ตอนที่ 140 ขึ้นสวรรค์ไปเสีย
“พี่สาม…” หยุนเชวี่ยรู้สึกอายจนไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดดี
“ช่างมันเถอะ ข้าเพิ่งทะเลาะวิวาทไปทำให้อารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว ข้าขอตัวกลับเข้าห้องก่อน” เหอเซียงเอ๋อโบกมือลาและเดินจากไป
“ข้าจะออกไปหาตัวผู้ที่นินทาพี่สาวของข้า!” เหอยาโถวโกรธเคือง
“ข้าจะไปด้วย!”
“ข้าจะไปด้วย!”
หยุนเชวี่ยเดินตามหลังทั้งสามออกไปและพูดเสียงเบาว่า “อย่าได้ลำบาก ข้ารู้ว่าเป็นใคร…”
“เป็นใครกัน?”
“ท่านอาของข้า…”
เหอยาโถว..
เผยเสี่ยวสุ้ย..
และเหลียวซีจินนิ่งเงียบไป
ไฟร้อนที่สุมอยู่ในอกของพวกเขามอดดับลง ทั้งสี่คนเงียบและมองหน้ากันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง
“เอ่อ…” หยุนเชวี่ยถูมือไปมาอย่างลำบากใจ
จะทำอย่างไรดี?
หรือจะห้ามปรามเหอยาโถวว่าไม่ควรก่อเรื่อง? แต่เหอเซียงเอ๋อถูกทำร้าย ย่อมไม่แปลกที่เหอยาโถวจะออกหน้าแทนพี่สาว
หากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นถึงหน้าประตูจริง ๆ ตนที่ใช้แซ่หยุนคงต้องพบเจอปัญหา…
เหอยาโถวรู้สึกลำบากใจเช่นกัน เขาหยุดฝีเท้าเอาไว้และกลับเข้ามานั่งลงบนม้านั่ง
หยุนเชวี่ยขยับเข้าไปใกล้และนั่งลงด้านข้าง จากนั้นจึงยกนิ้วขึ้นสะกิดเหอยาโถวอย่างแผ่วเบาและกะพริบตาปริบ ๆ “เอ่อ… ข้าอยากขอโทษพี่เซียงเอ๋อ…”
“เจ้าไม่ผิดเสียหน่อย” เหอยาโถวเหลือบมอง “เจ้ากับหยุนชิ่วเอ๋อเป็นคนละคนกัน ข้าไม่เอาเรื่องเจ้าหรอก”
หยุนเชวี่ยพูดไม่ออก
ณ บ้านตระกูลหยุน
ทันทีที่หยุนเชวี่ยเข้าบ้านมาก็ได้ยินเสียงด่าทอของแม่เฒ่าจูดังออกมาจากห้องชั้นบน “เจ้าพวกไร้ความสามารถ ขี้ขลาดตาขาว ได้แต่ปล่อยให้คนในครอบครัวถูกรังแก ไม่มีใครกล้าออกหน้า ข้าให้กำเนิดมาแต่พวกใจเสาะ แย่ยิ่งกว่าเจ้าพวกไร้บ้านนั่นเสียอีก…”
หยุนเชวี่ยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ รู้สึกร้อนวูบวาบไปหมดตั้งแต่หัวจรดท้อง
ในอดีต หากบ้านไหนไม่มีบุตรชาย มักจะถูกเรียกว่าพวกไร้บ้าน แม้ว่าตระกูลเหอจะมีบุตรชาย แต่เหอยาโถวไม่สมชายนัก ทำให้แม่เฒ่าจูด่าพวกเขาเช่นนั้น
หยุนลี่เซียวนั่งอยู่ใต้ชายคา สั่นขาชมนกชมไม้อย่างสบายอารมณ์ “ไม่เห็นจำเป็นต้องไปหาเรื่องพวกมันให้เสียเวลาเลย”
“นังตัวดีเหอเซียงเอ๋อและแม่ค้างี่เง่าพวกนั้น! รอให้พี่ใหญ่ของข้าเข้ารับตำแหน่งขุนนางก่อนเถอะ คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าหรืออย่างไร?” หยุนชิ่วเอ๋อตะโกนเสียงดัง
แม้ว่าภายนอกของบุตรสาวตระกูลเหอจะดูอ่อนแอ แต่ภายในทั้งแข็งแกร่งและดุร้าย เหมือนว่าการทะเลาะวิวาทครั้งนี้ หยุนชิ่วเอ๋อจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงได้แต่ระบายความโกรธออกมา
“หากว่าเจ้ามีความสามารถนัก ก็รีบ ๆ แต่งงานกับเศรษฐีสักทีสิ ถูกไหมท่านพี่ใหญ่ ฮ่าฮ่า…” หยุนลี่เซียวหัวเราะอย่างดูถูก “แต่ปีมะเมียอาจจะไม่เป็นมงคลเท่าใดนัก”
“แอ๊ด…” ประตูห้องฝั่งตะวันออกเปิดออก แม่นางจ้าวเอนกายพิงบานประตูอย่างเหนื่อยล้าและจ้องมองพวกเขา “เหตุใดถึงเสียมารยาทกับพี่ใหญ่ของเจ้าเช่นนี้ ไม่กลัวว่าเขาจะเสียใจบ้างหรืออย่างไร?”
