ตอนที่ 300 ซูเฉี่ยนอวิ๋นหลงทาง

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

อันหลินสะดุ้งตกใจกับคำพูดของสวีเสี่ยวหลาน “เกิดอะไรขึ้น”

เสียงของสวีเสี่ยวหลานดังออกจากมือถืออีกครั้ง “ข้าทำซูเฉี่ยนอวิ๋นหาย!”

“อะไรนะ!” อันหลินเบิกตากว้าง “คนทั้งคนทำหายได้ด้วยหรือ”

สวีเสี่ยวหลานก็ร้อนใจมากเช่นกัน “ตอนนั้นพวกเรากำลังช้อปปิ้งในย่านการค้า ตอนหลังข้าเห็นที่หนึ่งมีของอร่อย เลยอยากไปซื้อสักสองชุดมากิน ไม่คิดว่าพอซื้อเสร็จหันกลับมาซูเฉี่ยนอวิ๋นก็หายไปแล้ว”

อันหลินฟังอย่างอึ้งๆ

บทละครที่น้ำเน่าขนาดนี้มันเรื่องอะไรกัน

คนทั้งคนแบบนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะหายไปนี่นา ไม่ใช่เด็กเสียหน่อย…

สวีเสี่ยวหลานพูดต่อว่า “นางไม่มีมือถือด้วย จะทำอย่างไรดี”

“ส่งพิกัดมาให้ข้า! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” อันหลินรู้ว่ารอไม่ได้แล้ว จึงลุกพรวดพราดขึ้น

พิกัดของสวีเสี่ยวหลานถูกส่งมาในมือถือ

บังเอิญเลย อยู่ในย่านการค้าแห่งหนึ่งของเมืองหลวง อยู่ไม่ไกลจากเขามาก

ท่าทางพวกเธอดูจะสนใจเมืองหลวงของประเทศจีนมากเป็นพิเศษ ถึงได้วางที่นี่เป็นสถานีแรก

อันหลินไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกต้าไป๋กับเถียนหลิงหลิงแล้วเหาะไปยังจุดหมายทันที

ซูเฉี่ยนอวิ๋นกำลังเดินอยู่บนถนนอย่างไร้จุดหมาย แววตามีความกังวล

นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้า รูปโฉมงามสะคราญ เยื้องย่างตามท้องถนนมีอัตราเหลียวมองสูงมาก แต่นางไม่มีความเย่อหยิ่งเลยสักนิด กลับกันนางลนลานอย่างมาก เพราะนางพบว่าตนหาสวีเสี่ยวหลานไม่เจอ นางหลงทางแล้ว!

มองฝูงชนที่ขวักไขว่คับคั่ง ซูเฉี่ยนอวิ๋นงงไปหมดแล้ว

จบเห่แล้ว แถวนี้มีคนมากมายปานนี้ จะหาสวีเสี่ยวหลานเจอได้อย่างไร…

รู้แต่แรกแลกยันต์ส่งสารไว้ก็ดี เมื่อก่อนพวกนางพบเจอกันบ่อยครั้ง จึงไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านั้น ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในเวลานี้

เฮ้อ ถ้าไม่เข้าไปพยุงแม่นางที่ขายดอกไม้คนนั้นคงจะดี

ไม่สิ แม่นางขายดอกไม้ถูกชนจนล้มจะไม่พยุงได้อย่างไร

ควรจะเป็นตำแหน่งของตัวเองให้แม่นยำก่อนไปคงจะดี

แววตาของซูเฉี่ยนอวิ๋นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเสียใจ ความสามารถในการแยกทิศทางของนางแย่มาก ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่มีความสามารถในการแยกทิศทางเลยต่างหาก เส้นทางที่เคยผ่านแค่หนเดียวก็แทบจะลืมเลือนแล้ว

