ตอนที่ 139 นินทาลับหลัง
หยุนเชวี่ยจ้องสืออีอยู่นานแต่ไม่ได้ยอมตกลงด้วย จากนั้นจึงยกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นแขวนไว้บนบ่าและพูดว่า “ข้าจะกลับแล้ว”
สืออีเม้มปากแน่น แววตาที่ส่องประกายคาดหวังค่อย ๆ หม่นหมองลง
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่ยอมรับเจ้า?” หยุนเชวี่ยถามขึ้นมาหลังจากเงียบอยู่นาน
เจ้าหมาน้อยส่ายศีรษะ
“ดูสิ ข้าเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง หากพาชายหนุ่มเข้าบ้านโดยไม่มีเหตุผล พ่อแม่ของข้าคงจะไม่พอใจ อีกทั้งในหมู่บ้านยังมีคนพลุกพล่าน หากเห็นเรื่องเช่นนี้ พวกเขาต้องได้เรื่องไปนินทาแน่นอน ถูกต้องหรือไม่?” เมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของสืออี หยุนเชวี่ยจึงยอมอธิบายเหตุผล
สืออีพยักหน้าอย่างอ่อนโยน แม้มีเรื่องอยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้
“เจ้าอย่าได้เศร้าไปเลย พรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมือง ไปขอให้ผู้คนสืบหาดูว่ามีนายน้อยหายตัวไปในละแวกสิบลี้แปดเมืองบ้างหรือไม่ เจ้าจะต้องได้กลับบ้านแน่นอน” หยุนเชวี่ยปลอบใจ
สืออีก้มหน้าลงและผงกศีรษะอีกครั้ง ผมยาวสลวยลอดผ่านใบหูลงมา ทำให้ยิ่งดูโดดเดี่ยวและน่าสงสารกว่าเดิมเสียอีก
ใจของหยุนเชวี่ยสั่นไหวเล็กน้อยและชี้นิ้วไปที่ปากถ้ำ “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”
ณ หมู่บ้านไป๋ซี
เมื่อหยุนเชวี่ยมาถึง เผยเสี่ยวส้วยและเหลียวชีจินได้เริ่มทำงานที่ลานบ้านของเหอยาโถวอยู่ก่อนแล้ว
พวกเขาล้างผลบ๊วยที่ตากแห้งเสร็จแล้วให้สะอาด จากนั้นจึงโรยเกลือลงไปเล็กน้อยและนำไปเรียงเป็นชั้นไว้ในไหขนาดใหญ่
“เหตุใดพวกเจ้าไม่รอให้ข้ามาถึงก่อนล่ะ?” หยุนเชวี่ยเดินเข้าประตูไปและวางตะกร้าลง ก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อล้างมือในอ่างน้ำด้านข้าง
“ฮึฮึ เมื่อคิดถึงบ๊วยที่ยังไม่ได้หมักของเรา ก็ทำให้ข้าไม่สามารถนั่งเฉยอยู่ที่บ้านได้แม้แต่วินาทีเดียว!” เหลียวซีจินยิ้มแย้ม
“ข้าก็เช่นกัน” แม้เผยเสี่ยวส้วยจะตัวเล็กแต่ทำงานได้คล่องแคล่วว่องไวมาก “หากพวกเราหมักเสร็จเร็วก็นำไปขายได้เร็ว!”
“เกือบเสร็จงานแล้ว หยุดมือและพักผ่อนกันก่อนเถอะ ท่านแม่ต้มซุปถั่วเขียวไว้ให้พวกเราในห้องครัว!” เหอยาโถวเชิดคางขึ้น “พวกเจ้าไปตักกันคนละชาม อย่าลืมใส่น้ำตาลลงไปด้วยล่ะ”
“ข้ากระหายน้ำยิ่ง” หยุนเชวี่ยรับน้ำจากมือเหอยาโถวและเข้าไปในครัว “ป้าเหอไม่อยู่ที่บ้านหรือ?”
“นางไปเยี่ยมพี่รองและทำเสื้อผ้าสําหรับหลานชายของข้าไปด้วย”
“ว่าอย่างไรนะ? พี่เหอเยี่ยเอ๋อคลอดแล้วหรือ?” หยุนเชวี่ยชะโงกหน้าออกมาตะโกนเสียงดัง
“ยังหรอก ท่านหมอบอกว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบหนึ่งเดือน ท่านแม่ข้าคงร้อนใจ นางจึงรีบเย็บเสื้อผ้าไว้รอเช่นนี้”
“ถ้าอย่างนั้นก็คลอดทันช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงพอดีน่ะสิ?”
