ตอนที่ 1368 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง (3) / ตอนที่ 1369 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง (4)

ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ

ตอนที่ 1368 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง (3)  

 

 

ส่วนเหตุผลที่หลิงลี่ไม่คิดว่าคนผิดเป็นคนของจวนเจ้าเมืองบูรพาก็เพราะว่า…เมื่อคืนบุตรชายเขาโดยทำร้ายจนอาการสาหัสแต่เขากับไม่รู้เรื่องเลย คนที่ทำแบบนี้ได้ ในแคว้นมีจำนวนเพียงหยิบมือ และด้วยความแข็งแกร่งของหงหลวนก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่ถูกหลิงลี่พบ ดังนั้นหลิงลี่จึงตัดพวกเขาออกจากผู้ต้องสงสัย… 

 

 

ขณะเดียวกันภายในจวนเจ้าเมืองบูรพา อวิ๋นลั่วเฟิงก็ได้รับข่าวเรื่องของหลิงเฉิน นางขมวดคิ้วแล้วมองคนทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างหน้านาง 

 

 

“พวกเจ้าไม่อธิบายให้ข้าฟังหน่อยหรือว่าเมื่อคืนพวกเจ้าทั้งคู่หายไปไหนมา” 

 

 

หั่วหั่วก้มหน้าไม่กล้าสบตาอวิ๋นลั่วเฟิง นางกำเสื้ออย่างกังวลแล้วแสดงท่าทียอมรับความผิด 

 

 

“ท่านแม่” เสี่ยวซู่ยื่นมือเล็กๆ ของเขาออกมาแล้วจับใบหน้าอวิ๋นลั่วเฟิงเบาๆ ดวงตาของกระจ่างและสดใสเหมือนดวงอาทิตย์ยามบ่าย 

 

 

“พวกเขารังแกท่าน…คนที่รังแกท่านเป็นคนไม่ดี!” 

 

 

อวิ๋นลั่วเฟิงยื่นแขนไปกอดเด็กร่างอวบอ้วนแล้วถอนหายใจอย่างจนปัญญา “หั่วหั่ว เสี่ยวซู่ ในอนาคตอย่าลงมือทำอะไรโดยที่ข้าไม่ได้สั่ง เมืองอุดรต้องมีไพ่ตายในมือถึงมีอิทธิพลได้อย่างทุกวันนี้ ถ้าพวกเจ้าตกอยู่ในกำมือพวกเขา ไม่ใช่ข้าต้องเป็นคนไปช่วยหรือ” 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาของหั่วหั่วก็เป็นประกาย “นายหญิงไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ตอนที่เสี่ยวซู่กับข้าลงมือ เสี่ยวโม่ก็ได้วางเกราะป้องกันพวกเราเอาไว้ ทำให้หลิงลี่ตรวจจับพวกเราไม่ได้!” 

 

 

สีหน้าของเสี่ยวโม่เปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของหั่วหั่ว ตอนแรกเขายังมีความสุขในความโชคร้ายของพวกเขา แต่ตอนนี้ก็สายไปแล้วที่จะห้ามหั่วหั่วไม่ให้ขายเขาออกไปจนหมด 

 

 

“อ้อ?” อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้วแล้วส่งยิ้มจอมปลอมให้เสี่ยวโม่ “เจ้าเป็นคนที่รายงานเรื่องนี้ให้ข้า ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าเองก็มีส่วนเหมือนกัน” 

 

 

“อะไรนะ” หั่วหั่วลุกขึ้นยืนเท้าเอวอย่างโมโหแล้วมองเสี่ยวโม่อย่างโกรธเคือง “เจ้าบอกเรื่องข้ากับเสี่ยวซู่ให้นายหญิงทราบหรือ” 

 

 

“ข้าอธิบายได้…” เสี่ยวโม่ปาดเหงื่อ เขาต้องการอธิบาย แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจบ เสี่ยวซู่ก็โจมตีเขาโดยห้อยเขาไว้กลางอากาศแล้วตีเขา 

 

 

