กว่าจะทราบว่าฉีเฟยอวิ๋นประสบอุบัติเหตุ หนานกงเย่ก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว ในตอนนั้นอาอวี่ร้องตะโกนโหวกเหวกอยู่ด้านนอกห้องบรรทม “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่ลืมตาโพล่ง เขาลุกขึ้นและกระชับอาภรณ์ให้เรียบร้อยก่อนจะเดินออกไปจากห้องบรรทม
“เกิดอะไรขึ้น”
“พระชายาถูกลอบทำร้ายที่จวนท่านแม่ทัพและหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ
“ไอ้พวกสารเลว!”
หนานกงเย่รีบออกจากจวนและมุ่งหน้าไปยังจวนท่านแม่ทัพทันที
พ่อบ้านรออยู่ที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหนานกงเย่เขาก็แทบจะร้องไห้ออกมา เพราะกลัวเหลือเกินว่าหากท่านอ๋องเย่ไม่มา พวกเขาอาจจะต้องสูญเสียคุณหนูไปตลอดกาล
“ท่านอ๋องเย่ เร็วเข้าเถิด!”
พ่อบ้านไม่สนใจเรื่องมารยาทอีกต่อไป เขาหันกลับและเดินนำหนานกงเย่ไปยังห้องส่วนตัวของฉีเฟยอวิ๋นทันที
เมื่อเข้ามาในห้อง หนานกงเย่ก็มองไปที่เตียงและพบว่าท่านแม่ทัพฉีกำลังนั่งกุมมือฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้พลางมองนางด้วยดวงตาที่เศร้าโศก
เหล่าหมอประจำจวนต่างวุ่นเป็นพัลวันอยู่ในห้อง
“อวิ๋นอวิ๋น”
เมื่อหนานกงเย่เดินไปหยุดตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น หมอประจำจวนจึงหลบฉากออกมา
ท่านแม่ทัพฉีเองก็เริ่มได้สติ “อวิ๋นอวิ๋นหลับสบายแล้ว ท่านกลับไปเสียเถิด”
ชีพจรของนางหายไปแล้ว ท่านแม่ทัพฉีเองก็โศกเศร้าสิ้นแรงกำลังจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
ทว่าเขาไม่ต้องการเห็นหน้าหนานกงเย่ หากไม่ใช่เพราะบุตรสาวเพิ่งสิ้นลมหายใจ เขาคงจะทำให้หนานกงเย่เสียเลือดเสียเนื้อเสียตรงนี้เดี๋ยวนี้
แต่ถึงอย่างไรบุตรสาวของเขาก็เป็นห่วงหนานกงเย่มาเสมอ เพื่อให้บุตรสาวผู้เป็นที่รักจากไปอย่างสงบ แม่ทัพฉีจึงไม่คิดจะรบกวนบุตรสาวของเขา
เขาต้องกลั้นน้ำตาไว้มากมายขณะที่กล่าวออกไปแบบนั้น
หมอประจำจวนต่างก้มหน้าลงและยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
ท่านแม่ทัพรักบุตรสาวมาก ไม่ว่าจะอยู่ในสนามรบหรืออยู่ภายใต้คมดาบ ไม่ว่าจะต้องอยู่ท่ามกลางศัตรูกี่ร้อยกี่พันคน เขาก็ไม่เคยแสดงสีหน้าใดๆ ออกมา มีเพียงแค่กับคุณหนูเท่านั้นที่เขาไม่เคยปิดบังความรู้สึก
ผู้คนในจวนแม่ทัพล้วนกำลังตกอยู่ในความอ่อนไหว
หนานกงเย่คร้านจะใส่ใจ เขายื่นออกมาทดสอบลมหายใจของฉีเฟยอวิ๋นและพบว่านางสิ้นลมไปแล้วจริง ๆ
หนานกงเย่ก้มลงไปอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา “ข้าจะจัดการเรื่องของอวิ๋นอวิ๋นเอง หากท่านพ่อตามีเรื่องใดก็โปรดไปหาข้าที่จวน”
หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นออกมา ท่านแม่ทัพฉีไม่ได้ดึงรั้งเขาไว้ แต่ตะโกนด้วยความโมโหว่า “ไอ้สารเลว คืนนางให้ข้าเดี๋ยวนี้”
หนานกงเย่ก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อออกจากประตูไปแล้วจึงแทรกตัวเข้าไปในรถม้าทันที
“อาอวี่ กลับจวน”
อาอวี่ขึ้นรถม้าและรีบบังคับม้ากลับไป
ทันทีที่จิ้งจอกหางสั้นเห็นฉีเฟยอวิ๋นออกมา มันก็กระโดดขึ้นไปบนรถม้าและแทรกตัวเข้าไปด้านใน