“ไม่รู้สิ พี่สามของข้าใกล้จะได้ออกเรือนแล้ว บ้านของข้าคงจะยุ่งมากแน่!”
“มีแต่เรื่องมงคลเช่นนี้ ไม่รู้เลยว่าคนในหมู่บ้านของเราจะอิจฉาพวกเจ้ามากเพียงใด!” หยุนเชวี่ยนำถั่วเขียวต้มออกมาจากห้องครัวและวางไว้บนโต๊ะที่ลานบ้าน
“ท่านแม่ของข้าพร่ำบอกอยู่ทุกวันว่าท่านป้าเหอโชคดีมากที่มีลูกหลานที่ดีอยู่เคียงข้าง” เผยเสี่ยวส้วยพยักหน้าเห็นด้วย
ตั้งแต่จำความได้ มารดาของนาง หลี่ชื่อเหอ ก็คอยเลี้ยงดูเหอยาโถวมาตั้งแต่เล็ก ทำให้ป้าเหอวางใจและคอยดูแลบุตรสาวของหลี่ชื่อเหอเป็นอย่างดี
มารดาของนางล้มป่วยและถูกขับไล่ออกจากตระกูลเผย ทำให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในกระท่อมหลังเก่าท้ายหมู่บ้าน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เผยเสี่ยวส้วยก็รู้สึกเศร้าสร้อย ดวงตาของนางแดงระเรื่อขึ้นมา
เผยเสี่ยวส้วยพร่ำบ่นถึงเผยเล่าอู่ บิดาผู้ใจร้ายของตนว่าคอยเอาแต่ดุด่าว่าเป็นนางคนไม่เอาไหนทำให้ชีวิตของเขาต้องตกต่ำ ไม่น่าปล่อยให้นางเกิดมาเลย
หยุนเชวี่ยปลอบใจนาง “วางใจเถอะ แม่ของเจ้าจะต้องภูมิใจที่เห็นเจ้าเป็นคนเอาการเอางานเช่นนี้”
“จริงเหรอ?”
“จริงสิ ไม่เห็นหรือว่าเจ้าหาเลี้ยงตนเองได้แล้ว? ต่อไปนี้เราจะหาเงินให้ได้มากกว่าเดิม แม่ของเจ้าจะได้สุขสบายจนผู้คนในหมู่บ้านอิจฉาไปเลย” หยุนเชวี่ยกล่าว
หลังจากเผยเสี่ยวส้วยฟังสิ่งที่หยุนเชวี่ยพูดจบ ดวงตาก็ค่อย ๆ ทอประกายขึ้นและยิ้มแย้มออกมา “จากนี้ไปข้าจะหาเงินให้ได้มากมาย สร้างบ้านหลังใหญ่และเชิญหมอยาที่เก่งกาจมารักษานาง ให้นางอยู่ดีกินดีไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีกต่อไป!”
“ข้าจะเชิญหมอยาที่ดีที่สุดมารักษาท่านลุง ให้ท่านแม่ แม่นมของข้าและน้องสาวได้ทานเนื้อชิ้นใหญ่!” นางกำหมัดและยิ้มกว้างไปที่หยุนเชวี่ย “หยุนเชวี่ย หากเจ้าหาเงินได้มากมาย เจ้าจะทําสิ่งใด?”
“ข้า…” หยุนเชวี่ยอยากจะบอกว่า หากมีทรัพย์สินมากมายจะกว้านซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านทำการค้าและจ้างคนงานมาทำงานแทน ส่วนตนเองก็กินนอนอย่างสบายใจ แต่หยุนเชวี่ยรู้สึกว่าไม่ควรพูดออกไป หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “หากว่าหาเงินได้มากมาย ข้าจะขยายธุรกิจ ปล่อยให้เงินสร้างเงิน จากนั้นพวกเราค่อยไปทำบุญร่วมกัน ทำสิ่งที่อยากทำ ใช้ชีวิตไปโดยไม่ต้องกังวลกับสิ่งใด!”
