บทที่ 289 เธอไม่ใช่ลูกสาวของผมจริง ๆ!

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 289 เธอไม่ใช่ลูกสาวของผมจริง ๆ!

ก่อนฉู่ชวิ๋นจะจากไปเขารักษาแผลที่คอของเด็กชายจนหาย

เขาสัมผัสได้ว่าจิ่วโยวอยู่แถวนี้เลยกระโจนตัวออกไป

ตอนที่เขาไปถึง ก็เห็นปืนยาวของจิ่วโยวทะลุคอของจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 คนนั้นไปแล้ว

“ฉู่ชวิ๋นบอกจะไม่ฆ่านาย แต่ฉันจะฆ่า!” จิ่วโยวเก็บปืนยาวพลางพูดด้วยเสียงเด็ก ๆ

“พวกลูกกระจ๊อกทั้งนั้น มีแต่คนของประตูวิญญาณสลาย” จิ่วโยวเดินมาบอกฉู่ชวิ๋น “ในหมู่คนพวกนี้ก็มีคนนี้นี่แหละที่วิทยายุทธสูงสุด”

คนส่วนใหญ่ที่ในตึกสูงหอวิญญาณสลายอยู่เป็นจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ทั้งนั้น แน่นอนว่าจิ่วโยวฆ่าพวกมันจนหมดเกลี้ยงแล้ว

“พวกเขาเอาหญ้าวิเศษมาล่อลวงให้จอมยุทธ์จับสัตว์ร้ายเข้ามาเพื่อทำลายความสงบของเมืองกู่เจียงและท้าทายนาย” แม้จิ่วโยวจะอายุยังน้อย แต่ก็มองเรื่องราวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเบา ๆ

“พวกมันทำแบบนี้เพราะพวกมันต้องการก่อกวนฉัน จนฉันอยู่ไม่เป็นสุข”

“และพวกมันก็ทำสำเร็จจริง ๆ” จิ่วโยวเอ่ยปากอย่างทะเล้น

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบา ๆ ประตูวิญญาณสลายเป็นพวกที่น่าขยะแขยงจริง ๆ แต่เรื่องนี้เตือนใจเขาว่า เขาต้องมีอิทธิพลภายในเมืองกู่เจียงอย่างเด็ดขาด ห้ามมีใครขัดขืน

เขาโทรหาหวู่ปู้ซือ ให้สำนักเทียนหวู่โยกย้ายมาที่เมืองกู่เจียง ถ้าไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยก็ให้มาสร้างสาขาแยกที่นี่

นอกจากนั้น เขาได้สั่งกองทัพของรัฐบาลที่นี่ไปว่า หากมีสัตว์ร้ายเข้าเมืองมาให้ยิงทิ้งได้เลย

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็เดินทางไปที่ภูเขาเฉียนหลงกับจิ่วโยว

ทุกคนที่ภูเขาเฉียนหลงต่างตกใจที่เห็นฉู่ชวิ๋นจูงเด็กสาวที่สวยจนเหลือเชื่อกลับมาด้วย

“ไอ้ลูกชาย นี่หลานสาวของฉันเหรอ” ฉู่เทียนเหออึ้งไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมา

ฉู่ชวิ๋นพอได้ยินที่พ่อตัวเองพูดก็ตกใจยิ่งกว่า ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาไม่นานเขาก็ส่ายหัว

“ผมเก็บเธอได้จากข้างทาง ไม่มีใครรับเลี้ยงเลยเก็บกลับมาด้วย” เขาแกล้งแซว

จิ่วโยวเบ้ปากเล็ก ๆ ด้วยความไม่พอใจ มองฉู่ชวิ๋นก่อนแกล้งเรียกเขาด้วยน้ำเสียงของใส ๆ “ปะป๋า ทำไมพูดแบบนี้ ไม่รักจิ่วโยวแล้วเหรอ”

ถางโร้วที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ได้ข่าวว่าฉู่ชวิ๋นกลับมาแล้ว จึงรีบวิ่งมาอย่างดีใจ เข้าประตูมาปุ๊บก็ได้ยินจิ่วโยวเรียกฉู่ชวิ๋นว่าป๊ะป๋า เธอตกใจจนตัวแข็งอยู่กับที่ทันที

