เมื่อมาถึงภายนอกของตำหนักจิ่นซิ่ว ฉีเฟยอวิ๋นก็หันไปเหลือบมองหนานกงเย่ หนานกงเย่ ใบหน้าที่มองจากด้านข้างของหนานกงเย่ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทางใดๆ ดูเหมือนกับว่าการเข้าวังมาและถูกเรียกให้เข้ามาพบพระสนมเอกเซียวนั้นไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไรสำหรับเขา
แต่กลับเป็นฉีเฟยอวิ๋นเสียเองที่เป็นฝ่ายคิดมาก
หนึ่งคือเธอไม่เคยพบเห็นพระสนมเอกเซียวมาก่อนเลย ความทรงจำของเจ้าของร่างกายเดิมเกี่ยวกับพระสนมเอกเซียวก็ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว และสองคือองค์จักรพรรดิเรียกเธอมาพบเพราะเรื่องพระอาการประชวรของพระองค์
ฉีเฟยอวิ๋นถูกกักขังมานานกว่าครึ่งเดือน และจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ไม่ได้ทรงเรียกพบเป็นการเฉพาะ อันที่จริงแล้วฉีเฟยอวิ๋นตั้งตารอมาตลอด
การรักษาพระอาการประชวรให้กับองค์จักรพรรดินั้นก็เหมือนการเดินบนน้ำแข็งบางๆ และถ้าประมาทแม้เพียงน้อยนิด ก็อาจไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ฉีเฟยอวิ๋นถึงกับเหงื่อออกขึ้นมาเลยทีเดียวจริงๆ!
หลังจากที่สวีกงกงเข้าไปกราบทูลรายงานและบอกเกี่ยวกับทักษะของเธอ ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า “พระสนมเอกเซียวเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิแล้วหรือไม่?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าก็ไม่ได้พักอาศัยอยู่ในวัง หากพระชายารู้สึกสงสัยละก็ ไม่เช่นนั้นก็ไปถามองค์จักรพรรดิเสียงเองสิ” หนานกงเย่กล่าวอย่างใจเย็น
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินแล้วก็ยังคงรู้สึกแปลก แต่แปลกตรงไหนก็ไม่สามารถอธิบายออกมาได้
ไม่นานนักสวีกงกงก็กลับออกมา ปัดแส้หางจามรีและกล่าวประกาศขององค์จักรพรรดิ ฉีเฟยอวิ๋นติดตามหนานกงเย่เข้าไปในตำหนักจิ่นซิ่ว
ภายในตำหนักจิ่นซิ่วช่วงเวลานี้มีดอกไม้ถูกจัดแต่งและมีกลิ่นหอม ฉีเฟยอวิ๋นก้มศีรษะของเธอและเดินตามเข้าไป และมาถึงยังหนเาพระพักตร์ของจักรพรรดิอวี้ตี้
หลังจากคลายแขนเสื้อ ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะคุกเข่าลง และเสียงของจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ดังขึ้น “ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก ไม่มีคนนอก”
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและก้มศีรษะคิดถึงการปรากฏตัวของจวินเซียวเซียว
จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัส “นั่งลงสิ”
มีคนนำเก้าอี้มา หนานกงเย่ยังคงทำตัวปกติโดยไม่มีทีท่าจะแสดงความเคารพแม้แต่น้อย เดินไปและนั่งลง ฉีเฟยอวิ๋นเดินตาม แล้วนั่งลงอย่างช้าๆ
“พระชายาเย่ช่างสวยงามมากนัก วันนี้ข้าได้เห็นรู้สึกวิเศษมากเลย” เสียงของผู้หญิงนั้นไพเราะ ไม่เห็นตัวตนแต่สง่างาม หัวใจของฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสั่นไหว หรือนางคือจวินเซียวเซียว?