ก่อนหน้านี้นางตามหลังสวีเสี่ยวหลานติดๆ เพราะกลัวตัวเองจะพลัดหลง

แต่เรื่องที่หวาดกลัวที่สุดก็เกิดขึ้นอยู่ดี นางพลัดหลงแล้วจริงๆ

จากนั้น นางก็เลือกเดินไปทางหนึ่งตามสัญชาตญาณ นางคิดว่าสวีเสี่ยวหลานอยู่ทางนั้น

ต่อมา…อืม หาไม่เจอ หลงทางอย่างสมบูรณ์

“ข้าจะทำอย่างไรดี” ซูเฉี่ยนอวิ๋นพึมพำ

ไม่มีมือถือให้ใช้ ไม่มีเงินติดตัว ใช้ภาษาสื่อสารก็ไม่ได้

นางหลงทางท่ามกลางผู้คน รู้สึกสิ้นหวังเป็นครั้งแรก

“อ้อ จริงสิ ในตำราเคยบอกไว้ว่าหาตำรวจเมื่อทุกข์ยาก!” ซูเฉี่ยนอวิ๋นตาวาว เจอทางออกแล้ว

นางกวาดตามองรอบตัว สุดท้ายก็หยุดสายตาไว้ที่ร้านชานม บนตัวคุณน้าที่ดูใจดีคนหนึ่ง

“สะ…สวัสดี…” ซูเฉี่ยนอวิ๋นพูดด้วยภาษาจีนที่ติดๆ ขัดๆ

คุณน้าเห็นผู้มาเยือนเป็นหญิงสาวที่สะสวยจนแม้แต่หญิงวัยกลางคนอย่างเธอก็ใจสั่นหวั่นไว ก็เป็นมิตรมากขึ้นนิดหน่อย พูดอย่างยิ้มแย้มว่า “แม่หนู ดื่มอะไรดีจ๊ะ”

ซูเฉี่ยนอวิ๋นนิ่งไปเล็กน้อย คุณน้าพูดเร็วปานนี้ นางไม่เข้าใจเลยว่าประโยคนั้นหมายความว่าอะไร

อืม เป็นไปได้สูงว่าพูดช้าก็ฟังไม่ออกเหมือนกัน

“ตำรวจ อยู่ที่ไหน” นางครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็นึกวลีนี้ออก

“ฮะ” คุณน้าค่อนข้างงง แม่หนูคนนี้มาหาตำรวจที่ร้านชานมงั้นเหรอ

“ฉันหาตำรวจ อยู่ที่ไหน” ซูเฉี่ยนอวิ๋นอึดอัดจนใบหน้าเริ่มขึ้นสีระเรื่อ แลดูน่าทะนุถนอมเป็นพิเศษ

มุมปากคุณน้ากระตุกยิกๆ แต่ก็มีน้ำอดน้ำทนอธิบายว่า “แม่หนู หาตำรวจต้องไปที่สถานีตำรวจ สถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดก็ไกลจากที่นี่นิดหน่อย เหมือนจะอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทางราวๆ หกร้อยเมตร บอกทางคงไม่ได้ หนูใช้แผนที่นำทางเชียนตู้ในมือถือค้นหาสถานีตำรวจใกล้ฉันก็สิ้นเรื่อง ไม่อย่างนั้นก็ใช้ ‘ปังปังโดยสาร’ ไปสิ”

ซูเฉี่ยนอวิ่นกะพริบดวงตาสีน้ำเงินดุจห้วงความฝัน ทำหน้างุนงง “ฮะ”

นางฟังไม่ออกเลยสักคำ

อ้อ ไม่สิ ฟังคำว่า ‘ตำรวจ’ ออก

คุณน้าก็งงแล้วว่าแม่หนูคนนี้เป็นอะไร ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ

ไม่นานเธอก็รู้สึกตัว มองจากภาษาและกิริยาท่าทางแล้ว อาจจะไม่เข้าใจภาษาจีนจริงๆ ก็ได้!

หรือจะเป็นชาวต่างชาติ

พบเจอชาวต่างชาติในเมืองหลวงเป็นเรื่องที่ปกติยิ่งแล้ว คุณน้ายิ้มบางๆ คิดในใจว่าแม่หนูคนนี้หาถูกคนแล้ว ภาษาอังกฤษของเธอใช้ได้ทีเดียว

ได้เวลาแสดงมาตรฐานของชาวจีน สร้างชื่อให้ประเทศแล้ว

คุณน้าใช้ภาษาอังกฤษอธิบายคำพูดก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้งด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม จากนั้นก็มองซูเฉี่ยนอวิ๋น ราวกับอยากเห็นสีหน้าตกใจและปลื้มใจจากนาง