“อย่าสร้างปัญหา!” ฉู่ชวิ๋นเตือนจิ่วโยวทันที

จิ่วโยวเบ้ปากเล็ก ๆ ท่าทางสงสารอย่างถึงที่สุด

“ไอ้ลูกบ้า ถอยไปเลยนะ” จิ่วโยวน่ารักมากแถมมีบรรยากาศรอบตัวที่คล้ายกับฉู่ชวิ๋น ทำให้จิตใจของหลิวหรานใจชื้นขึ้นมา เมื่อเห็นฉู่ชวิ๋นดุจิ่วโยวเธอจะทนได้ยังไง เธอก็เข้าไปตบหัวฉู่ชวิ๋นทันที

จิ่วโยวไม่คุ้นหน้าหลิวหรานเลยสักนิด ตอนที่บุกโจมตีสำนักสวรรค์ฟ้าเธอกำลังอยู่ในสภาพหลับไหล แต่เธอก็เข้าใจในทันทีว่าผู้หญิงที่กล้าลงมือกับ

ฉู่ชวิ๋นจะต้องเป็นแม่ของฉู่ชวิ๋นอย่างแน่นอน

“หลายสาว ไม่ต้องกลัว มาหาย่ามา” หลิวหรานจ้องเขม็งไปที่ฉู่ชวิ๋นและเรียกจิ่วโยวมากอด

“คุณย่า” จิ่วโยวเรียกเสียงหวาน เสียงใส ๆ ของจิ่วโยวราวกับอัญมณีที่ร่วงหล่น หลิวหรานฟังแล้วรู้สึกจิตใจเบิกบานไปหมด

ฉู่ชวิ๋นพูดอะไรไม่ออก เขาเป็นมนุษย์ ส่วนจิ่วโยวเป็นสัตว์อสูรของแท้เลยนะจะเป็นของเขาได้ยังไง “แม่ เธอไม่ใช่ลูกสาวของผมจริง ๆ”

“ลูกเงียบไปเลยนะ เดี๋ยวแม่ค่อยไปสั่งสอนลูกเอง” ประโยคเดียวของหลิวหรานทำให้จอมมารฉู่ผู้โด่งดังต้องเงียบและได้แต่ยิ้มเฝื่อน ๆ

“บอกย่าซิ หนูชื่ออะไร”

“คุณย่า หนูชื่อจิ่วโยว”

พวกเฉินฮั่นหลงรู้สึกคุ้นชื่อนี้มาก แต่พวกเขาคิดให้สมองระเบิดก็คงคิดไม่ถึงว่าจิ่วโยวคืองูเจ็ดสีตัวน้อยตัวนั้น

จิ่วโยวสวยน่ารักและเป็นเด็กดี เรียกคุณย่าแต่ละทีทำให้หลิวหรานมีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้เลย

“แม่ เธอไม่ใช่ลูกสาวของผมจริง ๆ ” ฉู่ชวิ๋นพยายามอธิบาย

“เกี่ยวอะไรกับแม่ ถ้าลูกกล้าดุหลานอีกแม่จะไม่ยกโทษให้แน่ ๆ” หลิวหรานดุดันมาก ๆ

จิ่วโยวแอบขยิบตาให้ฉู่ชวิ๋น เธอรู้สึกสะใจอย่างถึงที่สุด

คนที่ทำให้จอมมารฉู่ไม่กล้าตอบโต้ เห็นทีจะมีแค่พ่อและแม่เขานี่แหละ

“พ่อ เธอไม่ใช่ลูกสาวของผมจริง ๆ นะ” ฉู่ชวิ๋นอธิบายกับฉู่เทียนเหอ

“พ่อรู้” ฉู่เทียนเหอหัวเราะ เขาไม่ใช่คนโง่ ลองคิดดูดี ๆ ก็จะเข้าใจฉู่ชวิ๋น มีรักกับฮวาชิงหวู่จะหวั่นไหวกับผู้หญิงคนอื่นได้อย่างไร แถมถ้าดูจากอายุ ก็ยังไม่น่ามีลูกสาวที่โตขนาดนี้

ถางโร้วเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความดีใจที่ได้พบฉู่ชวิ๋น อีกครั้ง

“ไอ้แก่ อย่างแกจะไปเข้าใจอะไร เธอน่ะเป็นหลานสาวฉัน แกมีปัญหาเหรอ” หลิวหรานจ้องฉู่เทียนเหอเขม็ง

ฉู่เทียนเหอนชะงักไปก่อนจะยิ้มเจื่อน ๆ “ใช่ ๆ ๆ เธอก็เป็นหลานสาวของฉันเหมือนกัน”