ด้วยความกลัวว่าฉีเฟยอวิ๋นจะเป็นอะไรไป จิ้งจอกหางสั้นจึงส่งเสียงร้องอยู่ที่หน้าประตู มันเดินวนเวียนไปมา อยากเข้าไปใกล้แต่ก็ไม่กล้า แต่ยิ่งอยู่ห่างมันก็ยิ่งเป็นห่วง
หนานกงเย่เงยหน้าและชำเลืองมอง “ไม่ต้องกังวล นายของเจ้าจะไม่เป็นอะไร ถ้าเจ้ากังวลก็เข้ามาสิ”
เมื่อได้รับอนุญาต จิ้งจอกหางสั้นจึงส่งเสียงเล็กแหลมออกมาและเดินไปอยู่ข้างกายฉีเฟยอวิ๋น สายตาที่มองนางช่างดูน่าสงสารและแฝงไว้ด้วยความกลัวมิใช่น้อย
ท่านแม่ทัพไล่ตามออกมาถึงนอกจวนและต้องการจะไล่ตามต่อ จนพ่อบ้านเฒ่าต้องรั้งตัวเอาไว้ “ท่านแม่ทัพ สองขาของท่านจะไล่ตามรถสี่ขาสองล้อของพวกเขาได้อย่างไร”
“เตรียมม้า”
ท่านแม่ทัพน้ำตาไหลริน อวิ๋นอวิ๋นมาจากไปอย่างไม่คาดคิด เขาเองก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
ในรถม้า
หนานกงเย่โอบกอดร่างของฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ เมื่อเปิดเสื้อของนางดูจึงพบว่าบาดแผลบนไหล่ของนางกำลังจางหายไป และใบหน้าที่ซีดขาวก็ค่อยๆ กลับมามีสีแดงระเรื่อ
ในที่สุดเขาก็ค่อยคลายความกังวลลงได้
ครั้งนี้ฉีเฟยอวิ๋นฟื้นตัวเร็ว ทว่านางก็ฝันอย่างหนึ่ง ในฝันนั้นนางเห็นว่าซูมู่หรงเสียชีวิต
และเขาก็เสียชีวิตอย่างอนาถจากการซุ่มโจมตีของคนกลุ่มหนึ่ง
คราวนี้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเป็นทุกข์และปวดใจจนตัวสั่น
ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา ฉีเฟยอวิ๋นก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ หนานกงเย่กระชับอ้อมแขน ความกังวลฉาบฉายขึ้นในดวงตา
“อวิ๋นอวิ๋น”
ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาด้วยความงุนงงและมองใบหน้าที่ค่อยๆ ชัดเจนของหนานกงเย่
“ท่านอ๋อง”
“ฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว ข้าประมาทไป”
ในที่สุดหนานกงเย่ก็คลายกังวลและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก
ไม่รู้ว่าตั้งเมื่อไหร่ที่สตรีผู้นี้เข้ามาอยู่ในความคิดคำนึงของเขา
ฉีเฟยอวิ๋นพยายามจะลุกขึ้น แต่หนานกงเย่ยังคงกอดนางไว้ไม่ยอมปล่อย “นอนลงเถิด ข้าไม่เมื่อย”
“อื้ม”
จิ้งจอกหางสั้นซุกตัวเข้าไปใต้ฝ่ามือของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นลูบขนฟูๆ ของมันและกล่าวว่า “ขอบใจเจ้ามากนะ ถ้าไม่ได้เจ้า ข้าคงจะเจ็บหนักยิ่งกว่านี้”
จิ้งจอกหางสั้นส่งเสียงเล็กแหลมสองครั้งก่อนจะซุกตัวหมอบอยู่ข้างๆ
ฉีเฟยอวิ๋นเอนกายลง หนานกงเย่จัดแจงเสื้อผ้าให้นางก่อนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาจึงขมวดคิ้วและมองออกไปนอกรถม้า
“ดูเหมือนพวกเขาจะยังไม่ยอมแพ้”
แต่จิตใจของฉีเฟยอวิ๋นกลับค่อนข้างสงบด้วยเหตุผลที่ว่าร่างกายของนางไม่ไหวแล้วจริงๆ และเหตุผลอีกอย่างก็คือหนานกงเย่พูดถูกเป็นอย่างยิ่ง
รถม้าหยุดลงอย่างกะทันหัน ม้าก้าวถอยหลังและรถม้าก็เริ่มโคลงเคลง
อาอวี่จ้องมองท่านแม่ทัพฉีซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าตัวสูงตระหง่านตรงหน้าเขา คนก็เก่งม้าก็แกร่ง ม้าของท่านแม่ทัพทำให้ม้าของเขาหวาดกลัวมิใช่น้อยเลยทีเดียว
ม้าของเขาเอาแต่ก้มหัวและก้าวถอยหลัง!
