

“จะโทษเจ้าได้อย่างไร เป็นความผิดของข้า ข้าต่างหากที่ละเลยเจ้า!”

สวีเสี่ยวหลานกับซูเฉี่ยนอวิ๋นกอดกันกลม ประหนึ่งพี่น้องที่พลัดพรากจากกันหลายปี

อันหลินก็อยากจะเข้าไปกอดเหลือเกิน แต่ดูเหมือนจะแทรกตัวเข้าไปไม่ได้ ทำได้แค่ยืนฟึดฟัดอยู่ข้างๆ

พอต้าไป๋เห็นซูเฉี่ยนอวิ๋นมาแล้วก็หยุดสำแดงเดช

เถียนหลิงหลิงก็โล่งใจ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์บานปลาย จึงเอ่ยปากห้ามปรามว่า “ในเมื่อหาเจอแล้ว ก็ทำให้เมฆดำบนท้องฟ้าหายไปเถอะ”

“เมฆดำหายไปเหรอ เธอโง่หรือไง” อันหลินมองเถียนหลิงหลิงอย่างดูแคลน

เถียนหลิงหลิงอ้าปากหวอ “ฮะ”

“เมื่อกี้ทั้งฟ้าผ่า ไหนจะลมพัดอีก จู่ๆ จะให้เมฆดำหายไปตอนนี้ เธอว่าคนอื่นจะคิดยังไง มันไม่สมจริงเลยไหมเล่า!” อันหลินพูดอย่างจริงจัง

“งั้นนายหมายความว่า…” ดวงตาสุกใสของเถียนหลิงหลิงเบิกกว้าง ในใจพลันมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา

“แน่นอนว่าให้ท้องฟ้าปล่อยฝนน่ะสิ!” อันหลินพูดอย่างเคร่งขรึม

สวีเสี่ยวหลานกับซูเฉี่ยนอวิ๋นก็เห็นด้วยกับความคิดของอันหลินเช่นกัน มองเขาด้วยแววตาชื่นชม

ทั้งสามจึงใช้ประโยชน์จากพยับเมฆบนท้องฟ้า เสกคาถาพิรุณกระหน่ำ

ซ่า…

สายฝนเทกระหน่ำแล้ว…

เถียนหลิงหลิงรู้สึกอึดอัดในใจ ทำตามวิทยาศาสตร์เหรอ

ฟังแล้วเหมือนจะมีเหตุผลมาก แต่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างทะแม่งๆ อยู่ดี

ผลัก!

หญิงผมยาวรูปร่างสะโอดสะโอง สวมชุดสีดำรัดกุม เตะประตูดาดฟ้าออก พุ่งเข้ามาหาพวกอันหลินพร้อมกับนักพรตหลายคน

“ฉันหวงซานซาน หัวหน้าทีมทีมสองแห่งหน่วยรบพิเศษ ด้วยเหตุอันใดพวกคุณถึงได้…” หญิงผมยาวพูดได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดกลางคัน จ้องทุกคนอึ้งๆ

พวกอันหลินก็มองหญิงที่คุ้นเคยตรงหน้าด้วยความตกใจเช่นกัน

“แหะ…บังเอิญจังเลย…” อันหลินทักทายอย่างกระอักกระอ่วน

“ทำไมเป็นพวกเธออีกแล้ว!” หวงซานซานถลึงดวงตาอัลมอนด์ เกิดความรู้สึกอยากจะซัดคนขึ้นมาชั่ววูบ

เถียนหลิงหลิงกะพริบตาปริบๆ “พี่ซานซาน ทำไมถึงบอกว่า ‘พวกเธออีกแล้ว’ ล่ะ”

“ครั้งก่อนตอนอยู่เมืองหรง พวกเขาปล่อยพลังเผาท้องฟ้าทั้งผืน” หวงซานซานพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“คุณพระ! ถึงว่าพวกเขาคล่องแคล่วขนาดนี้ ถึงว่าพวกเขาก่อเรื่องแล้วไม่รู้สึกผิดเลย ที่แท้ก็มีประวัติมาก่อนนี่เอง!” เถียนหลิงหลิงตกตะลึง

สวีเสี่ยวหลาน “…”

อันหลินเกาหัวแก้เก้อ “คือว่า…กรณีพิเศษวิธีการพิเศษ เธอฟังฉันอธิบายก่อน…”