“จิ่วโยว เดินทางมานานขนาดนี้หิวแล้วล่ะสิ เดี๋ยวย่าทำกับข้าวให้กิน” หลิวหรานพูดอย่างอารมณ์ดี

มานับดูดี ๆ ฉู่ชวิ๋นก็อายุ 30 กว่าแล้ว ส่วนพวกเขาก็อายุ 50 กว่า คนวัยนี้มีความอยากอุ้มหลานที่รุนแรงมาก

แน่นอนพวกเขาก็เข้าใจว่า ฮวาชิงหวู่ยังไม่ฟื้นจากการถูกสะกดในน้ำแข็ง ความฝันนี้ก็ยากจะเป็นจริง ฉะนั้นหลังจากที่จิ่วโยวปรากฏตัว หลิวหรานก็รู้สึกได้ถึงการเป็นคุณย่า แถมจิ่วโยวก็น่ารักราวกับตุ๊กตา ใครเห็นใครก็รัก เธอย่อมไม่ปฏิเสธที่จะมีหลานสาวสวยขนาดนี้

“คุณย่า หนูไปกับคุณย่าด้วยดีกว่า” จิ่วโยวพูดเสียงหวาน ประเด็นคือเธอกลัวว่าลับหลังที่หลิวหรานไม่อยู่ ฉู่ชวิ๋นจะจัดการเธอ

หลิวหรานได้ยินแบบนี้ก็ดีใจมาก ๆ พวกคนแก่วุ่นเรื่องทำอาหารยกใหญ่

“พี่ฉู่ชวิ๋น” ถางโร้วเดินเข้ามา เธอเป็นคนเงียบ ๆ ไม่พูดมากแถมขี้อายมาก ๆ ด้วย เลยไม่รู้จะพูดอะไรดี

ฉู่ชวิ๋นมองถางโร้วแล้วก็อดตกตะลึงไม่ได้ ถางโร้วฝึกตนได้เร็วมาก ตอนนี้เธออยู่ช่วงปลายของขั้นหลอมรวมลมปราณแล้ว

ฉู่ชวิ๋นรู้ว่าถางโร้วรู้สึกยังไงกับเขา แต่เขาทำผิดต่อจิงหงแล้ว จะให้ทำผิดต่อเสี่ยวหวู่อีกก็ดูไม่ดีแถมเหมือนจิงหง….จะมาโลกนี้ด้วยสิ ฉะนั้นทุกครั้งเขาได้แต่แกล้งโง่และรู้สึกผิดในใจ

เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูน ที่ไม่รู้เรื่องอะไร เขากับถางโร้วโตมาด้วยกัน ย่อมมีความรู้สึกให้เธออยู่แล้ว ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ ปัญหาเก่ายังไม่จบ เขายังไม่อยากสร้างปัญหาใหม่

“เก่งนี่ ตอนนี้เป็นจอมยุทธถางแล้ว” ฉู่ชวิ๋นหยอกล้อ ด้วยวิทยายุทธของถางโร้วตอนนี้ เพียงพอที่จะปกป้องตัวเองในได้ยุทธภพแล้ว

ถางโร้วดีใจมาก ความพยายามทั้งหมดของเธอก็เพื่อคำชมคำเดียวจาก

ฉู่ชวิ๋นนี้แหละ

ฉู่ชวิ๋นมองพวกเฉินฮั่นหลง นอกจากเจิ้งเฉียนที่วิทยายุทธเข้าสู่ช่วงกลางของขั้นหลอมรวมลมปราณ คนอื่น ๆ ยังย่ำอยู่ที่เดิม

“แต่ละวันพวกนายเอาแต่นอนล่ะสิ ทำไมวิทยายุทธไม่พัฒนาขึ้นเลย”

พวกเฉินฮั่นหลงได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ

ฉู่ชวิ๋นไม่ได้พูดอะไรผิด ตอนนี้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างว่างงานและต้องเอาแต่ฝึกฝนอย่างน่าเบื่อ ทำให้พวกเขาเอาเวลาไปเที่ยวเล่นมากกว่าฝึกฝนซะอีก

“หงหลิงล่ะ” ฉู่ชวิ๋นนึกได้ว่าก่อนที่เขาจะไป หงหลิงฝึกวิชากระบี่อยู่ที่นี่

“พี่หงหลิงออกไปฝึกฝนข้างนอก ไม่กี่วันก่อนกลับมาแล้วรอบนึง ตอนนี้เป็นจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับ 9 แล้วขอแค่มีโอกาสวาสนาก็จะกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ” ถางโร้วบอก

