ตอนที่ 141 โรคระบาดในหมู

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 141 โรคระบาดในหมู

หลังอาหารเย็นหยุนลี่เต๋อวุ่นวายอยู่กับการทำงานที่หลังเรือนทางด้านตะวันตกครู่หนึ่ง ไม่นานนัก หยุนลี่เต๋อหิ้วชั้นไม้มาวางบริเวณด้านข้างสวนผักพร้อมกับร้องเรียก “เชวี่ยเอ๋อ มาดูสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

สิ่งนั้นคือขาตั้งอ่างล้างหน้าซึ่งถูกสร้างขึ้นมาตามคำร้องขอของหยุนเชวี่ย โดยมันมีขาสามข้างที่ทรงตัวอย่างมั่นคง อีกทั้งยังมีที่สำหรับแขวนผ้าเช็ดหน้าโดยเฉพาะ แม้จะมีสีไม้เหมือนเดิม แต่หากมองอย่างละเอียดแล้วยังสามารถกล่าวได้ว่าพื้นผิวนั้นมีความเรียบเนียนจนน่าสัมผัส

“เยี่ยมมากท่านพ่อ ท่านทํางานได้รวดเร็วทันใจเสียจริง!” หยุนเชวี่ยรู้สึกพึงพอใจเมื่อเห็นว่าส่วนสูงของสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวมีขนาดกำลังดี ดังนั้นเวลาล้างหน้าคงไม่ต้องลําบากก้มตัวอีกต่อไปแล้ว

“ในเมื่อเจ้าบอกดี ก็ดีแล้ว!” หยุนลี่เต๋อยิ้มพลางตบดินในมือ “ด้านหลังยังมีอีกอันหนึ่ง ข้าจะเอาไปให้ปู่ของเจ้า”

เมื่อเวลาผ่านพ้นเข้าสู่ยามค่ำคืน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่พร่างพราวท่ามกลางดวงจันทร์ราวกับสายน้ำ

ผู้เฒ่าหยุนกําลังเดินเอามือไขว้หลังบริเวณคอกหมูด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันขณะที่แก้มของชายชราหย่อนคล้อยส่งผลให้ริ้วรอยบนใบหน้าของผู้เฒ่าหยุนเกิดร่องลึกมากขึ้น

สองวันมานี้หมูในคอกอาการไม่ค่อยดีนัก ตอนแรกเป็นเพียงหมูตัวผู้ตัวเดียวที่ไม่ยอมกินอาหารและเอาแต่นอนเซื่องซึมทั้งวัน ต่อมาแม่หมูทั้งสองตัวนั้นเริ่มมีอาการเหมือนกัน และไม่ว่าจะส่งเสียงเรียกสักเท่าใดก็ไม่ยอมที่จะขยับเขยื้อน

ผู้เฒ่าหยุนจึงรู้สึกท้อใจมาก เขาชี้นิ้วไปยังหมูเหล่านั้นที่ต้องใช้เวลาขุนให้อ้วนตลอดทั้งปีเพื่อฆ่ามันในช่วงฤดูหนาว เพราะวิธีนี้สามารถช่วยประหยัดเงินได้มาก ทว่าตอนนี้หมูยังไม่อ้วนพีขึ้น แล้วถ้ามันตายเขาจะทําอย่างไรดี?

“ท่านพ่อ ข้าทําที่วางอ่างล้างหน้ามาให้ เชวี่ยเอ๋อบอกว่าคนในเมืองต้องใช้ของสิ่งนี้เพราะไม่ต้องก้มตัวลงให้ลําบากอีกต่อไป” หยุนลี่เต๋อถูมือไปมาอย่างมีความสุข

ผู้เฒ่าหยุนกําลังกลุ้มใจเกี่ยวกับเรื่องหมูทำให้ไม่มีจะมีกะจิตกะใจจะมองของใช้ที่ไม่จำเป็นเช่นนี้ ผู้เฒ่าหยุนจึงทำเพียงเหลือบมองพร้อมก้มศีรษะลง “อืม”

“ท่านพ่อ” หยุนลี่เต๋อสังเกตเห็นว่าผู้เฒ่าหยุนเม้มปากแน่นด้วยใบหน้าที่มีความเคร่งเครียดจึงเอ่ยถามว่า “ท่านเป็นอันใดไป?”