อย่าว่าแต่การได้พบนางเลย แต่เสียงนั้นช่างไร้เดียงสา หัวใจของเธอสั่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนั้น อย่าว่าแต่พวกผู้ชายเลย
เฉินอวิ๋นชูนะ เฉินอวิ๋นชู ช่างโชคร้ายเสียจริง
ตั้งแต่สมัยโบราณ จักรพรรดินั้นโหดเหี้ยมไม่มีหัวใจ วังหลังขององค์จักรพรรดินั้นไร้ความรู้สึกและค่อนข้างเลือดเย็น
แม้ว่าจักรพรรดิอวี้ตี้จะไม่มีการแต่งตั้งนางสนมอื่นเลยมาเป็นเวลาหลายปี ทรงโปรดปรานแค่เพียงเฉินอวิ๋นชูคนเดียวเท่านั้น และพระพันปีก็ถูกตบหน้า เมื่อตบนางไปหนึ่งครั้ง การตบอย่างหนักครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น และบทหนักสำคัญยังมาไม่ถึง
หากเป็นครอบครัวธรรมดาก็ไม่เป็นไร แต่จวินเซียวเซียวเป็นลูกสาวของราชครูผู้เป็นที่ปรึกษาของจักรพรรดิ และด้วยอิทธิพลของท่านราชครูในราชสำนัก จักรพรรดิไม่สามารถปริปากพูดได้ และไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
บอบบางและสวยงามมาก ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ในระยะเวลาอันสั้น และเกรงว่ามันจะไม่ดีนักหากใช้ระยะเวลานานขึ้น
“ข้าก็คิดเช่นนั้น พระชายาเย่สวยงามขึ้นมากจริงๆ คิดว่าคงเป็นเพราะอ๋องเย่ดูแลเป็นอย่างดี” จักรพรรดิอวี้ตี้เลิกคิ้วและมองไปที่หนานกงเย่ที่เงียบงัน
หนานกงเย่หลับตาลงดูเหนื่อยล้าและไม่พูดอะไร
จักรพรรดิอวี้ตี้เห็นว่าเขาดูท่าทางไม่สนใจและไม่แยแสจึงได้แต่ส่ายพระพักตร์และตรัสว่า “เจ้านี่นะ ข้าตามใจเจ้ามากเกินไปแล้ว!”
หนานกงเย่จ้องมองไปที่องค์จักรพรรดิโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดนั้นราวกับว่าเขาไม่ได้ยิน
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องเป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่มีเรื่องอาณาจักรใดๆ นอกจากครอบครัว
อย่างน้อยหนานกงเย่ก็เป็นแบบนี้ ส่วนจักรพรรดิอวี้ตี้ แม้ว่าเขาจะไม่จริงใจ ใบหน้าของเขาก็เป็นแบบนั้น
“พระชายาเย่ เงยหน้าขึ้นหน่อยสิ” จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสขึ้นจึงทำให้ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น
จวินเซียวเซียวตกตะลึงครู่หนึ่ง และความเขินอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สวยงาม “พระชายาเย่ ไม่เจอกันนานเลย!”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีความทรงจำใดเลย ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็ไม่เคยเห็นจวินเซียวเซียว
“พระสนมเอกเซียวเคยเจอหม่อมฉันหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างใจเย็น
“เคยเจอกันเมื่อตอนยังเป็นเด็ก ก่อนสิบขวบอีก ตอนนั้นยังเล่นด้วยกันอยู่เลย พระชายาเย่คงจะจำไม่ได้เสียแล้ว” จวินเซียวเซียวหัวเราะอย่างนุ่มนวลและดูราวกับเด็ก
นางยังมีอายุน้อยก็ทำให้มีความสาวสวยเป็นทุนเดิมโดยธรรมชาติ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างเขินอาย “หม่อมฉันจำไม่ได้แล้วเพคะ พระสนามเอกเซียวได้โปรดให้อภัยด้วยเพคะ!”
“ไม่เป็นไรหรอก”
จนถึงเวลานี้บรรยากาศยังคงงเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ภายในใจของฉีเฟยอวิ๋นนั้นกลับเต้นแรงราวกับกลอง คนอย่างจวินเซียวเซียวนั้น หรือน้องสาวของนางจะเป็นคนซื่อสัตย์งั้นหรือ?
จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสว่า “ช่วงนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยล้ามาก เคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของพระชายาเย่ เช่นนั้นแสดงให้ข้าเห็นได้หรือไม่?”