ถึงแม้ว่าเสี่ยวซู่จะเกิดมาได้ปีเดียว แต่ความฉลาดของเขาก็เลยเด็กวัยเตาะแตะอายุราวห้าหกปีแล้วเพราะเขาไม่ใช่มนุษย์ เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวโม่ขายพวกเขา ใบหน้าเล็กๆ ของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธจนลืมไปว่าใครเป็นคนเลี้ยงเขามา 

 

 

เสี่ยวโม่รู้สึกเสียใจ เป็นเพราะเมื่อคืนนี้อวิ๋นลั่วเฟิงถามเขาว่าหั่วหั่วไปไหน เขาเลยเผลอหลุดปาก ทำให้เขาต้องมารับผลตอบแทนตอนนี้ ถ้าเขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคืนเขาคงปิดปากสนิทไม่ยอมพูดอะไรออกมา 

 

 

… 

 

 

หลังจากหงหลวนมาถึง นางก็เห็นเสียวโม่ถูกเถาวัลย์ของเสี่ยวซู่ห้อยไว้ในอากาศแล้วถูกตีไปด้วย นางอ้าปากค้างด้วยความตกใจจนคางแทบหลุด 

 

 

“อวิ๋นลั่วเฟิง เขาเป็นบุตรชายเจ้าหรือ” 

 

 

อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบไปชั่วครู่ก่อนพูดว่า “ไม่ใช่ แต่เขาเรียกข้าว่าแม่” 

 

 

“เมื่อกี้ข้าคิดว่าเขาเป็นบุตรชายเจ้า ช่างกล้าหาญยิ่งนัก” หงหลวนลูบคางแล้วองอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยรอยยิ้มกว้าง “อวิ๋นลั่วเฟิง ข้าเคยคิดว่าถ้าพวกเราออกไปช่วงนี้ต้องโดนยอดฝีมือของเมืองอุดรไล่ล่าแน่นอน แต่ตอนนี้พวกเขากำลังวุ่นวายกับการบาดเจ็บของหลิงเฉิน ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่สนใจพวกเราแล้ว ดังนั้นพวกเราควรฉวยโอกาสนี้ออกเดินทางกันเลย” 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1369 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง (4)  

 

 

นางหยุดไปชั่วครู่ก่อนพูดต่อ “อย่างไรก็ดี อาการบาดเจ็บเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

“ไม่มีปัญหา” อวิ๋นลั่วเฟิงบิดขี้เกียจแล้วยืนขึ้น “หงหลวนไปบอกลาบิดาเจ้า แล้วหลังจากนั้นพวกเราค่อยออกเดินทางกัน” 

 

 

หงหลวนชะงักก่อนจะหลุบตาลงต่ำแล้วเผยรอยยิ้มจนปัญญา 

 

 

“อวิ๋นลั่วเฟิง ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะดูแลข้าดี แต่ข้าก็ไม่เคยลืมว่าท่านแม่ตายได้อย่างไร นอกจากท่านแม่ข้าจะฟื้นขึ้นมา ข้าก็คงไม่มีทางยกโทษให้เขาด้วยใจจริงได้…” 

 

 

ที่จริงการเปลี่ยนแปลงช่วงนี้ของหงหลิงทำให้หงหลวนหวั่นไหว ทว่าสิ่งเดียวที่นางยกโทษให้เขาไม่ได้คือการตายของมารดา! การที่มารดานางเสียชีวิตเป็นสิ่งที่นางลืมไม่ได้ แล้วถ้านางย้อนกลับไปไม่ได้ก็ยากที่นางจะยกโทษให้เขา! 

 

 

“อวิ๋นลั่วเฟิง เจ้าว่าโลกหลังความตายมีจริงหรือไม่” หงหลวนเงยหน้า สายตาของนางมองตรงไปที่หญิงสาว “ถ้าโลกหลังความตายมีจริง ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อพาท่านแม่ออกมา!” อวิ๋นลั่วเฟิงลูบไหล่หงหลวนเพื่อปลอบนางโดยไม่เอ่ยอะไร 

 

 

เมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ นางก็พูดขึ้นช้าๆ “ข้าจะรอเจ้าชั่วโมงหนึ่ง หลังจากนั้นพวกเราค่อยออกเดินทาง” 

 

 

