หลังออกจากจวนอ๋องเย่ จวินฉูฉู่พลันคลี่ยิ้มอย่างหาได้ยาก ท่านอ๋องตวนก็รับรู้ถึงความรู้สึกในแง่ลบ
ฉูฉู่ทราบข่าวว่าพระชายาเย่ไม่อาจมีบุตรได้ก็ทำหน้าระรื่นปานนี้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านอ๋องตวนไม่อยากประสบพบเจอ
ฉุกคิดถึงถ้อยคำของเสด็จแม่ ท่านอ๋องตวนกล่าวด้วยความจนปัญญา “ฉูฉู่ยังจำรับสั่งของเสด็จแม่ได้หรือไม่”
จวินฉูฉู่เบนสายตามายังท่านอ๋องตวน ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะกล่าวว่า “จำได้เพคะ”
“เสด็จแม่ให้ข้าเลือกพระสนม เจ้าคิดดีหรือยัง?” ท่านอ๋องตวนกล่าวด้วยความอับจนหนทาง เดิมทีเขาไม่อยากรับปากเลยสักนิด แต่เป็นฉูฉู่ที่รับปากเอง
เขาไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย ถึงแม้จะไม่โต้เถียง ทว่าก็ไม่ควรผลันสามีใหม่ของตัวเองออกไปเช่นนี้
เขามีนางสนม นางไม่อิจฉาริษยาเลยหรือ?
ท่านอ๋องตวนไม่สบอารมณ์ ยากจะข่มอารมณ์ไว้ ทว่าก็ไม่อาจแสดงออกมา จึงได้แต่โยกย้ายทำการเคลื่อนไหวของรถม้า
จวินฉูฉู่กล่าวเพื่อแสดงความใจกว้าง เป็นคนมีคุณธรรม “ท่านอ๋องไม่ต้องกังวลหรอกเพคะ ฉูฉู่ทำเพื่อส่งเสริมท่านอ๋อง อนาคตท่านอ๋องก็ไม่ใช่จะมีเพียงหม่อมฉันคนเดียว เรื่องแต่งตั้งสนมคือหนทางที่จำเป็นต้องเดินเพคะ หากฉูฉู่ใส่ใจท่านก็ควรคำนึกถึงท่านเพคะ”
หัวใจท่านอ๋องตวนเจ็บแปลบถึงขีดสุด ทว่าไม่ได้พูดกระไร ผงกศีรษะกล่าวชื่นชมว่า “ฉูฉู่ช่างดีเหลือเกิน ข้าปลื้มใจยิ่งนัก”
จวินฉูฉู่แอบขำอยู่ในใจ ใครใช้ให้ท่านตามตัวติดกับข้าทั้งวี่ทั้งวันล่ะ?
เป็นบุรุษเพศแท้ๆ แต่กลับไม่ทำการทำงาน มัวแต่าคลอเคลียกับสตรี ช่างไม่เอาไหนเสียจริง
สำหรับเรื่องแต่งตั้งสนม นางเคยใส่ใจที่ไหน?
ขอเพียงไม่ใช่บุตรสาวสกุลจวิน นางเคยกลัวใครซะเมื่อไหร่?
ฉีเฟยอวิ๋นรับปากพระพันปีว่าจะทำของถวายสามสิ่ง บัดนี้ส่งถวายแล้วสองสิ่ง อย่างที่สามนั้นง่ายกว่ามากมาย และไม่จำเป็นต้องรีบทำ
กว่าจะมีเวลาว่างนั้นไม่ง่ายเลย ฉีเฟยอวิ๋นคิดจะกลับไปพักที่จวนแม่ทัพสักระยะหนึ่ง
จะได้คลายความตึงเครียดของนางได้บ้าง
หลังเก็บของเสร็จสรรพ ฉีเฟยอวิ๋นก็อุ้มจิ้งจอกหางสั้นออกจากห้อง เตรียมออกจากจวน
เมื่อเดินมาถึงประตูสวนดอกกล้วยไม้ก็ถูกหนานกงเย่ขัดกั้น
เห็นนางแบกกล่องยาพร้อมกับอุ้มจิ้งจอกหางสั้น หนานกงเย่พลันรู้สึกฉงนสนเท่ห์ “เวลานี้แล้วยังคิดออกไปหรือ?”