ฉีเฟนอวิ๋นที่กำลังรออยู่นั้น ก็รีบทำการรักษา รักษาเสร็จจะได้รีบกลับออกไป
ไม่มีเวลามากพอที่จะทำตัวเสแสร้งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของพวกเขา
เธอลุกขึ้นยกมือและกล่าวว่า “เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับหม่อมฉันเพคะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้เปิดแขนเสื้อและวางมือลง
ฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาใกล้และนั่งลงเพื่อตรวจสอบชีพจรของจักรพรรดิอวี้ตี้
การตรวจสอบชีพจรเริ่มขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นดึงมือของเธอกลับ ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “ฝ่าบาทเพียงแค่บรรทมดึกเกินไปเพคะ ต่อจากนี้เพียงแค่บรรทมเร็วขึ้นเพคะ”
“อืม”
จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองไปที่จวินเซียวเซียว “วันนี้พระสนมเอกต้องไปคารวะพระพันปี พวกเจ้าก็กลับไปกันเถอะ”
“น้องกราบทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
“หม่อมฉันกราบทูลลาเพคะ”
หนานกงเย่รู้สึกมีความสุข ลุกขึ้นกล่าวลาและเดินออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเขาและออกจากตำหนักจิ่นซิ่วไปด้วยความกังวลใจ
เกรงว่าฮองเฮาจะปรากฏตัวออกมาจับตัวเธอไป!
ได้ลูกของพระพันปีมาครองแล้ว แถมยังได้เข้าไปที่ตำหนักจิ่นซิ่วอีก
หากฮองเฮารู้แล้วจะคิดอย่างไร?
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปที่รถม้าและถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอนหลังและผล็อยหลับไป
หนานกงเย่มองดูผู้หญิงคนนี้ด้วยความเบื่อหน่ายจรดปลายเท้า เห็นได้ชัดว่านอนหลับได้อย่างน่าเกลียด แต่เขากลับไม่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญเลยสักนิด
ไม่นานมานี้ ความคิดของเขาจับจ้องมองมาที่เธอเสมอ เธอโยนขวดเคลือบดินเผาที่ลานหลังจวนในตอนกลางคืน เขาไม่รู้สึกเสียดายกับเงินที่จ่ายออกไปเกี่ยวกับการทำเตาเผา แต่กังวลว่าเธอจะถูกเศษแหลมคมทิ่มเข้าที่นิ้วมือ
หนานกงเย่ขมวดคิ้วและไม่นานก็หลับตาพักผ่อนลงครู่หนึ่ง
เมื่อรู้สึกว่ามีร่างพลิกตัวและจับเท้าของเขา หนานกงเย่ก็ลืมตาขึ้นและมองอย่างไม่ลังเล เขาลุกขึ้นและยกมือพยุงเธอขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาและฉีเฟยอวิ๋นก็ลืมตาขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองหนานกงเย่ด้วยความงงงวย
เมื่อทั้งสองจ้องมองตากัน หนานกงเย่ก็บีบคางของฉีเฟยอวิ๋น “ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการที่จะมีพระชายารอง”
หลังจากพูดจบก็ก้มลงไปจูบ ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วเบาๆ การเคลื่อนไหวนั้นตื้นลึกสลับกันไป และทั้งสองก็กอดกันและกลิ้งไปในรถ
ร่างกายภายในของฉีเฟยอวิ๋นเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจะแตกออกจากเปลือกของเธอ
หนานกงเย่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ฉีเฟยอวิ๋นกอดรัดรอบร่างกายของเขา และรู้สึกรีบร้อนมากกว่าเขา
“ไม่ต้องอายหรอก!”
เมื่อผลักใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นออก หนานกงเย่ถึงกับหายใจด้วยความหอบ
ฉีเฟยอวิ๋นหรี่ตาลงเล็กน้อย หัวใจของเธอรู้สึกว่างเปล่า เธอไม่สามารถลืมตาได้ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอแดงก่ำ และความรู้สึกไม่สบายในร่างกายของเธอทำให้ฉีเฟยอวิ๋นหลั่งน้ำตาออกมา
ใบหน้าของหนานกงเย่แดงก่ำ นัยน์ตาเป็นประกาย วิตกกังวลและรำคาญใจ “ข้าเพียงแค่ต้องการมีอะไรกับพระชายาของข้า หรือนี่เป็นเรื่องที่ผิดหรือ?”
