บทที่ 288 ฆ่าล้างบาง

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 288 ฆ่าล้างบาง

บนถนนของเมืองกู่เจียงสามารถพบเห็นสัตว์ร้ายได้ทั่ว ๆ ไป ผู้คนพากันหลบด้วยความตกใจ

ฉู่ชวิ๋นโกรธมาก เขาประกาศต่อยุทธภพแล้วว่าห้ามสัตว์ร้ายเข้าเมืองกู่เจียง ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับคำพูดของเขาเลยสักนิด

จิตสังหารอันไร้ขอบเขตค่อย ๆ ปรากฏในจิตใจ

ตู้ม

สิงโตสีทองตัวมหึมาตัวหนึ่งถูกหมัดของฉู่ชวิ๋นชกจนร่างระเบิดเหลือเพียงหมอกเลือด ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมากรีดร้องด้วยความตกใจ

เจ้าของสิงโตสีทองเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ เขามองฉู่ชวิ๋นอย่างโกรธแค้นจนตะโกนออกมา “แกฆ่าสัตว์เลี้ยงของฉันทำไม”

ฉู่ชวิ๋นอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายจริง ๆ แต่เขาฝืนกลั้นความโมโหและเอ่ยขึ้นมา “เมืองกู่เจียงห้ามสัตว์เลี้ยงเข้า แกไม่รู้จริง ๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้”

จอมยุทธ์คนนี้สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที เขาย่อมรู้กฎข้อนี้ดีและรู้ด้วยว่าจอมมารฉู่เป็นคนตั้งกฎนี้ เขาตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล

“รู้แล้วจะทำไมว่ะ !!”

“ถ้างั้นก็แสดงว่าแกรู้แล้วแต่ก็ยังจะทำน่ะสิ” ฉู่ชวิ๋นสายตาเย็นยะเยือก ลงมือทันควัน

ตู้ม

พื้นดินแตกกระจาย จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 1 คนนี้ถูกหวดจนร่างฝังลงดินไปครึ่งร่าง ส่วนใหญ่กระดูกแหลกลาญ

จอมยุทธ์ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนก จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 1 ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย คน ๆ นี้น่ากลัวจริง ๆ

“เขาเหมือน จอมมารฉู่ เลย”

มีคนพูดออกมาอย่างหวาดกลัว ในเว็บบอร์ดยุทธภพมีรูปของฉู่ชวิ๋น ทำให้ตอนนี้หลาย ๆ คนเริ่มคุ้นหน้าฉู่ชวิ๋นแล้ว

“เหมือนอะไร ใช่เลยละ” อีกคนพูดเสียงสั่น

จอมยุทธ์ที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างหวาดกลัว ชื่อเสียงเรียงนามของจอมมารฉู่ไม่ธรรมดา ทุกคนต่างขนลุกขนพอง พากันรักษาระยะห่างกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองโดยสัญชาตญาณ

โดยเฉพาะจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิที่ถูกฝังดินกลัวจนหน้าถอดสี ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบเข้าเว็บบอร์ดยุทธภพ อย่างเขาก็ไม่เคยเข้าไป จึงไม่รู้หน้าค่าตา ของฉู่ชวิ๋น รู้แต่ชื่อเสียงที่ล่ำลือกันมา

“ท่าน ท่านเทพฉู่ไว้ชีวิตด้วย…”

“รู้อยู่แล้วยังทำ ฉันหาเหตุผลไว้ชีวิตแกไม่ได้จริง ๆ ” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมา

เขาเคยเป็นจักรพรรดิเซียน ปกครองใต้หล้า ทุกสรรพชีวิตต่างอยู่ใต้อาณัติ ของเขา ตั้งแต่มาโลกนี้เขาก็เก็บความแข็งกร้าวไว้ในส่วนลึกมาตลอด ตอนนี้เขาเริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว

“ท่านฉู่ไว้ชีวิตด้วย พวกเราก็แค่อยากแลกสมุนไพรยาวิเศษเท่านั้น ไม่ได้อยากท้าทายอำนาจของท่านเลย”

“ท่านเทพฉู่โปรดให้อภัยพวกเราด้วย พวกเราไม่เคยปล่อยสัตว์ไปทำร้ายใคร ถ้าไม่ใช่เพราะมีแค่ทางนี้ทางเดียว พวกเราจะไม่มีทางผ่านเขตเมืองเด็ดขาด”