ซูเฉี่ยนอวิ๋นยังคงทำหน้างงงวย “ฮะ”

คราวนี้นางฟังไม่ออกเลยสักคำจริงๆ

“ฉัน ตำรวจ อยู่ที่ไหน”

ซูเฉี่ยนอวิ๋นเอ่ยถามอีกครั้งอย่างอ้อนวอน

คุณน้า “…”

คุณน้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว แม้แต่ภาษาอังกฤษแม่หนูคนนี้ก็ไม่เข้าใจเหรอ เธอมาจากประเทศไหน ดูจากหน้าตาแล้วคนจีนชัดๆ! ระดับภาษาแบบนี้ไปสถานีตำรวจก็ไม่มีประโยชน์ ตำรวจก็งงเหมือนกัน!

แต่ไม่รู้เพราะอะไร คุณน้าเห็นผู้หญิงที่สะสวยอย่างซูเฉี่ยนอวิ๋นยืนอยู่ตรงหน้าอย่างโดดเดี่ยว จ้องตนด้วยสายตาเว้าวอน เธอก็อดสงสารไม่ได้

“เสี่ยวจาง ช่วยเฝ้าร้านแทนฉันก่อนนะ! ฉันขอไปจัดการธุระหน่อย!” สุดท้ายคุณน้าก็ตัดสินใจว่าจะนำทางไปเอง

เธอไม่รู้ทาง ฉันจะพาเธอไปเอง!

“ไป!” คุณน้ากวักมือเรียกซูเฉี่ยนอวิ๋น

ซูเฉี่ยนอวิ๋นพยักหน้าอย่างว่าง่าย เดินอยู่ข้างๆ คุณน้า เพื่อไม่ให้พลัดหลงอีก ครั้งนี้นางตามติดคุณน้าอย่างมาก

“เด็กคนนี้…” คุณน้าส่ายหน้าแค่นยิ้ม จ้องซูเฉี่ยนอวิ๋นไม่ให้คลาดสายตาเช่นกัน

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ปริมาณคนในย่านการค้าค่อนข้างเยอะ มองไปเห็นแต่ผู้คน

ซูเฉี่ยนอวิ๋นเพ่งมองผู้คนมากหน้าหลายตารอบข้างด้วยความฉงน ผู้คนที่สัญจรก็มองนางด้วยสายตาที่ตะลึงปนชื่นชม

ในตอนนั้นเอง นางก็เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งมีท่าทางพิลึก

มือของชายคนนั้นกำลังล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของชายอีกคนช้าๆ แล้วหยิบกระเป๋าสีดำออกมา

ซูเฉี่ยนอวิ๋นกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าภาพนี้ช่างคุ้นเคย

นางคิดว่าโจรล้วงกระเป๋าในแดนจิ่วโจวก็เหมือนจะมีท่าทางแบบนี้เหมือนกัน

อา มันช่างเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยเหลือเกิน

ดูแล้ววัฒนธรรมและฝีมือบางอย่างก็เหมือนกัน!

ซูเฉี่ยนอวิ๋นลอบถอนหายใจแล้วดีดนิ้ว กระแสพลังงานไร้รูปร่างก็ทะลุอากาศ โจมตีเข้าที่ข้อมือของโจรล้วงกระเป๋าคนนั้น

ปึก!

“โอ๊ย!”

โจรล้วงกระเป๋าร้องเสียงหลง กุมมือล้มลงกับพื้น กระเป๋าสีดำก็ร่วงหล่นลงพื้นด้วยเช่นกัน

คนบนถนนเยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เหตุการณ์นี้ถูกผู้คนกลุ่มใหญ่มุงดูในพริบตา ชายอีกคนก็หันหลังกลับมา

“ไอ้หนุ่ม นายเป็นอะไรไป”

“เอ๊ะ กระเป๋านี่คุ้นๆ นะ”

“เวรเอ๊ย! กระเป๋าข้างๆ มือนายมันของฉันไม่ใช่หรือไง!”