ผู้หญิงคนนี้ไม่ชอบเขา หนานกงเย่มองออกอย่างชัดเจน เมื่อเห็นเธอกำลังร้องไห้ เขาก็ไม่รู้สึกโกรธ
เมื่อทั้งสองจ้องมองดูกันและกัน ฉีเฟยอวิ๋นก็เลียปลายลิ้นของเธอ “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย!”
อธิบายไม่ถูกว่าเป็นเช่นไร ราวกับว่าร่างกายไม่ใช่ของเธอ
เดิมทีเธอต้องการอธิบายข้อเท็จจริง แต่เธอพูดด้วยน้ำเสียงวิงวอน
หนานกงเย่ก้มศีรษะลงและจูบเธอ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกสบายขึ้นและเธอก็ไม่ลืมที่จะจูบตอบเขากลับ
เมื่อเห็นข้าวดิบหุงสุกเป็นข้าวสวย รถม้าก็หยุดชะงัก
หนานกงเย่ขมวดคิ้ว “อาอวี่…”
“ถึงแล้วขอรับท่านอ๋อง” อาอวี่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ระยะทางก็สั้นเพียงเท่านี้
“วนไปรอบๆ”
หนานกงเย่สั่งออกไป แต่อาอวี่กลับไม่ขยับ
“ท่านอ๋องขอรับ มีแขกขอรับ”
ฉีเฟยอวิ๋นสงบลงในเวลานี้และกำลังยุ่งกับการปัดเสื้อผ้าให้ เธอลงจากบนตัวของหนานกงเย่ และรีบร้อนออกจากรถม้าไป
เมื่อเธอเดินลงจากรถม้า เธอจึงได้เห็นว่าใครมาหา
หากไม่ใช่จวินฉูฉู่และท่านอ๋องตวนแล้วจะเป็นใครไปได้?
รถม้าของท่านอ๋องตวนหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนท่านอ๋องเย่ ท่านอ๋องตวนสวมชุดสีน้ำเงินและคลุมด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีเทา ข้างๆ พระองค์คือจวินฉูฉู่ ซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีเดียวกับพระองค์
จวินฉูฉู่ดูเหมือนจะหายเป็นปกติแล้วนาง ยืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างสงบ
ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้า และยังไม่ทันได้เดินจากไป หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ครู่หนึ่ง หนานกงเย่ ก็ลงจากรถม้าเช่นกัน
เดิมทีต้องการที่จะลงมาเพื่อชำระล้างบัญชีกับฉีเฟยอวิ๋น แต่เมื่อลงจากรถม้าก็พบกับจวินฉูฉู่และหนานกงเยี่ยนเข้า จึงทำให้เขาระงับอารมณ์กับเรื่องของฉีเฟยอวิ๋น
“ทำไมพี่รองถึงมีเวลามาถึงที่นี่ได้?” หนานกงเย่พูดขณะจัดเสื้อผ้าที่ยับไม่เข้าที่
หัวใจของจวินฉูฉู่ราวกับถูกทิ่มแทงด้วยมีดแหลมคม ทำอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ ฉีเฟยอวิ๋นที่มีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ ทำอย่างไรถึงดึงดูดความสนใจของหนานกงเย่ไว้ได้
“วันนี้มาเพื่อพูดคุยเรื่องราวเมื่อครั้งก่อนโดยเฉพาะ ข้าและจวินฉูฉู่มาในวันนี้ก็เพื่อไขข้อสงสัยก่อนหน้านี้และทั้งสองครอบครัวก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน” ท่านอ๋องตวนกล่าวขณะจูงมือของจวินฉูฉู่เดินเข้าไปตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่
หนานกงเย่ไม่ได้คิดอะไร และกล่าวอย่างเรียบๆ “ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องอะไร ยังมีอะไรให้ต้องพูดอีกหรือ พี่รองก็คิดมากเกินไป”
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มอย่างแผ่วเบา นี่กำลังเล่นละครบทไหนกันหรือ?