จอมยุทธ์พากันร้องขอชีวิต ฉู่ชวิ๋นขึ้นชื่อเรื่องดุร้าย ฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง

น่ากลัวที่สุด พวกเขาไม่กล้าขัดขืน

“แลกสมุนไพรยาวิเศษ? หมายความว่ายังไง” ฉู่ชวิ๋นถามอย่างสงสัย

มีจอมยุทธ์บอกด้วยเสียงสั่น ๆ “มีหอวิญญาณสลายโผล่มาในเมือง เขาให้เอาสัตว์ร้ายมาแลกกับสมุนไพรยาวิเศษได้”

หอวิญญาณสลาย? ประตูวิญญาณสลาย? ฉู่ชวิ๋นใคร่ครวญ ทั้ง 2 สิ่งนี้จะต้องเกี่ยวข้องกันแน่ ๆ

“อยู่ที่ไหน” ฉู่ชวิ๋นถาม

“อยู่ที่ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงเก่า ตอนนี้กลายเป็นหอวิญญาณสลายแล้ว” จอมยุทธ์คนนึงบอก

จิตสังหารพวยพุ่งออกมาจากตัวฉู่ชวิ๋น

ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงเคยเป็นกิจการของฮวาชิงหวู่ ต่อมาทุกคนติดตามเขาเพื่อฝึกฝน ธุรกิจในโลกมนุษย์จึงมอบให้คนที่เชื่อถือได้คอยดูแล

ถ้าเขาจำไม่ผิด คนที่ดูแลภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงก็คือหยุนหนานฟง

นึกไปถึงฮวาชิงหวู่ที่นอนอยู่ในโรงศพเย็น ๆ จิตสังหารของฉู่ชวิ๋นก็ถาโถมออกมา

ประตูวิญญาณสลายท้าทายฟางเส้นสุดท้ายของเขาอยู่

“พาสัตว์เลี้ยงสงครามของพวกแก ไสหัวออกไปจากเมืองกู่เจียงซะ จากนี้ไปจะไม่มีหอวิญญาณสลายอะไรนั้นอีกแล้ว !”

พูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็พาจิ่วโยวหายตัวไป

“เร็ว รีบไปเร็ว…”

“รีบหนีเร็ว ฉันตกใจแทบตายแล้ว”

“ไอ้บัดซบ หอวิญญาณสลายเอ๊ย เกือบทำฉันตายแล้วไหมล่ะ”

เหล่าจอมยุทธ์กลัวกันแทบตาย พาสัตว์เลี้ยงหันหลังหนีไปอย่างรวดเร็ว

“ใครก็ได้ช่วยที” จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 1 ที่ฝังอยู่ในดินร้องขอความช่วยเหลือ

….

….

ฉู่ชวิ๋นมาถึงภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงเก่า เมื่อเห็นตัวอักษรหอวิญญาณสลายสีทองอร่าม 3 ตัวบนตึกสูงจิตสังหารก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

ตอนนี้มีจอมยุทธ์ไม่น้อยที่พาสัตว์เลี้ยงเข้ามาในตึก

“พวกแกไสหัวไปให้หมด !” ฉู่ชวิ๋นตะโกนอย่างเดือดดาล

ฮวาชิงหวู่ถูกสะกดในน้ำแข็งหลายปี ธุรกิจที่เธอเหลือเอาไว้กลับถูกประตูวิญญาณสลายครอบครอง นี่ทำให้เขาคลุ้มคลั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พวกมันกำลังท้าทายเขา !

ตู้ม

ตัวอักษรหอวิญญาณสลาย 3 ตัวโดนฉู่ชวิ๋นที่บันดาลโทสะบดขยี้เป็นผุยผงในหมัดเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าที่นี่คือภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงเก่า เกรงว่าเขาคงทำลายตึกทั้งตึกในฝ่ามือเดียวไปแล้ว

จอมยุทธ์ทุกคนตกใจกันหมด

ร่างของฉู่ชวิ๋นกระโจนไปหลายร้อยเมตรในก้าวเดียว ลมปราณของเขาล้อมรอบทั้งตึกสูง เขาสะกดทั้งตึกไว้ด้วยค่ายกล เขาจะไม่ให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว !

“ไสหัวไป” เสียงคำรามราวกับฟ้าผ่าลงมา สะเทือนจนจอมยุทธ์ทุกคนหน้ามืดตาลาย สัตว์ร้ายหมอบลงขณะตัวสั่นเทา

“ใครกันที่กล้ามาอาละวาดในหอวิญญาณสลาย” ร่าง ๆ หนึ่งพุ่งออกมา เขาสวมชุดดำทั้งตัว วิทยายุทธอยู่แค่ระดับปรมาจารย์เท่านั้น

ฉู่ชวิ๋นยื่นมือออกไปแล้วกำแน่น

ตู้ม

คน ๆ นั้นร่างระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดในทันที

“เขา… เขาคือจอมมารฉู่”

มีจอมยุทธ์ที่จำหน้าฉู่ชวิ๋นได้พูดด้วยเสียงสั่น ๆ

“ฉันให้เวลา 3 ลมหายใจ ถ้าใครยังอยู่ที่นี่ ตาย!” นัยน์ตาของฉู่ชวิ๋นมีเส้นเลือดปูดออก

เมื่อคำว่าตายจบ

ตู้ม ๆ

สัตว์ร้ายหลายตัวก็ร่างระเบิดแหลกเละ เลือดสาดเต็มพื้น

“วิ่งเร็ว” มีคนร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนก

ฟิ้ว

ทุกคนพากันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต

ภาพนี้ส่งผลให้เกิดภาพมหัศจรรย์หลังจากนั้น

มีจอมยุทธ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร พอเห็นมีคนวิ่งอย่างบ้าคลั่งก็วิ่งตามด้วยสัญชาตญาณ หนีไปด้วยกันจนสุดท้ายฝูงชนที่วิ่งหนีก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

“สหาย พวกนายวิ่งทำไม” มีคนถามขึ้น

“ไม่รู้ ฉันวิ่งตามคนอื่น”

“นาย พวกนายวิ่งไปไหนกัน หรือว่ามีซากโบราณสถานปรากฏอีกแล้ว”

“ซากโบราณสถานบ้าบออะไรล่ะ มีแต่ความน่ากลัวเท่านั้น รีบหนีเถอะ”

….

ฉู่ชวิ๋นพุ่งเข้าไปในตึก

“ไสหัวออกมาให้หมด”

เสียงคำรามเสียงเดียวส่งผลให้ทั้งตึกสั่นสะเทือน

แต่ข้างในตึกเงียบเชียบไม่มีเสียงตอบรับ

คิดจะหนีเหรอ จิตวิญญาญของฉู่ชวิ๋นคืบคลายออกไปปกคลุมทั่วทั้งตึก

พรึ่บ

ร่างของฉู่ชวิ๋นหายไปจากตรงนั้นและมาปรากฏที่ห้องใต้ดินของตึกในนาทีต่อมา

ในห้องใต้ดินมีทางลับที่เชื่อมออกไปข้างนอก

ตู้ม

ฉู่ชวิ๋นยกหมัดขึ้น ลมปราณสีม่วงกระแทกใส่พื้นดินจนทางลับเริ่มพังทลาย

มีเสียงร้องครวญครางดังมาจากทางลับไม่หยุด พวกเขาโดนดินถล่มใส่จนขาดใจตายอย่างทรมาณ

ขณะนั้นเองจิ่วโยวก็ได้มาถึง

“ในนี้ตายหมดแล้ว ต่อไป” พูดจบฉู่ชวิ๋นก็หายตัวไป

บนดาดฟ้า มีเฮลิคอปเตอร์กำลังจะขึ้นบิน

ตอนที่ฉู่ชวิ๋นมาถึง เฮลิคอปเตอร์ก็ห่างออกไปกว่า 10 กิโลแล้ว

“ลาก่อน จอมมารฉู่ ฮ่า ๆ …” คนผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 2 เขาท้าทายฉู่ชวิ๋นจากระยะ 1 กิโล

แววตาของฉู่ชวิ๋นแดงก่ำ เขากระโจนจากดาดฟ้าตึกหนึ่งไปที่ดาดฟ้าอีกตึกหนึ่ง ก้าวทีละหลายร้อยเมตรไล่ตามเฮลิคอปเตอร์ไป

“ไปเร็วๆ”

บนเฮลิคอปเตอร์มีอยู่ 3 คน คนที่วิทยายุทธสูงสุดในนั้นคือจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 เขาร้องตะโกนขึ้นเมื่อเห็นความรวดเร็วอันน่าตกใจของ