เก่งมาก! ผู้หญิงทั้ง 2 คนนี้ทำให้เขาต้องมองซะใหม่

ฉู่ชวิ๋นนึกไปถึงเมล็ดของดอกขนมังกรคราม ตอนนั้นสำนักกระบี่จากทั้ง 4 ทิศและปราการเทียนหลงสู้กันดุเดือดเพื่อสิ่งนี้ หงหลิงกินไปเม็ดนึง วิทยายุทธถึงได้บรรลุข้ามขั้นขนาดนี้

ดูท่าจะต้องหาโอกาสเพาะดอกขนมังกรครามให้พวกหมูจอมขี้เกียจพวกนี้กินซะแล้ว

ฉู่ชวิ๋นพาพวกเขาไปที่ลานกว้าง แล้วให้ยาทลายพลังไปคนละเม็ด

เมื่อได้ฟังว่ายาทลายพลังเม็ดนี้จะทำให้พวกเขาบรรลุไปอีกขั้น พวกเฉินฮั่นหลงก็ยิ้มจนปากแทบจะฉีกไปถึงหู นอน ๆ อยู่ก็บรรลุได้ไม่มีอะไรที่จะน่ายินดีไปมากกว่านี้แล้ว

ฉู่ชวิ๋นวางค่ายกลช่วยให้พวกเขาบรรลุ

ผ่านไปหลายชั่วโมง คนพวกนี้ก็บรรลุระดับพลังติดต่อกัน พร้อมรากฐานที่มั่นคง

คนที่โดดเด่นที่สุดคือถางโร้ว เธอบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณ ก้าวเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐาน นับว่าแข็งแกร่งมาก

“พี่ฉู่ชวิ๋น ครั้งนี้ฉันจะตามพี่ออกไปด้วยได้ไหม ฉันอยากออกไปดูข้างนอกซะหน่อย” ถางโร้วกล่าว

ฉู่ชวิ๋นคิดไปคิดมาก่อนจะพยักหน้าตกลง หากไม่ผ่านมรสุมคาวเลือดซะบ้าง มัวแต่อยู่ในที่ปลอดภัย วิทยายุทธในตัวก็เท่ากับเสียเปล่า

พวกคนแก่เตรียมกับข้าวเสร็จนานแล้วและกำลังรอพวกเขาอยู่

ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะที่ใหญ่พอสำหรับ 20 คน

ฉู่ชวิ๋นอึ้งไปเลย บนโต๊ะมีเนื้อสัตว์ร้ายด้วย

“ไปหามาจากไหนกันน่ะ” ฉู่ชวิ๋นถามอย่างสงสัย

“นี่เป็นของที่พี่หงหวิงส่งกลับมาให้เมื่อหลายวันก่อน หมูป่าตัวใหญ่มาก ใหญ่กว่าภูเขาลูกเล็ก ๆ ซะอีก” ถางโร้วอธิบายให้เขาฟัง

ฉู่ชวิ๋นมองพวกเฉินฮั่นหลง มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้ขี้เกียจนัก กินเนื้อสัตว์ร้าย ดื่มน้ำยาเทวะ อาศัยอยู่ในภูเขาเฉียนหลงที่พลังวิญญาณท่วมท้น จะไม่ให้ขี้เกียจคงยาก

พวกเฉินฮั่นหลงเห็นสายตาของฉู่ชวิ๋นแล้วรู้สึกถึงลางไม่ดี

“ตอนนี้พวกนายก็ยังอยู่แค่ช่วงกลางของขั้นหลอมรวมลมปราณเท่านั้น ฉันให้เวลาพวกนายอีกแค่ 2 ปี ถึงตอนนั้นถ้าใครยังไม่บรรลุขั้นต่อไป ฉันจะโยนมันคนนั้นเข้าไปในหุบเขาลึก สู้กับสัตว์ร้ายทุกวัน”

พวกเฉินฮั่นหลงหงอยลงทันที ชีวิตดี ๆ มาถึงจุดจบซะแล้ว

ที่โต๊ะอาหาร หลิวหรานคีบอาหารให้จิ่วโยวไม่หยุด อาหารในถ้วยเธอกองจนจะเป็นภูเขาอยู่แล้ว

จิ่วโยวหน้านิ่วคิ้วขมวด ปกติแล้วเธอกินแค่อาหารจำพวกข้าวโพดเท่านั้น

“คุณย่า พอแล้ว ๆ” เมื่อเห็นหลิวหรานยังคีบอาหารต่อ จิ่วโยวก็รีบพูดขึ้น

ฉู่ชวิ๋นแอบขำก่อนจะคีบเนื้อชิ้นใหญ่ให้เธอ “กินเยอะ ๆ หน่อย ลูกสาว”