ราวกับเด็กน้อยที่กำลังทำความเคารพเมื่อพบเจอผู้หลักผู้ใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
บ้าชะมัด!
“ท่านแม่ทัพฉี”
อาอวี่รีบประสานมือคารวะ ท่านแม่ทัพฉีเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “ส่งตัวอวิ๋นอวิ๋นมาให้ข้า”
หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งนั่นทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเคอะเขิน “ท่านพ่อเพียงแต่เป็นห่วงข้า ท่านอ๋องอย่าล้อเล่นสิเจ้าคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าตนเองสบายดีแล้วจึงพยายามจะลุกขึ้น
นางรั้งเขาไว้และกล่าวว่า “อาอวี่ ยกม่านขึ้นที”
ฉีเฟยอวิ๋นถูกบังคับให้นอนลง ในขณะที่อาอวี่รีบหันกลับมาเปิดม่านบนรถม้าให้
“ท่านพ่อ”
เสียงเรียกท่านแม่ทัพฉีของฉีเฟยอวิ๋นที่ดังออกมาจากในรถม้าทำให้ท่านแม่ทัพตื่นเต้นมาก “อวิ๋นอวิ๋น เจ้าไม่เป็นไรแล้วหรือ”
“ลูกไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ ต้องขอบคุณยาอายุวัฒนะของท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นอธิบาย
ท่านแม่ทัพฉีลงจากหลังม้าและมุ่งตรงไปยังรถม้า จากนั้นจึงเข้าไปด้านในและดึงตัวฉีเฟยอวิ๋นออกมา
มือของหนานกงเย่เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า และนั่นทำให้เขาไม่พอใจมาก
หนานกงเย่เงยหน้าขึ้น “ท่านแม่ทัพฉี…”
“ท่านอ๋อง เวลานี้อากาศเย็นมาก กลับจวนกันก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” ฉีเฟยอวิ๋นตระหนักได้ว่าหนานกงเย่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ นางเองก็ไม่ปรารถนาจะให้เกิดการโต้เถียงขึ้นที่นี่ อยากกลับจวนให้เร็วที่สุด
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นนิดหนึ่ง จากนั้นจึงตอบอย่างไม่เต็มใจนักว่า “กลับสิ”
เมื่อม่านปิดลง อาอวี่ก็รีบบังคับรถม้าไปยังจวนอ๋องเย่ โดยมีม้าของท่านแม่ทัพควบตามมาติดๆ
อาอวี่รู้สึกเหลือเชื่อมาก แม้ว่าม้าตัวนี้จะเป็นม้ามีชื่อ แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะแสนรู้ถึงเพียงนี้
หนานกงเย่ลงจากรถมาเป็นคนแรกเมื่อมาถึงจวนอ๋องเย่ ท่านแม่ทัพฉีอุ้มฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถ แต่หนานกงเย่เข้ามารับตัวนางไว้
ท่านแม่ทัพฉีไม่ยอมปล่อยและมองหนานกงเย่อย่างไม่พอใจ
“ท่านพ่อ ถ้าท่านอุ้มข้าไปคงจะลำบากมิใช่น้อย ให้ท่านอ๋องอุ้มข้าไปเถิด แล้วเดี๋ยวให้คนในจวนมาดูแลท่าน” เมื่อฉีเฟยอวิ๋นออกปาก ท่านแม่ทัพฉีจึงยอมส่งฉีเฟยอวิ๋นให้หนานกงเย่
แค่ฉีเฟยอวิ๋นไม่เป็นอะไรท่านแม่ทัพฉีโล่งใจที่สุดแล้ว แม้ว่าในใจจะยังครุ่นคิดถึงความแปลกประหลาดของเรื่องนี้ แต่ในอดีตเขาก็เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นแม่ทัพฉีจึงพอจะสงบจิตสงบใจได้บ้าง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขากลัวว่าคนในจวนจะไม่ต้อนรับ หลังจากวันนี้เขาคงต้องฟังคำพูดของลูกสาวบ้างเสียแล้ว
หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในจวน
อาอวี่ส่งรถม้าให้คนในจวนจัดการต่อและรีบเดินนำท่านแม่ทัพฉีเข้าไปข้างใน
หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปวางลงในห้องของเขา จากนั้นจึงถามว่า “ต้องให้ข้าเรียกหมอในจวนหรือไม่”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
“อืม”
จากนั้นหนานกงเย่จึงสั่งไปว่า “เพิ่มมาตรการป้องกัน ดูแลความปลอดภัยของพระชายา ใช้กฎอัยการศึกในจวนอ๋องเย่ อย่าให้มีข้อผิดพลาดเด็ดขาด”
ณ เวลานี้ท่านแม่ทัพฉีรู้สึกสับสนงุนงงมิใช่น้อย เขานั่งมองหนานกงเย่และได้แต่สงสัยว่าแต่ก่อนชายผู้นี้รังเกียจบุตรสาวของเขามาก แต่เหตุใดวันนี้จึงกลับทำตามอย่างว่าง่าย
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านแม่ทัพฉีจึงค่อยสงบใจลง
“เตรียมชาให้ท่านแม่ทัพฉี”
หนานกงเย่ที่นั่งอยู่ข้างกายฉีเฟยอวิ๋นออกคำสั่งและมองท่านแม่ทัพฉีที่อยู่ตรงหน้า
ชายทั้งสองมองหน้ากันและกัน แม้ว่าต่างฝ่ายจะไม่พอใจกัน แต่บรรยากาศในวันนี้ก็ถือว่ายังมีความปรองดองอยู่บ้าง และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ท่านแม่ทัพฉีได้ทำตัวเหมือนอยู่ในเรือนของตัวเองเมื่ออยู่ในจวนอ๋องเย่แห่งนี้
ท่านแม่ทัพฉีกำลังครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ยาชนิดใดกันที่หนานกงเย่ใช้
หลังจากรับชามาถือไว้ ท่านแม่ทัพฉีจึงยกถ้วยชาขึ้นจิบ จากนั้นจึงถามฉีเฟยอวิ๋นว่า “อวิ๋นอวิ๋น เจ้าดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
“ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านอ๋อง…”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สะดวกใจที่จะกล่าวออกมา เพราะจวนท่านแม่ทัพเองก็อาจจะไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย
หนานกงเย่มีหรือจะไม่รู้สาเหตุ ดังนั้นจึงโบกมือเบา “ออกไปได้แล้ว พระชายากับท่านแม่ทัพฉีมีเรื่องต้องคุยกัน ไม่จำเป็นต้องมาปรนนิบัติรับใช้ อาอวี่ เจ้าคอยเฝ้าประตูไว้ อย่าให้ใครเข้ามารบกวนเด็ดขาด!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่ขานรับก่อนจะถอยออกไปจากห้อง ในไม่ช้าภายในห้องก็เหลือแค่พวกเขาสามคน ฉีเฟยอวิ๋นจึงเริ่มพูดอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ร่างกายของลูกมีความพิเศษ เหมือนกับเมื่อก่อนที่อาการบาดเจ็บบางอย่างรักษาหายได้เอง ท่านพ่อเองก็พอจะทราบเรื่องนี้”
“อืม” ท่านแม่ทัพฉีพยักหน้า แม้ว่าจะยังสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็เคยพบเห็นเรื่องราวน่าอัศจรรย์มาไม่น้อย แต่ด้วยความเป็นแม่ทัพ เขาจึงไม่ควรเชื่อเรื่องผีสางเทวดาเพื่อไม่ให้เรื่องเหล่านี้มาครอบงำและทำให้จิตใจของชายชาติทหารต้องไขว้เขว
แต่ท่านแม่ทัพฉีรู้ดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของบุตรสาว
เมื่อพูดถึงอารมณ์ของบุตรสาว มันมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากภายในชั่วข้ามคืน
ยิ่งไปกว่านั้นไอ้คนสารเลวที่อยู่ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน
ยังมีอะไรอีก ท่านแม่ทัพฉีไม่อยากจะเชื่อ
ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายต่อ “ท่านพ่อ ข้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นทราบเรื่องนี้ คนในจวนแม่ทัพก็ห้ามรู้เช่นกัน ป้องกันไว้เผื่อว่ามีใครเผลอเล่าเรื่องนี้ออกไปน่ะเจ้าคะ”
“อืม พ่อเข้าใจละ” ท่านแม่ทัพฉีจิบชาแล้วถามว่า “ช่วงนี้พวกท่านทั้งสองไม่ทะเลาะกันแล้วหรือ”
“…” ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ท่านพ่อชักจะถามตรงเกินไปเสียแล้ว
นางมองใบหน้าที่เคร่งขรึมของหนานกงเย่ แต่หนานกงเย่กลับไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจใดๆ ออกมา ตรงกันข้าม เขากลับเอ่ยอย่างสุภาพว่า “ในอดีตข้าไม่ค่อยปลาบปลื้มอวิ๋นอวิ๋นเท่าใดนัก แต่หลังจากสังเกตมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง แม้ว่าอวิ๋นอวิ๋นจะค่อนข้างซุกซน แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขมิได้ เพราะอย่างไรข้าก็สมรสกับอวิ๋นอวิ๋นแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก เขาดูเหมือนฝืนใจพูดออกมามากกว่า
ท่านแม่ทัพฉีเองก็ไม่ใช่คนเขลา เขาตบโต๊ะและกล่าวเสียงเย็นว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปกราบทูลองค์จักรพรรดิเพื่อขอให้พวกท่านทั้งสองหย่าร้างกัน ท่านอ๋องเย่จะได้ไปสมรสกับสตรีอื่นได้”
ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะลุกขึ้นโบกธงและตะโกนว่า ท่านแม่ทัพแข็งแกร่งมาก!
“ข้ามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับแล้ว เกรงว่าองค์จักรพรรดิก็แก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้ เหตุใดท่านพ่อตาจึงต้องพยายามแยกเราทั้งสองออกจากกันด้วย” หนานกงเย่ไม่ยอมแพ้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกใจคอเหี่ยวแห้ง ชายผู้นี้ช่างขี้น้อยใจเสียจริง
นอกจากนี้เขายังเรียกท่านแม่ทัพว่าท่านพ่อตา ช่างน่าชื่นชมยินดียิ่งนัก
ทว่าท่านแม่ทัพฉีไม่ได้ซาบซึ้ง “ฮึ!”
ท่านแม่ทัพฉีลุกขึ้นและออกไปข้างนอก “พรุ่งนี้ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
เมื่อเขาเดินออกไป พ่อบ้านก็รีบกุลีกุจอไปส่งที่หน้าจวน อาอวี่ควบม้าตามไปคอยคุ้มกันตลอดทางจนกระทั่งส่งท่านแม่ทัพฉีถึงจวน
หลังจากแม่ทัพฉีกลับถึงจวนแม่ทัพ เขาก็นอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเพราะเรื่องที่หนานกงเย่เรียกเขาว่าท่านพ่อตา
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน เพราะหนานกงเย่นอนอยู่ข้างกายของนาง นางจึงหลับไม่ลง
หลังจากพลิกตัวไปมาตลอดคืน ฉีเฟยอวิ๋นจึงรู้สึกง่วงและเข้าสู่ห้วงนิทราในตอนเช้า
เมื่อตื่นขึ้นมานางก็พบว่าตนเองกำลังกอดหนานกงเย่อยู่
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมาเมื่อตะวันเริ่มทอแสง ทันทีที่ลืมตาขึ้น นางก็รีบดึงมือออกจากเอวของหนานกงเย่อย่างรู้สึกจำใจเล็กน้อย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วปืนคงลั่นเข้าสักวันแน่
ฉีเฟยอวิ๋นลุกจากเตียงและถือโอกาสตอนที่หนานกงเย่ยังไม่ตื่นออกไปข้างนอกก่อน
แม้แต่อาหารเช้านางก็ไม่ออกมากิน ได้แต่ยืนเหม่อลอยอยู่ในห้อง
ขอแจ้งก่อนว่าเรื่องนี้อัพเดตจนจบนะคะ