“หมูในบ้านอาการไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”

“หมูเป็นอะไรไป?” หยุนลี่เต๋อก้มตัวลงเพื่อยื่นหน้าเข้าไปในคอกหมูพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่เห็นความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด

ผู้เฒ่าหยุนเงยหน้าพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“หรือว่ามันจะป่วยเป็นกาฬโรค?” หยุนลี่เต๋อพูดอย่างกังวล “วันนี้ตอนที่ทํางานอยู่ ข้าได้ยินมาว่าหมูของตระกูลเก่อในหมู่บ้านใกล้เคียงป่วยตายกว่าสามสิบตัวภายในคืนเดียว”

ตระกูลเก่อเป็นครอบครัวที่เลี้ยงหมูรายใหญ่ในจำนวนแปดหมู่บ้านและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ร่ำรวย โดยรายได้ที่สามารถเลี้ยงคนในครอบครัวสิบกว่าชีวิตล้วนได้มาจากการเลี้ยงหมู ทว่าตอนนี้หมูทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขากล่าว ใบหน้าของผู้เฒ่าหยุนพลันมืดครึ้มลงแม้จะมองไม่เห็นอย่างชัดเจน

“เอาเป็นว่า พวกเราเชิญหลี่หลางจงมาดูอาการจะดีหรือไม่?” หยุนลี่เต๋อเสนอ

หลี่หลางจงไม่เพียงตรวจอาการและเขียนใบสั่งยาให้ผู้คนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถรักษาสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นครั้งก่อนวัวตัวใหญ่ที่ใช้ไถนาในบ้านตระกูลเหออาเจียนออกจนยืนไม่ได้ เพียงเขาให้มันกินสมุนไพรก็สามารถกลับมาเป็นปกติ

ผู้เฒ่าหยุนมองหมูสามตัวในคอกหมูโดยไม่ปริปากครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวอย่างแผ่วเบา “ช่างมันเถิด ช่างมันเถิด”

ผู้เฒ่าหยุนเองย่อมรู้ดีอยู่ในใจว่า หมูที่ติดเชื้อกาฬโรคไม่สามารถรักษาให้หายได้ จึงไม่ต้องการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรหมูทั้งหมดคงต้องตายอยู่วันยังค่ำ

หยุนลี่เต๋อไม่รู้ว่าควรทําอย่างไรดี

“พรุ่งนี้เจ้ารีบไปที่บ้านคนขายเนื้อแซ่อู๋แต่เช้าและเรียกให้เขามาฆ่าหมูเถิด!” ชายชรากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“เรื่องนี้…”

“ถ้าเจ้าไม่อยากไป ข้าจะไปเอง…” ผู้เฒ่าหยุนโบกมืออย่างอ่อนแรงและเท้าของผู้เฒ่าหยุนสั่นเทาขณะเดินขึ้นไปยังห้องชั้นบน

“ท่านพ่อ…” ริมฝีปากของหยุนลี่เต๋ออ้าขึ้นและอยากจะพูดแต่กลับหยุดนิ่ง

ปีกด้านตะวันตกของบ้าน

แม่นางเหลียนเปิดไส้ตะเกียงอยู่กับหยุนเยี่ยนสองคนแม่ลูก ต่อมาหนึ่งในนั้นดึงผ้ามาหนึ่งผืนและเริ่มปรึกษากันอย่างเป็นจริงเป็นจังเกี่ยวกับการปักลวดลายลงบนผ้า

ส่วนเสี่ยวอู่กำลังนอนอยู่ข้างโต๊ะไม้ขนาดเล็กและพลิกดู ‘การปัก’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้แสงไฟด้วยดวงตาดําขลับพร้อมกลอกตาไปมา

หยุนลี่เต๋อเข้ามาในห้องและนั่งลงดื่มชาจากถ้วยก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบาขณะครุ่นคิดอันใดบางอย่าง

“เกิดอันใดขึ้นรึ?” แม่นางเหลียนเงยหน้าขึ้นถาม

“ไม่มีอันใด” หยุนลี่เต๋อพูดพร้อมกับลูบเข่าตนเองอย่างไม่พอใจ

“ท่านโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังทําตัวเหมือนเด็กอายุสามขวบอีก ความคิดทั้งหมดของท่านล้วนแสดงอยู่บนใบหน้า”

หยุนลี่เต๋อเงียบงัน

เมื่อเปลวไฟในห้องกำลังลุกโชน เงายาวของทุกคนจึงสะท้อนอยู่บนหน้าต่างและผนัง

ผ่านไปครู่ใหญ่หยุนลี่เต๋อยังคงสงบสติอารมณ์ไม่ได้ขณะก้มหน้าลงด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน “ดูท่าหมูของบ้านเราคงจะป่วยเป็นโรคระบาด ท่านพ่อจึงให้ข้าไปเรียกคนขายเนื้อแซ่อู๋…”

“ป่วยเป็นโรคระบาดรึ?” แม่นางเหลียนถึงกับตะลึงงันและไม่อาจนั่งนิ่งอยู่ได้ “หมูป่วยแล้วจะไปเรียกคนขายเนื้อแซ่อู๋มาทำอันใด? เหตุใดไม่ไปตามหลี่หลางจงมารักษาเล่า?”