“ข้าว่าเขาคงไม่เสียใจหรอก” หยุนลี่เซียวส่ายศีรษะ “ถ้าพี่ใหญ่มีความสามารถจริง เขาคงไม่เอาแต่ผายลมอยู่ตั้งยี่สิบปี”
“เจ้า…” แม่นางจ้าวโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ
“จุ๊จุ๊…” หยุนลี่เซียวลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายพร้อมกับยื่นคอไปในห้องครัวและตะโกนอย่างน่ารําคาญว่า “ยังเตรียมอาหารกันไม่เสร็จอีกหรือ? ข้าต้องไปร่ำสุรากับพวกตระกูลหวัง! เร็วหน่อยเถิด!”
แม่นางเฉินที่กำลังเผาเตาถ่าน ต้มข้าวและนึ่งรักนกอยู่ภายในห้องครัวได้บ่นพึมพำออกมาว่า “ข้ามีสามหัวหกแขนหรืออย่างไร? ข้างานยุ่งเช่นนี้ยังไม่มีใครสนใจ ได้แต่งอมืองอเท้ารออาหาร เหตุใดข้าถึงมีชีวิตที่ยากลําบากเช่นนี้…”
“เจ้าบ่นอย่างนั้นหรือ? ข้ามีตาหามีแววไม่ที่ไปแต่งงานกับหญิงแก่โง่เง่าเช่นเจ้า!” หยุนลี่เซียวถลึงตาใส่และสบถออกมา
หยุนลี่เซียวรังเกียจแม่นางเฉินมานานแล้ว ทั้งอ้วน ทั้งโง่ ทั้งขี้ขลาด กินมากเพียงใดก็ไม่พอ เทียบไม่ได้เลยกับสาวรับใช้ของตระกูลใหญ่ หากว่าวันหน้าร่ำรวย หยุนลี่เซียวคิดจะรับบ้านเล็กมาดูแลให้พอใจ
แม่นางเฉินไม่พูดสิ่งใดอีกก่อนหยิบพลั่วขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างเตาและฟาดพลั่วเหล็กไปมาส่งเสียงดังไปทั่ว
หยุนชิ่วเอ๋อยังโกรธไม่หายจึงร้องโวยวายไม่หยุด “มีสิ่งใดให้น่าภาคภูมิใจนัก รูปโฉมเช่นนั้น ต่อให้แต่งเข้าตระกูลใหญ่ก็มิอาจเป็นที่โปรดปราน พวกคนรวยมักจะมีสามเมียสี่สาวใช้ คอยดูสิ นางตัวดีเหอเซียงเอ๋อต้องจบไม่สวยแน่!”
ยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงประหลาดก็ดังขึ้นราวกับว่ามีบางอย่างแตกหัก
หยุนเชวี่ยได้ยินเช่นนั้นจึงโกรธจัด นางเหวี่ยงตะกร้าลงกับพื้นและพับแขนเสื้อขึ้น ขณะที่กําลังจะตะโกนออกไปนั้นกลับถูกหยุนเยี่ยนห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ชู่ว…” หยุนเยี่ยนส่งสัญญาณให้เงียบไว้และลากน้องสาวกลับเข้าบ้านไป
“พี่สาว…” หยุนเชวี่ยถูกรั้งตัวเอาไว้ แต่ยังจ้องเขม็งไปที่ห้องชั้นบนอย่างเดือดดาล
“เจ้าจะไปยั่วโมโหอาชิ่วเอ๋อหรืออย่างไร? ปล่อยให้ครอบครัวได้อยู่อย่างสงบสักสองสามวันเถอะ ตัวเจ้าก็อย่าได้ระเบิดอารมณ์เช่นนั้นอีกล่ะ”
“ฟังที่นางพูดสิ ข้าเห็นพี่สาวเหอเซียงเอ๋อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ที่บ้าน!” หยุนเชวี่ยกําหมัดแน่นและกระทืบเท้าอย่างโกรธเกรี้ยว “หากไม่กลัวว่าข้าจะลำบากใจ เหอยาโถวคงจะพาชีจินและเสี่ยวส้วยมาถึงหน้าประตูบ้านแน่! น่าเจ็บใจยิ่งนัก!”