“ทูลท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากกลับบ้านเพื่อดูสักหน่อยเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กล่าวความจริง หนานกงเย่ก็ไม่ได้คิดมาก นึกว่าฉีเฟยอวิ๋นกลับบ้านเฉกเช่นทุกครั้ง พอเอาสมุนไพรแล้วก็จะกลับจวนอ๋องเย่
หนานกงเย่โพล่งว่า “ให้อาอวี่ไปส่งเจ้า”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มจิ้งจอกหางสั้นเดินอ้อมไป จากนั้นก็ออกจากจวนอ๋องเย่
ช่วงนี้แม่ทัพฉีชอบมาชะเง้อมองที่หน้าประตูจวน เขาเป็นทาสบุตรสาว เขาจะแยกห่างจากบุตรสาวก็ต่อเมื่อนำทหารสู้รบต่างแดน ยามปกติหากไม่เจอหน้าสามวันก็จะทุกข์ทนมาก
ครั้งนี้ไม่เจอกันกว่าครึ่งเดือน แม่ทัพฉีกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำให้พ่อบ้านเป็นห่วงเขายิ่งนัก
หากฉีเฟยอวิ๋นยังไม่กลับมา พ่อบ้านก็คิดจะส่งคนไปที่จวนอ๋องเย่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพคงไม่ไหว
รถม้าจวนอ๋องเย่ปรากฏขึ้น แม่ทัพฉีก็รีบก้าวเท้าไปเบื้องหน้าหลายก้าว พลางเบิกตากว้างมองพิเคราะห์ อาอวี่ไม่ใช่สารถี แล้วจะเป็นใคร?
“อวิ๋นอวิ๋น” แม่ทัพฉีร้องเรียกราวกับเด็กอยู่นอกรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินพลันแหวกผ้าม่านรถม้าออก เมื่อรถม้าหยุด ฉีเฟยอวิ๋นก็กระโดดลงไปทันที
แม่ทัพฉีรีบประคองบุตรสาว ต้องอยู่กับความวิตกกังวลมาสักพัก ทำให้เขาเกือบร้องไห้ฟูมฟายออกมา
สิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นกลัวที่สุดก็คือแม่ทัพฉีร้องไห้ นางรีบส่งจิ้งจอกหางสั้นให้แม่ทัพฉี “ท่านพ่อเจ้าค่ะ ข้าหาเจอที่เนินเขาสิบลี้เจ้าค่ะ ท่านดูสิ สนุกมากเลยนะเจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นปลอบคนเก่ง ฉีเฟยอวิ๋นก็ไว้หน้านาง อุ้มจิ้งจอกหางสั้นมาลูบจับ “จิ้งจอกนี่ดีจริงแท้”
“อาอวี่ เจ้ากลับก่อนเถอะ บอกท่านอ๋องว่าข้าพักช่วงหนึ่งแล้วจะกลับไป”
ฉีเฟยอวิ๋นโบกมือ สั่งการเสร็จก็เข้าจวนแม่ทัพทันที
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มไม่หยุดหย่อน สั่งให้ข้ารับใช้รีบเตรียมอาหารอร่อยให้ฉีเฟยอวิ๋น สองพ่อลูกเดินเข้าประตูพูดคุยกัน
อาอวี่ลังเลอยู่ด้านนอกสักพัก จากนั้นก็รีบขับรถม้าไปรายงานหนานกงเย่
ได้ยินอาอวี่กล่าว หนานกงเย่โกรธเกรี้ยวด้วยหลายสาเหตุ มันชัดเจนมากว่ากำลังหลบเขาอยู่ ออกจากจวนแล้วไม่คิดกลับมาเชียวหรือ
“ไม่ต้องให้นางกลับมาอีก”
หนานกงเย่คร้านจะสนใจ สตรีผู้นี้ไม่บันยะบันยังจริงๆ ยังไม่ได้รับอนุญาตจากสามี คิดจะกลับบ้านแม่ก็กลับ ไม่รู้จักกฎเกณฑ์เสียเลย
อาอวี่ยืนแน่นิ่งอยู่หน้าประตู ไม่ได้เอ่ยคำใด ท่านอ๋องรับสั่งจริงหรือว่าแค่พูดไปงั้นๆ?
หลังกินอาหารเสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นก็ยุ่งอยู่ในห้องจนถึงเวลาพักผ่อน เดิมทีคิดว่าพักหนึ่งคืนแล้ว รุ่งเช้าค่อยไปหาสมุนไพร ทว่าคิดไม่ถึงว่าค่ำคืนนี้จะมีคนชุดดำมาเยือน
ถึงแม้ฉีเฟยอวิ๋นจะไม่ใช่คนหูตาว่องไว ทว่าก็เคยตะลอนอยู่ด้านนอกหลายปี ถึงแม้นางจะหลับแล้วก็ยังรู้ว่าบนหลังคามีคน คาดว่าคงจะเป็นคนยุทธภพสินะ
นางรีบเอากริชออกจากใต้หมอน เตรียมตัวรับศึกทันที
กระเบื้องหลังคาขยับ จิ้งจอกหางสั้นก็แยกเขี้ยวทันควัน หากฉีเฟยอวิ๋นหลับไม่รู้สึกตัว ไม่รับรู้ว่าเภทภัยจะเข้าหา แต่จิ้งจอกหางสั้นก็รับรู้ได้
ฉีเฟยอวิ๋นทำท่าบอกไม่ให้ส่งเสียง เงยหน้ามองหลังคา คนบนหลังคาใช้น้ำหนักเบามาก คล้ายกับขนนกร่วงหล่นใส่ที่กระเบื้องอย่างไรอย่างนั้น ทว่าเขาไม่ได้ลงโดยตรง แต่ไปที่ลานบ้านแล้วคิดจะเข้าทางประตู
ฉีเฟยอวิ๋นเลยนอนรออยู่บนเตียงเสียเลย ไม่นานประตูก็ถูกผลักเข้ามา เงาร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากประตู
ยามที่เข้าใกล้ ฉีเฟยอวิ๋นพลันจุดไฟ อีกฝ่ายเบี่ยงหน้าหนี พร้อมกับใช้มือบังหน้า แต่ถึงแม้เขาไม่ใช้มือบดบัง เขาสวมชุดดำทั้งตัว ทั้งยังคลุมหน้าไว้ด้วย ฉีเฟยอวิ๋นก็ยังคงไม่เห็นหน้าเขาอยู่ดี
ได้แต่วิเคราะห์ผ่านรูปร่างว่า เขาผู้นี้ต้องเป็นบุรุษหนุ่มวัยแน่นอน
และจากการกระทำที่บังหน้าของเขาทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่า นางต้องรู้จักคนนี้แน่นอน มิฉะนั้นคงไม่คิดจะปกปิดเมื่อนางจุดไฟหรอก
การกระทำนี้เป็นการตอบสนองด้วยสัญชาตญาณ ชาติก่อนฉีเฟยอวิ๋นเคยฝึกฝนพิเศษมา หนึ่งในนั้นก็คือทดสอบการตอบสนองด้วยสัญชาตญาณ
ฉีเฟยอวิ๋นลงจากเตียง มือถือกริชสั้นพร้อมกับถามว่า “เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงบุกเข้าจวนแม่ทัพยามวิกาล?”