ทันทีที่พูดจบ ดูคล้ายจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แม่นางเหลียนจึงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ

หยุนลี่เต๋อไม่ได้พูดอะไรอีก แต่สายตานั้นได้ยืนยันถึงการคาดเดาในใจของอีกฝ่ายแล้ว

“แล้วอย่างไรต่อ?!” แม่นางเหลียนรีบวางงานปักในมือลงเพื่อคว้าแขนหยุนลี่เต๋อไว้ “หากหมูป่วยเป็นโรคนี้แล้วให้คนกิน ถ้าคนป่วยด้วยจะทําอย่างไร เรื่องบาปกรรมเช่นนี้พวกเราคงทําไม่ได้!”

หยุนลี่เต๋อก้มหัวลงด้วยอาการเงียบงัน ทว่ามือใหญ่อันหยาบกระด้างนั้นกำลังกําหมัดแน่น

“เป็นไปได้อย่างไร?” แม่นางเหลียนวางงานปักในมือด้วยความกังวลใจและดึงสามีไปมาอย่างร้อนรน “นี่เป็นการทําร้ายคน หากคนที่กินมันเข้าไปเกิดเป็นอันใดขึ้นมา ความผิดนี้พวกเราคงรับไม่ไหวแล้ว!”

หยุนลี่เต๋อเพียงพยักหน้า

“ข้าได้ยินป้าอู๋บอกว่าหมูตระกูลเก่อของหมู่บ้านข้างเคียงป่วยตายสามสิบกว่าตัว…” หยุนเยี่ยนลดเสียงลงขณะกล่าวอีกว่า “หมูในบ้านเขาตายไปหลายตัว และมีคนเห็นว่าเขาแอบลากไปขายที่ร้านเนื้อซึ่งเป็นร้านอาหารราคาถูกในอําเภอใกล้เคียง…”

“เราไม่ต้องสนใจคนอื่น! ถึงอย่างไรเรื่องหลอกลวงผู้คน บ้านเราคงไม่สามารถทําได้!” แม่นางเหลียนตั้งใจแน่วแน่มาก

“พรุ่งนี้ข้าจะลองเกลี้ยกล่อมท่านพ่อดู… แต่การจะเปลี่ยนใจท่านคงไม่ใช่เรื่องง่าย” หยุนลี่เต๋อรู้สึกหมดหนทาง

ในแง่ของความยากจน แม้ตระกูลหยุนต้องขายที่ดินยี่สิบไร่เพื่อชำระหนี้สินที่เกิดจากการพนันของหยุนลี่จง แต่ยังไม่ถือว่าพวกเขาเป็นครอบครัวที่ยากจนได้

เพราะยังมีพื้นที่เหลืออยู่อีกยี่สิบไร่ ดังนั้นค่าใช้จ่ายย่อมไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล บวกกับสองสามีภรรยาผู้ชรายังเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างประหยัด และการใช้ชีวิตในรูปแบบดังกล่าว ทำให้หลายปีมานี้พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง…

“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าทําอันใด?” หยุนเยี่ยนเห็นนางไม่พูดไม่จา จึงขยับเข้าไปใกล้อย่างสงสัย “เหตุใดเจ้าถึงมัวแต่เหม่อมองก้อนหินในยามค่ำ มีอันใดน่าดูรึ?”

“หืม? ท่านพูดอันใด?” หยุนเชวี่ยได้สติกลับมาและกะพริบตาปริบ ๆ เนื่องจากมองตะเกียงน้ำมันนานเกินไป สายตาจึงพร่ามัวเล็กน้อย

“ข้าถามว่า เจ้าจ้องมองก้อนหินเพื่ออันใด?”

หยุนเยี่ยนเข้าไปตรวจดูอย่างละเอียด นอกจากสีที่แดงและดูเหมือนว่าจะโปร่งแสงภายใต้ตะเกียงแล้ว หยุนเยี่ยนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่พิเศษ

“อ๋อ ไม่มีอันใด” หยุนเชวี่ยเก็บหินไว้ในกระเป๋าพลางยิ้มกว้าง “แค่รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี”

“หินจากริมแม่น้ำของเรางดงามมาก มีสีดํา ขาว เขียว และยังเรียบลื่นอีกด้วย เดี๋ยวข้าจะเก็บมาให้อีกสักสองสามก้อน…”

“อืม ได้” หยุนเชวี่ยพยักหน้า แต่ในหัวกลับมีภาพมากมายผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ภูเขาด้านหลัง ป่า พุ่มไม้ หญ้า ถ้ำ กับดอกท้อที่บานสะพรั่งและกำลังโบยบินอยู่ตรงหน้า…

จากนั้นในตะกร้าไม้ไผ่ที่แบกอยู่บนหลังของนางตอนขึ้นเขา เหตุใดถึงมีก้อนหินปรากฏขึ้นจากอากาศอย่างลึกลับ…