“ป้าชิ่วเอ๋อสร้างปัญหามามากพอแล้ว หากเจ้ายังไปแหย่รังแตนยั่วโมโหนางอีกจะทำให้ท่านพ่อท่านแม่ของพวกเราต้องลําบากใจมิใช่หรือ?”
หยุนเชวี่ยกัดริมฝีปากและค่อย ๆ คลายมือที่กำแน่นออก
หยุนเยี่ยนกลัวว่าหยุนเชวี่ยจะก่อเรื่อง จึงพานางเข้าไปในห้องฝั่งตะวันตกและปิดประตูไว้
เสี่ยวอู่กำลังนั่งโยกขาไปมาพลางอ่านหนังสืออยู่ที่ขอบเตียง ในมือแปรเปลี่ยนจากคัมภีร์ตรีอักษรเป็นตำราพันอักษรแล้ว
หยุนเชวี่ยเทน้ำลงในแก้วและดื่มไปอึกใหญ่ จากนั้นจึงลูบหน้าอกและถอนหายใจยาวออกมา
เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นมองหยุนเชวี่ยด้วยดวงตากลมโตสีดําขลับ
“น่าโมโหเสียจริง!” หยุนเชวี่ยนั่งลง
เสี่ยวอู่ปิดหนังสือและเก็บเอาไว้ใต้หมอน จากนั้นจึงกะพริบตาอย่างสงสัยใคร่รู้
“หยุนชิ่วเอ๋อช่างขยันขันแข็งเสียจริง กลัวว่าทุกอย่างจะสงบเกินไป กลัวว่าทุกคนจะมีความสุขหรืออย่างไร เหตุใดนางถึงไม่ขึ้นสวรรค์ไปเสีย!” หยุนเชวี่ยกระทืบโต๊ะอย่างเกรี้ยวกราด
เสี่ยวอู่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนและชี้นิ้วออกไปนอกหน้าต่าง
หยุนเชวี่ยมองตามไป เสี่ยวอู่ชี้ไปยังกระท่อมหลังคอกหมูที่หยุนชิ่วเอ๋อถูกจับยัดกระสอบและถูกทุบตี
“จะให้ข้าสั่งสอนนางอย่างนั้นหรือ?”
เสี่ยวอู่เอียงศีรษะ ดวงตาดำขลับของเขากลอกไปมา
หยุนเชวี่ยลูบคางครุ่นคิด “น่าสนใจดี แต่ว่าเราจะสั่งสอนนางให้หลาบจำได้อย่างไรกัน?”
สองพี่น้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกันและจมดิ่งสู่ห้วงความคิด
ดวงตะวันไกล้จะลับขอบฟ้าและส่องแสงแดงฉานไปทั่วท้องฟ้า หยุนลี่เต๋อ แม่นางเหลียนและผู้เฒ่าหยุนได้แบกเครื่องมือทำไร่กลับมา
ผู้เฒ่าหยุนรู้สึกหนักใจมาหลายวันแล้ว จึงยอมทำงานในไร่ทั้งวันมากกว่าจะนั่งฟังเสียงเอะอะโวยวายที่บ้าน
แม่เฒ่าจูรู้ว่าเขาร้อนรุ่มใจจึงไม่กล้าทำสิ่งใดขวางหูขวางตา พอเห็นผู้เฒ่าหยุนกลับเข้ามา เสียงด่าทอจึงหยุดลงทันที
ลานบ้านตระกูลหยุนช่างสงบเงียบอย่างน่าประหลาด
แม่นางเฉินยกตะกร้าออกมาจากหม้อพลางก้มหน้าดมกลิ่นหอมและตะโกนว่า “อาหารพร้อมแล้ว!”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ล้างหน้าล้างตาก่อนเถิด” หยุนเยี่ยนยกอ่างน้ำออกมาและตะโกนไปที่ห้องฝั่งตะวันตกว่า “หยุนเชวี่ย เสี่ยวอู่ มื้อเย็นพร้อมแล้ว”