เม็ดฝนค่อยๆ ซา เมฆดำสลายไป แสงแดดเจิดจ้าสาดส่องพสุธาอีกครั้ง

ผู้คนที่พ้นผ่านสายฟ้าคำราม มรสุมลมฝนชะล้างปรากฏบนท้องถนนอีกครั้ง

พวกเขายังคงพูดคุยถึงฟ้าฝนที่น่ากลัวครั้งนี้ บ้างก็โพสต์ในแวดวงเพื่อน บ้างก็โพสต์ลงเวยป๋อ

สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตอะไร โพสต์แวดวงเพื่อนกับเวยป๋อเพียงวิธีปลดปล่อยอารมณ์และความปรารถนาจะโอ้อวดอะไรบางอย่างเท่านั้น

ส่วนคนอีกส่วนที่ตื่นตกใจ อย่างมากก็แค่ก่นด่า ไม่นานก็ลืมเลือนไป

บนโลกใบนี้มีเรื่องเหนือธรรมชาติถมถืด เรื่องนี้นับไม่ได้ด้วยซ้ำ เหตุการณ์ใดก็ตามที่น่าเหลือเชื่อ หากวิเคราะห์ลึกๆ ก็ใช้วิทยาศาสตร์มาอธิบายได้เหมือนกัน

หากว่าอธิบายไม่ได้จริงๆ ก็พูดว่าเป็นการฉายโฆษณาของเกมก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

สวีเสี่ยวหลาน ซูเฉี่ยนอวิ๋น อันหลิน และสุนัขตัวนั้นต่างก็ขอโทษด้วยความจริงใจ และยอมจ่ายหินวิญญาณเป็นค่าชดใช้

หวงซานซานถอนหายใจเมื่อได้ฟังคำอธิบายจากอันหลินแล้ว ไม่รับหินวิญญาณ เห็นแก่ที่เหตุการณ์ไม่ส่งผลกระทบมากนัก เพียงแค่ตักเตือนทุกคน ไม่ถือสาเอาความอะไรอีก

อันหลินหยิบยาสีเขียวเม็ดหนึ่งออกจากแหวนมิติ ยื่นให้หวงซานซาน

“นายทำอะไรน่ะ ฉันไม่รับสินบน!” หวงซานซานมองอันหลินตาขวาง

“โธ่ ได้พบกันอีกครั้ง ย่อมต้องมีของขวัญให้เพื่อนเก่าสิ เธอว่าใช่หรือเปล่า นี่เป็นยาชิงเสิ่นคงความอ่อนเยาว์ มีสรรพคุณช่วยให้ขาวกระจ่างใสและคืนความเปล่งปลั่งให้ผิว…” อันหลินยัดยาใส่มือหวงซานซาน

ร่างกายหวงซานซานปฏิเสธ แต่ในใจกลับรับไว้ด้วยใจจริงแล้ว สุดท้ายก็รับยาเม็ดนี้ไว้ด้วยท่าทีที่แสร้งไม่เต็มใจ

“เหอะ มาโลกมนุษย์แล้วไม่บอกข้าสักคำ ก่อเรื่องแล้วกลับให้ฉันมาตามเช็ด นายยังพูดมาได้ว่าเราเป็นเพื่อนเก่า” หวงซานซานเบะปากบ่นอุบ แต่สีหน้ากลับผ่อนคลายลงเยอะโข

“ฉันไปละ มีอะไรติดต่อกันทางมือถือ!”

หวงซานซานโบกมือส่งๆ เดินบิดเอวคอดกิ่วจากไป

“ซานซานเดินทางโดยสวัสดิภาพนะ” อันหลินโบกมือลาอย่างเป็นมิตร

นิสัยของหวงซานซานร้อนแรงมากขึ้นทุกวันแล้ว รูปร่างก็ด้วย

ต้าไป๋จึงตื่นเต้นเหมือนกระดี่ได้น้ำ

“พี่อันๆ นางก็เป็นเพื่อนที่เจ้ารู้จักหรือ แนะนำหน่อย! โฮ่ง!”

“ได้…ไปซื้อมือถือให้เจ้าก่อน นางไม่มียันต์ส่งสาร”

อันหลินพูดกับต้าไป๋เสร็จก็ชี้ไปที่ซูเฉี่ยนอวิ๋น พูดเสียงเข้มว่า

“เจ้าก็ด้วย!”

ซูเฉี่ยนอวิ๋นพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด นัยน์ตาดุจห้วงความฝันเคลือบน้ำบางๆ ชวนให้สงสารอาดูร

อันหลินตะลึงกับรูปโฉมงามสะคราญอีกแล้ว สูดหายใจเข้าดังเฮือก

“ยันต์ส่งสารของเจ้าก็ด้วย! เพิ่มข้า!”