ฉีเฟยอวิ๋นชี้กริชไปยังคนชุดดำ คนชุดดำไม่แยแสถ้อยคำของฉีเฟยอวิ๋น เขาเอาแส้ออกจากด้านหลัง ก่อนจะสะบัดไปยังฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นพลิกตัวหลบ จิ้งจอกหางส้นกระโจนเข้าไปอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าที่พื้น พลางหายใจหอบ
ร่างกายนี้ไม่เอาไหนจริงๆ ถึงแม้จะขัดพิษออกจากตัวแล้วก็ยังไร้กำลังวังชาอยู่ดี
เกรงว่าใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจฟื้นฟูพละกำลังของนางในชาติก่อนได้
คนชุดดำกับจิ้งจอกหางสั้นปะทะกัน ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม ตะโกนร้องว่า “มีผู้ร้าย”
ด้านนอกจวนแม่ทัพพลันสว่างราวกับตอนกลางวัน ต่อด้วยมีเสียงอึกทึกตามมา
ผู้มาเยือนหันไปมองด้วยความร้อนรนปราดหนึ่ง อย่างไรก็ไม่เต็มใจ ปลีกตัวออกจากจิ้งจอกหางสั้นแล้วทะยานเข้าใส่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นที่หลบไม่ทันโดนอีกฝ่ายปล่อยหนึ่งฝ่ามือบนไหล่ นางยืนไม่มั่นคง ต้องล้มอยู่กองกับพื้น
ด้านนอกมีคนวิ่งเข้ามา คนชุดดำบินเหาะสู่ท้องฟ้าแล้วหยุดที่หลังคา จากนั้นก็หนีหายไป
แม่ทัพฉีเดินเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นกระอักเลือดออกจากปาก เดิมทีคิดจะฟื้นกายาจนกว่าแม่ทัพฉีจะมาถึง ทว่าก็ไม่อาจทำได้ หมดสติอยู่บนพื้น
“อวิ๋นอวิ๋น หมอประจำจวนมาเร็วๆ”
แม่ทัพฉีรีบเดินเข้าไปด้วยความรีบร้อน จากนั้นก็อุ้มฉีเฟยอวิ๋นไว้ที่เตียง
พ่อบ้านไปเรียกหมอประจำจวนด้วยความเร่งรีบ จวนแม่ทัพเกิดความชลมุนในชั่วพริบตา
หมอประจำจวนมาถึงตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นอย่างเร็วไว ลำดับแรกเขาให้ฉีเฟยอวิ๋นกินยาห้ามเลือดก่อน เมื่อห้ามเลือดสำเร็จ แต่กลับกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพขอรับ เส้นเลือดในหัวใจของคุณหนูฉีกขาดขอรับ”
“หา?”
ฉีเฟยอวิ๋นสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจจนหน้าซีดเผือด “เร็ว เข้าวังกราบทูลฝ่าบาทให้ส่งหมอหลวงมา”
แม่ทัพฉีมือไม้อ่อนไปหมด เผชิญเรื่องที่เกี่ยวกับฉีเฟยอวิ๋นเมื่อไหร่ เขามีอันต้องกระวนกระวายทำตัวไม่ถูกทุกครั้ง
ฉีเฟยอวิ๋นห้ามพ่อบ้าน “ช้าก่อน ไปเชิญท่านอ๋องเย่ที่จวนอ๋องเย่ก่อน ให้เขามารับตัวข้ากลับไป”
ฉีเฟยอวิ๋นให้คนในจวนแม่ทัพรู้เรื่องนางสามารถรักษาตัวให้หายเองได้ ณ ตอนนี้จะให้เกิดเหตุสุดวิสัยใดๆเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้
ได้แต่ขอความช่วยเหลือจากหนานกงเย่แล้ว
นางประมาทเลอเลินเกินไป เดิมทีคิดว่าคนยุทธภพไม่ปรากฏนานครึ่งเดือนแล้ว นางมาที่นี่คงไม่บังเอิญเจอขณะนั้นหรอก แต่เหนือความคาดหมายคือมีคนรอนางอยู่ที่นี่
“เวลาหน้าเสี่ยวหน้าขวานอย่างนี้ยังคิดจะหวังพึ่งไอ้สารเลวนั้นอีกเหรอ?” แม่ทัพฉีกระวนกระวายใจราวกับมีไฟแผดเผา ตัดสินใจไม่ได้
“ท่านพ่อ เขาดีกับลูกมาก ท่านรีบไปเชิญเขาเถอะ มีเพียงเขาที่ช่วยลูกสาวได้ เขาสามารถให้ข้าฟื้นจากความตายได้”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง เพียงไม่กี่ประโยคก็สลบไปเสียแล้ว
ตัวนางสลบไสลไม่ไหวติง ทำให้แม่ทัพฉีตกใจไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก สั่งให้พ่อบ้านส่งคนไปเชิญหนานกงเย่ที่จวนอ๋องเย่