หลังจากที่หยุนเชวี่ยพูดจบ ทุกคนก็รู้สึกอยากจะติดตามหยุนเชวี่ยขึ้นมาทันที
“พี่หยุนเชวี่ยช่างใจดีเสียจริง ไม่ว่าเรื่องใดท่านมักจะคิดถึงพวกเราอยู่เสมอ เหมือนกับกั๋วต้าฉานจากหมู่บ้านข้าง ๆ เลย!” ดวงตาของเผยเสี่ยวส้วยเปล่งประกายด้วยความชื่นชม
“หากทุกคนในหมู่บ้านของเราร่ำรวยขึ้นก็คงจะดีไม่น้อย!” เหลียวซีจินรู้สึกร่ำร้อนอยากจะสำแดงฝีมือออกมา
“หยุนเชวี่ยไม่เหมือนกับพวกเรา นางมีความคิดก้าวไกล ขอเพียงพวกเราคอยติดตามนางและพยายามอย่างสุดกําลัง ทุกอย่างย่อมดีขึ้นแน่นอน…”
ขณะที่เหอยาโถวกำลังพูดอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงประตูบ้านถูกเปิดออก ปรากฏร่างของเหอเซียงเอ๋อน้องสามแห่งสกุลเหอที่กําผ้าเช็ดหน้าแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว
“พี่สาม เกิดสิ่งใดขึ้นกับท่าน?” เหอยาโถวรีบส่งชามถั่วเขียวต้มที่ยังไม่ทันได้ทานให้กับนาง
“มีคนพูดนินทาทั่วหมู่บ้านว่าข้าเกิดมาจากนางจิ้งจอกและยัง…” เหอเซียงเอ๋อหยุดปากเอาไว้ก่อนจะทันได้พูดจบ
คําพูดนั้นไม่น่าฟังเกินไปสำหรับหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนเช่นนาง
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เหอยาโถวถาม
หยุนเชวี่ยห้ามปรามเขาไว้และรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นหยุนเซียวเอ๋อก็ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาอีก
“ช่างมันเถอะ พวกเจ้ายังเด็กอยู่ ไม่สมควรได้ยินเรื่องพวกนี้…” เหอเซียงเอ๋อยืนเท้าเอวด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“พี่สาม… ท่านอย่าได้โกรธไปเลย ข้าจะสั่งสอนไอ้พวกลิ้นยาวนี้เอง!” เหอยาโถวยืดอกขึ้นและเหวี่ยงหมัดออกไป
เหลียวซีจินและเผยเสี่ยวส้วยวางงานในมือลงพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“ใครที่กล้ารังแกพี่สามของเจ้าก็เท่ากับรังแกพี่สาวข้า ไปสั่งสอนพวกมันกัน!” เหลียวซีจินมีสีผิวเข้มและรูปร่างกำยำ แม้จะอายุไม่มากนัก แต่เพราะเขาทำงานหนักตลอดทั้งปีทำให้ร่างกายดูสูงใหญ่เกินวัย
“ใช่แล้ว พวกเรามีเหตุผลมากมาย ไม่จำเป็นต้องไปกลัวพวกเหลวไหลนั้นหรอก!” เผยเสี่ยวส้วยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยและตะโกนขึ้นเสียงดัง
หยุนเชวี่ยเลียริมฝีปาก สองมือพลางถูไถไปมาบนชายเสื้อ ไม่รู้ว่าจะทําอย่างไรดี…
“พี่สาว ใครมันกล้าพูดจามั่วซั่วใส่ร้ายท่าน? ข้าจะช่วยท่านเอง!” ถึงเวลาที่เหอยาโถวจะต้องออกตัวในฐานะบุตรชายเพียงคนเดียวของครอบครัวแล้ว
เหอเซียงเอ๋อมองหยุนเชวี่ยที่ทำตัวไม่ถูกและถอนหายใจออกมา “ไม่เป็นไร ข้าเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทมาก่อน จึงรู้ว่าใครเป็นคนสร้างข่าวลือนี้ แต่ข้าไม่อยากจะมีเรื่องกับใคร ช่างมันเถอะ…”
แววตาของนางทำให้หยุนเชวี่ยรู้ว่าตัวการคือหยุนซิ่วเอ๋อ ผู้ปล่อยให้คำพูดที่ไม่น่าฟังนี้แพร่สะพัดออกไป ช่างน่ารังเกียจเสียจริง…