“ในเมื่อไม่มีอะไร งั้นก็เชิญพระชายาเย่ตรวจดูร่างกายให้จวินฉูฉู่เสียหน่อย” ท่านอ๋องตวนกล่าวอย่างไม่เกรงใจ ในเมื่อไม่มีอะไรเขาจึงพูดออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นสาปแช่งในใจของเธอ และสุดท้ายก็มีจุดมุ่งหมายจริงๆ
“พระชายาตวนเจ็บป่วยหรือ?” หนานกงเย่ประหลาดใจ
“ใช่ เกี่ยวกับเรื่องทายาทผู้สืบสกุล” ท่านอ๋องตวนมีความกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระองค์ได้ทรงอภิเษกสมรสมาแล้วระยะหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อันที่จริงก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก แต่เมื่อไม่นานมานี้หมู่เฟย (มารดาที่เป็นสนม) ได้ถามไถ่ถึงเรื่องนี้ขึ้น และได้ส่งคนมาตรวจดู และไม่ใช่ปัญหาของเขา หมอหลวงกล่าวว่าฉูฉู่มีอาการมดลูกเย็น และไม่มีวิธีรักษาให้หายได้อย่างรวดเร็ว
หมู่เฟยจึงต้องการให้เขาเลือกพระสนม จึงจำเป็นต้องมาที่นี่
หนานกงเย่รู้สึกขบขันอยู่พักหนึ่ง “ร่างกายของพระองค์ก็ยังไม่ได้ปรับควบคุมให้ดี ยังไม่สามารถทรงครรภ์ได้ พี่รองก็เชื่อเรื่องเช่นนี้หรือ?”
“ว่าอย่างไรนะ?”
ท่านอ๋องตวนรู้สึกอึ้งไปชั่วขณะ!
และหันกลับมาจ้องมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างช้าๆ
ฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังคิดหาวิธีว่าจะปฏิเสธคำร้องขอของท่านอ๋องตวนอย่างไร เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงสมาชิกราชวงศ์ หากเธอบอกปฏิเสธออกไปเช่นนี้ และได้ยินไปถึงในวังเข้า อย่าว่าแต่องค์จักรพรรดิเลย พระมเหสีหวาก็จะเกลียดชังเธอด้วย และเป็นไปได้ที่จะมาซักไซ้เอาความกับเธอ อีกอย่างเธอและจวินฉูฉู่ก็มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กัน อย่างไรก็ดีความสัมพันธ์นี้แม้ไม่ค่อยลงรอยเท่าไรนัก แต่ต่อหน้าแล้วก็ต้องให้เรื่องมันผ่านไป
แต่การปฏิเสธของหนานกงเย่ก็อีกเรื่องหนึ่ง กลับกลายเป็นเรื่องระหว่างพี่น้องของพวกเขา บวกกับประโยคหนึ่งที่พระองค์ไม่สามารถให้กำเนิดได้…
จะว่าเป็นคำหยาบก็ไม่เชิงว่าเป็นคำหยาบ
ฉีเฟยอวิ๋นพอใจเป็นอย่างมาก และกล่าวว่า “ข้าจะบอกความจริง ร่างกายของข้าก็ไม่สู้ดีนัก เรื่องนี้ไม่สะดวกที่จะพูดออกไป แต่มันได้เกิดขึ้นจริง ถึงแม้ข้าจะเป็นหมอ แต่ข้าก็ไม่ได้รักษาได้ทุกอย่าง หากถ้ามีวิธี คนที่ควรได้รับการรักษาก่อนก็ควรจะเป็นตัวของข้าเอง!”
ใบหน้าของท่านอ๋องตวนเปลี่ยนไป เมื่อมองไปที่จวินฉูฉู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ภายในใจของจวินฉูฉู่ก็รู้สึกอยากหัวเราะมากขึ้น
ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ยุติธรรม นางไม่สามารถให้กำเนิดได้ แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับได้ดิบได้ดี?
“ท่านอ๋องตวน หม่อมฉันรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน ขอตัวกลับก่อนนะเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นแสดงสีหน้าเหน็ดเหนื่อย และหันหลังกลับไปยังจวนท่านอ๋องเย่
หนานกงเย่เหลือบมองเธอและมองไปที่อ๋องตวนและภรรยาของเขา “กลับกันเถอะ”
หนานกงเย่หันหลังกลับและเดินออกไป
ท่านอ๋องตวนยืนอยู่ที่ประตูและมองเข้าไปข้างใน แสดงความเห็นใจเล็กน้อยสำหรับความเจ็บป่วยในแบบเดียวกัน