จิ่วโยวมองอาหารอันโอชะเหล่านี้ก็หน้านิ่วเป็นซาลาเปา

กินข้าวเสร็จ พวกเฉินฮั่นหลงก็หนีไปฝึกฝน พวกเขาไม่อยากโดนโยนเข้าไปสู้กับสัตว์ร้ายในหุบเขาลึก

ฉู่ชวิ๋นอยู่คุยกับพวกคนแก่ ซึ่งหลิวหรานบ่นเขาซะส่วนใหญ่

จอมมารฉู่ตอนนี้เป็นแค่ลูกแมว ได้แค่ยิ้มและพยักหน้าน้อมรับคำสั่งสอนจากแม่ของตัวเอง

หลายวันหลังจากนั้นฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกผ่อนคลาย ได้เที่ยวเล่นตามป่าตามเขา เดินเล่นเป็นเพื่อนถางโร้ว ฟังคำบ่นของผู้เฒ่าผู้แก่ แต่ละวันผ่านไปอย่างสบายใจ

แต่ช่วงเวลาดี ๆ มักจะผ่านไปเร็ว ฉู่ชวิ๋นได้รับโทรศัพท์จากหยานอี้ว่ามีข่าวของผู้หญิงผมม่วงแล้ว

ผู้หญิงผมม่วงจะใช่จิงหงหรือเปล่า ฉู่ชวิ๋นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก อีกอย่างวิญญาณของเสี่ยวหวู่ยังอยู่กับเธอยังไงก็ต้องไปเอาคืนมา

ฉู่ชวิ๋นโดนหลิวหรานบ่นเยอะมาก ว่าอยู่ไม่กี่วันก็จะไปซะแล้ว

ฉู่ชวิ๋นย่อมรู้ว่าหลิวหรานเป็นห่วงตัวเอง จึงค่อยพูดค่อยจาบอกแม่ว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

“เสี่ยวโร้ว รอฉันกลับมาจากครั้งนี้แล้วฉันจะพาเธอไปดูโลกภายนอก”

ไปครั้งนี้พาถางโร้วไปด้วยไม่ได้ เดิมทีผู้หญิงผมม่วงก็กำลังโกรธเขาเรื่อง

ฮวาชิงหวูอยู่แล้ว ถ้ามาเจอถางโร้วเข้าไม่รู้ว่าจะระเบิดพลังอะไรออกมาอีก

เมื่อบอกลาทุกคนแล้ว ครั้งนี้ฉู่ชวิ๋นเดินทางเพียงคนเดียว จิ่วโยวโดนหลิวหรานกักตัวเอาไว้ เมื่อนึกถึงที่สายตาโกรธเคืองของจิ่วโยว อารมณ์ของฉู่ชวิ๋นก็ดีขึ้นเยอะ

จากข่าวที่หยานอี้บอกเขามา เทือกเขาคุนหลุนมีร่องรอยของซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์ มีจอมยุทธ์พบผู้หญิงผมม่วงที่วิทยายุทธแข็งแกร่ง เหมือนกับคนที่ฉู่ชวิ๋นตามหามาก

เทือกเขาคุนหลุน เทือกเขาเทวะอันดับ 1 แห่งแผ่นดินจีน มากด้วยตำนาน มาตั้งแต่โบราณกาล

ฉะนั้น การที่เทือกเขาคุนหลุนมีซากดึกดำบรรพ์ปรากฏก็ไม่นับว่าแปลก อะไร

ฉู่ชวิ๋นนั่งเครื่องบินไปที่เมืองหยานเซวี่ย เมืองนี้ดูแลโดยตระกูลจอมยุทธ์โบราณอย่างตระกูลหยานผู้เลื่องลือ ห่างจากเทือกเขาคุนหลุน 200 กิโลเมตร ไม่ว่าจะยืนอยู่จุดไหนในเมืองหยานเซวี่ยก็สามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่องอาจของเทือกเขาคุนหลุน

ตอนนี้ ในเมืองหยานเซวี่ยมีจอมยุทธ์มาชุกชุม แรงดึงดูดจากซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์ต่อจอมยุทธ์นั้นมากมายมหาศาล ต่อให้พวกเขารู้ว่าอันตรายก็ต้องมาลองเสี่ยงดวงกันดูสักตั้ง