ฉู่ชวิ๋น

โลกเปลี่ยนไป เปลือกโลกเคลื่อนตัว ปริมาณเนื้อที่ขยายใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด ตึกสูงที่เคยอยู่ติดกันตอนนี้ห่างจากกันหลายร้อยเมตรทุกตึก หรืออาจถึงหลายพันเมตร

ฉู่ขวิ้นก้าวข้ามตึกราวกับโบยบิน ทุกก้าวย่างไปไกลกว่าหลายร้อยเมตร ไม่กี่อึดใจก็ไล่ตามเฮลิคอปเตอร์ทัน

“เร็วเข้า บินขึ้นสูง” คนในเฮลิคอปเตอร์ตกใจจนลนลานไปหมด

ฟิ้ว

มีเงาสีม่วงม้วนเข้าหาเฮลิคอปเตอร์ เป็นแส้วิญญาญนั่นเอง

ตู้ม

แส้กระแทกโดนจนเกิดเสียงระเบิด เป็นใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ที่ฉีกขาด

ฉู่ชวิ๋นออกแรงดึงแส้ที่ม้วนรอบตัวเฮลิคอปเตอร์แรง ๆ

เฮลิคอปเตอร์ที่สูญเสียใบพัดไปเดิมทีก็กำลังจะร่วงหล่นอยู่แล้ว เมื่อบวกกับแรงดึงของฉู่ชวิ๋น จึงร่วงลงพื้นอย่างรวดเร็ว

ตู้ม

ประกายไฟของการระเบิดลอยขึ้นมา เสียงระเบิดดังสะเทือนหู เฮลิคอปเตอร์ตกและระเบิดทันที

เสี้ยววินาทีที่เฮลิคอปเตอร์ตกกระแทกพื้นร่างทั้ง 3 ด้านในก็กระโจนตัวออกมาและแยกกันหนี

ฉู่ชวิ๋นไม่คิดอยู่แล้วว่าจะฆ่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิได้เพราะระเบิดจากเฮลิคอปเตอร์ได้ เมื่อเห็นพวกมันแยกกันหนี เขาก็ยิ้มอย่างโหดเหี้ยม

เขากระโจนจากที่ยอดตึกลงไปด้านล่าง 1 ในนั้นอยู่ด้านล่างของเขาพอดี

ตู้ม

พื้นดินระเบิดออก รอยแยกขยายตัวออกไป คนที่หนีโดนฉู่ชวิ๋นเหยียบจนร่างระเบิดแหลกเละ

พรึ่บ

ฉู่ชวิ๋นกลายเป็นลำแสงหายวาบไปทางทิศตะวันตก

จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 2 ที่ท้าทายฉู่ชวิ๋นเมื่อกี้กำลังหนีหัวซุกหัวซุน ความเร็วของจอมยยุทธ์ขั้นจักรพรรดิถือว่าเร็วเท่ากับเสียง แต่ก็ยังไม่พอถ้าจะหนีฉู่ชวิ๋นคนนี้

เพียงแค่ 10 กว่าอึดใจเท่านั้นฉู่ชวิ๋นก็ตามเขาทัน

เมื่อได้ยินเสียงแหวกอากาศจากด้านหลัง จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิคนนี้ก็หันไปมองและทันใดนั้นเขาก็กลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง

ตู้ม

อักษร “ฆ่า” สีม่วงขยายใหญ่ขึ้นตามด้วยลมพายุฟาดเข้าให้ที่แผ่นหลังของเขา สะเทือนจนร่างเขาระเบิดกลายเป็นหมอกเลือด

พรึ่บ

ร่างของฉู่ชวิ๋นหายไปอีกครั้ง เขาเริ่มไปไล่ล่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิอีกคนที่หนีไปทางทิศตะวันออก

จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 หนีหัวซุกหัวซุนด้วยความเร็วสูงสุด จนเร็วกว่าความเร็วเสียง

แต่ตอนนี้ฉู่ชวิ๋นเป็นถึงขั้นสร้างแกนลมปราณ ความเร็วเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าของความเร็วเสียง

เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงแหวกอากาศอันแสบหู จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิก็ขนลุกขนพองไปทั้งตัว เขารู้ว่าฉู่ชวิ๋นตามมาทันแล้ว