ชายคนที่ถูกล้วงกระเป๋าสะดุ้งโหยง เก็บกระเป๋าของตนขึ้นมาแล้วมองชายที่กุมมือเกลือกกลิ้งบนพื้นด้วยความงุนงง

จากนั้นเขาก็โทรหาตำรวจ

ทางด้านโจรล้วงกระเป๋านั้น ร้องโหยหวนราวกับเห็นผี

คุณน้าก็ถูกเหตุการณ์นี้ดึงดูดความสนใจเช่นกัน “จิ๊ๆ ๆ โจรขโมยกระเป๋าข้อมือพลิกงั้นเหรอ เลวทรามจริงๆ นี่คงจะเป็นเวรกรรมตามสนองละสิ”

ซูเฉี่ยนอวิ๋นเม้มปากยิ้ม แม้นางจะไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้กำลังพูดอะไร แต่คิดว่าโจรล้วงกระเป๋าคงอึ้งไปแล้วสินะ ใช้พลังที่ผู้อื่นไม่รู้ทำความดี รู้สึกดีทีเดียว

ช้าก่อน…ใช้พลังที่คนอื่นไม่รู้หรือ

ซูเฉี่ยนอวิ๋นหยุดฝีเท้า พลันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

ไม่รู้ว่าท้องนภาในบริเวณนี้เต็มไปด้วยพยับเมฆตั้งแต่เมื่อใด

“แม่หนู หยุดดูได้แล้ว ฝนจะตกแล้ว เรารีบไปสถานีตำรวจกันเถอะ” คุณน้าดึงซูเฉี่ยนอวิ๋น บ่นอุบว่า “พยากรณ์อากาศวิปริตชัดๆ ทั้งๆ ที่บอกว่าท้องฟ้าปลอดโปร่ง ตอนนี้กลับทำท่าว่าฝนจะตก”

ผู้คนบนท้องถนนก็พากันเร่งฝีเท้า บ่นอากาศกันพึม

ครืน!

จู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าคำรามดังขึ้นบนท้องฟ้า

“เอ๊ะ ฟ้าร้องซะด้วย!”

คุณน้ายิ่งต้องเร่งฝีเท้าแล้ว คาดไม่ถึงว่าซูเฉี่ยนอวิ๋นจะยืนนิ่งอยู่กับที่ จ้องบริเวณที่ฟ้าผ่า

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีสายฟ้าหลายเส้นแหวกชั้นเมฆอย่างน่าสะพรึง

ครืน!

เสียงฟ้าคำรามที่รุนแรงกว่าเมื่อครู่ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวปานเสียงคำรามของอสูรบรรพกาล ทำเอาสาวๆ ที่ขวัญอ่อนตกใจจนร้องกริ๊ด

“คุณพระ นี่มันฟ้าร้องอะไรกัน เกินไปหน่อยหรือเปล่า” คุณน้าก็ตกใจจนสะดุ้งโหยงเช่นกัน

แต่ร่างบางของซูเฉี่ยนอวิ๋นกลับสั่นเทา นางสัมผัสได้ถึงคลื่นของพลังปราณฟ้าดิน!

มีคนกำลังส่งสัญญาณในบริเวณนี้หรือ!

“ขอบคุณ!”

ซูเฉี่ยนอวิ๋นมองคุณน้าแล้วพูดด้วยความซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

“จู่ๆ แม่หนูมาพูดอะไรเอาตอนนี้” คุณน้าชะงักไปเล็กน้อย

ฝ่ามือขาวผุดผ่องของซูเฉี่ยนอวิ๋นลูบหลังคุณน้า กระแสอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งร่างกาย

คุณน้ารู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว ตกใจจนเบิกตากว้าง

ชั่วครู่ต่อมา ซูเฉี่ยนอวิ๋นก็หายไปจากตรงนี้แล้ว

สิบวินาทีต่อมา คุณน้าได้สติกลับมา หยิกหน้าตัวเองแล้วรู้สึกเจ็บ

เธอขยับร่างกายอย่างตกใจ พบว่าทั้งตัวเปี่ยมด้วยพละกำลัง แม้แต่อาการปวดข้อที่เป็นมานานหลายปีก็หายเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกผ่อนคลายสบายอย่างที่สุด

“เราเจอเทพเซียนเข้าหรือนี่” คุณน้าพึมพำด้วยสีหน้าตกตะลึง