“ตกลง” นางไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่านางจะกลับมา นางควรจะไปบอกลาบิดาสักหน่อย 

 

 

ภายในห้อง บุรุษผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังแล้วหันหลังให้ประตู อาจเพราะสัมผัสได้ว่าหงหลวนกำลังจะจากไป เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจทั้งวัน ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกโดยมือขาวเนียนข้างหนึ่ง สตรีงดงามสวมชุดแดงเดินเข้ามาด้านใน 

 

 

“ท่านพ่อ…” นางเรียกเบาๆ นางมีคำพูดนับไม่ถ้วนที่อยากจะเอ่ย 

 

 

ชายวัยกลางคนชะงักแล้วหันมาช้าๆ ภาพลักษณ์สง่างามของเขาก็อ่อนลงทันทีที่เห็นบุตรสาว 

 

 

“หลวนเอ๋อร์ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ รอดูเจ้าพิสูจน์ว่าเจ้าถูกแต่ข้าผิด” 

 

 

หงหลวนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าข้าไม่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ก็สามารถยิ่งใหญ่ได้!” 

 

 

“ฮ่าๆ” หงหลิงหัวเราะอย่างมีความสุข “นี่สิถึงจะเป็นบุตรสาวข้า เจ้าไม่เคยทำให้พ่อเจ้าผิดหวัง เอาล่ะเจ้าควรไปกับอวิ๋นลั่วเฟิงได้แล้ว นางไม่ใช่สตรีธรรมดา ไม่แน่ว่าถ้าเจ้าติดตามนาง พวกเจ้าทั้งคู่อาจจะเดินทางไปทั่วโลกแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้” 

 

 

การแยกกันระหว่างบิดาและบุตรสาว ไม่มีใครพูดถึงเรื่องละเอียดอ่อนทางความรู้สึก หงหลวนมองชายวัยกลางคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหันหลังจากไป 

 

 

หลังจากนางไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าชายวัยกลางคนก็หายไป ตอนนั้นเองเขาก็ดูเหมือนจะอายุมากขึ้นเป็นสิบปี แผ่นหลังที่ตั้งตรงของเขาค่อยๆ ค้อมลง… 

 

 

“บางทีหลายปีมานี้ข้าคงทำผิดไปมากจริงๆ แต่ข้าคิดว่าสิ่งเดียวที่ข้าทำถูกคือการทำให้บุตรสาวข้าเกิดมา! หลวนเอ๋อร์ ไม่ว่าเจ้าจะเกลียดหรือโทษพ่ออย่างไร พ่อก็จะยกเมืองบูรพาให้เจ้าในช่วงที่เหมาะสมที่สุด…” 

 

 

ภายในห้องทำงาน สิ่งที่ตอบเขามีแต่ความเงียบงัน 

 

 

ตอนที่กำลังเดินออกจากห้องทำงาน น้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาของหงหลวน นางปาดน้ำตาแล้วมองประตูที่ปิดสนิทขณะที่สีหน้าเปลี่ยนเป็นแน่วแน่อย่างช้าๆ 

 

 

“ท่านพ่อ หลังจากที่ข้ายิ่งใหญ่แล้วข้าจะต้องกลับมาฉลองชัยชนะแน่นอน!” 

 

 

อวิ๋นลั่วเฟิงมารอหงหลวนที่ประตูแล้ว หลังจากหงหลวนปรากฏตัว นางก็ไม่ได้ถามอะไรแล้วพูดอย่างเฉยชาว่า “เมื่อเจ้าบอกลาเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องออกเดินทาง” 

 

 

หงหลวนกัดริมฝีปากก่อนคลี่ยิ้มบาง “ตกลง” 

 

 

… 

 

 

ณ เมืองวิญญาณ ภายในตระกูลจวิน 

 

 

ชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องทำงานขณะมองไปที่หนังสือในมือด้วยความปวดหัว เขานวดขมับแล้วถอนหายใจ “นายท่านกับหลิงเอ๋อร์หายไปไหนกันนะ แน่นอนว่าทั้งคู่ต้องรู้สึกเป็นอิสระแล้วออกไปปลดปล่อยโดยโยนตระกูลจวินอันใหญ่หลวงไว้ให้ข้าจัดการ”