แม้เขาจะเป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 ถือเป็นคนแกร่งในใต้หล้า แต่เขารู้ว่าถ้าต้องสู้กับฉู่ขวิ้น จุดจบมีแต่ต้องตายอย่างน่าอนาถ

พรึ่บ

จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนทิศ พุ่งชนกระจกเข้าไปในบ้านคนบ้านหนึ่ง

สีหน้าของฉู่ชวิ๋นเปลี่ยนไป เขาตามเข้าไปทันที

“จอมมารฉู่ ถ้านายก้าวมาอีกแค่ก้าวเดียว ฉันจะฆ่าเขา” กระบี่ยาวแหลมคมปาดอยู่ที่คอของเด็กอายุ 10 กว่าปี

บ้านนี้มีอยู่ 3 คน โต๊ะอาหารที่คว่ำอยู่แสดงให้เห็นว่าเมื่อกี้พวกเขากำลังกินข้าวกันอยู่ สามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่งสีหน้าซีดเผือด มองกระบี่ยาวที่คอลูกตัวเองด้วยสายตาหวาดกลัว

“ขอร้องล่ะ…อย่าทำร้ายลูกของเรา…”

เมื่อเจอกับจอมยุทธ์ คนธรรมดานั้นอ่อนแอเกินไป ทำได้แค่ร้องขอความเมตตา

“ปล่อยเขาไป” ความมุ่งร้ายแฝงอยู่ในน้ำเสียงของฉู่ชวิ๋น

“จอมมารฉู่ ฉันรู้วิถีทางของแก แกไม่ปล่อยฉันแน่ แต่ตอนนี้แกต้องปล่อยฉันไป แล้วฉันจะปล่อยเด็กคนนี้เอง”

“ปล่อยเขาไป แล้วฉันจะเหลือศพให้ครบ 32” ฉู่ขวิ้นพูดอย่างเย็นชา

“จอมมารฉู่ แกไม่สนชีวิตของเด็กคนนี้จริง ๆ เหรอ” เขาออกแรงที่กระบี่เบา ๆ บนคอของเด็กมีเลือดไหลเป็นทาง เลือดไหลออกมาตามปลายกระบี่

พ่อแม่ของเด็กร้อนรนจนน้ำตาไหล คุกเข่าให้ฉู่ชวิ๋นและขอร้องทั้งน้ำตา

“ขอร้อง… ช่วยลูกของพวกเราด้วย… ขอร้อง”

ฉู่ขวิ้นรีบพยุงทั้งคู่ให้ลุกขึ้นมา แต่ในใจกลับมีไฟโทสะที่ยากจะดับลง เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมจักรพรรดิเอ้าหวงถึงฝากให้เขาดูแลพวกคนธรรมดา เพราะคนธรรมดาเมื่อเจอจอมยุทธ์ไม่ทางปกป้องตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย

“ปล่อยเขา แล้วแกก็ไปซะ” ฉู่ชวิ๋นเอ่ยมาขึ้นอย่างอดทน อดกลั้น

จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 สายตาเปลี่ยนไป

“แล้วฉันจะเชื่อจอมมารแบบแกได้ยังไง”

“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่แก ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!”

“ได้ ฉันจะเชื่อแก เป็นถึงจอมมารฉู่ทั้งที ถ้าคำพูดไม่เป็นคำพูดคนอื่นรู้เข้าคงเสียชื่อแย่” เขาอยากจะจับเด็กเป็นตัวประกันพอปลอดภัยแล้วค่อยปล่อยตัว แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าด้วยความเร็วของฉู่ชวิ๋น จะไล่ตามเขาให้ทันมันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เอาเด็กไปถ้าเด็กเป็นอะไรเขาก็ตายแน่นอนเพราะฉะนั้นสู้เชื่อคำสัญญาจากฉู่ชวิ๋นสักคำดีกว่า

พรึ่บ

เขาเก็บกระบี่ยาวแล้วพุ่งออกจากหน้าต่างราวกับสายลมก่อนทะยานไปแบบไม่คิดชีวิต จนกระทั่งวิ่งออกมาได้นับ 10 กิโลเห็นพบว่าฉู่ชวิ๋นไม่ได้ตามมา จึงเบาใจลง

แต่จู่ ๆ ฝีเท้าเขาก็สะดุด มีเด็กผู้หญิงที่สวยจนน่าเหลือเชื่อยืนมองเขาอยู่กลางถนน