ตอนที่ 142 เส้นเลือดแห่งชีวิต
เกลือสินเธาว์คือเกลือชนิดหนึ่งที่ได้มาจากหินเกลือและสามารถรับประทานได้
ในสังคมสมัยใหม่ เกลือที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มาจากเกลือสินเธาว์ แต่ในสมัยโบราณเนื่องจากเทคโนโลยีที่ล้าหลัง เกลือส่วนใหญ่ได้มาจากการสกัดจากน้ำทะเลหรือทะเลสาบด้วยวิธีการตากแห้ง
กล่าวกันว่าในยุคโบราณ เดิมทีสาเหตุที่จักรพรรดิต่อสู้กับชือโหยวเพื่อแย่งชิงทะเลสาบเกลือ เห็นได้ชัดว่าเกลือเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตของประเทศตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน
เนื่องจากเป็นเส้นเลือดหลักของประเทศดังนั้นจึงตกอยู่ในมือของผู้มีอํานาจ โดยในสมัยราชวงศ์เหลียงการค้าเกลือส่วนตัวเป็นความผิดร้ายแรง และไม่ว่าจะมีจำนวนมากหรือน้อยย่อมต้องถูกประหารชีวิตด้วยความผิดโทษฐานกบฏ
สำหรับเกลือที่ได้จากการนำน้ำทะเลหรือน้ำในทะเลสาบมาตากแดดนั้นอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ทำให้มีผลผลิตต่ำและมีราคาสูงมาก นอกจากนี้ยังต้องขนส่งจากชายฝั่งตะวันออกกระจายออกไปยังทุกพื้นที่ทั่วอาณาเขต ซึ่งทําให้เกิดความเสี่ยงอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าจะมีกำไรมหาศาลเพียงใด การทำผิดกฎหมายย่อมถูกเพ่งเล็งโดยไม่ต้องสงสัย
ผู้ที่ไม่เกรงกลัวความตายเหล่านี้มักจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นขุนนางชั้นสูง ราชวงศ์หรือขันทีในราชสํานัก
โดยรวมแล้วเกลือถือว่าเป็นปัจจัยเชิงกลยุทธ์ เพราะไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการดํารงชีวิตของผู้คนเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศด้วย
ดังนั้นการเกิดขึ้นของเกลือสินเธาว์และเทคโนโลยีการทําให้บริสุทธิ์หมายถึงอะไร หยุนเชวี่ยย่อมรู้ดีกว่าใครทั้งหมด
เช้าวันรุ่งขึ้น
ผู้เฒ่าหยุนเดินออกลงจากห้องบนด้วยเสื้อคลุมเพียงตัวเดียว และขณะที่กําลังเตรียมทําอาหารอยู่แม่นางเหลียนได้แอบส่งสายตาให้หยุนลี่เต๋อ
หยุนลี่เต๋อพยักหน้าพลางหักฟืนแห้งในมือเติมลงในเตาก่อนจะใช้ฝ่ามือของเขาถูไถกับขากางเกงพร้อมลุกขึ้นยืน
“ท่านพ่อ” เขาตะโกน
“อืม เจ้ารอง” ผู้เฒ่าหยุนเอามือไพล่หลังขณะเดินไปที่คอกหมู
วันนี้เขาตื่นเร็วกว่าปกติเล็กน้อย โดยแค่คิดว่าจะเชิญคนขายเนื้อแซ่อู๋มาให้เร็วที่สุดเพื่อฉวยโอกาสฆ่าหมูในตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่
หมูในคอกมีอาการเซื่องซึมมากขึ้น และอาหารที่ให้ไว้ในรางตั้งแต่เมื่อวานยังคงเหลืออยู่เท่าเดิม ทว่ามันบูดเน่าหมดแล้วขณะที่หมูทั้งสามตัวนอนกอดกันโดยไม่ส่งเสียงร้องแต่อย่างใด
“เฮ้อ!” ผู้เฒ่าหยุนมีสีหน้าเศร้าโศก
“ท่านพ่อ หมูของเรา…”
“เจ้ารอง รีบไปเรียกคนขายเนื้อแซ่อู๋มาที่บ้านเถิด เพราะถ้ารอให้หมูตาย เลือดของมันจะแข็งตัวก่อน…”
ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าหมู ฆ่าไก่ ฆ่าแกะเลือดที่แข็งตัวจะคั่งค้างอยู่ในหลอดเลือดส่งผลให้รสชาติของเนื้อนั้นไม่อร่อย สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ตระกูลหยุนแตกต่างจากตระกูลเก่อซึ่งมีทางเลือกหลายวิธี และสามารถขายหมูที่ตายแล้วในราคาถูกให้กับร้านอาหารหรือขายให้กับร้านซาลาเปาได้
ครอบครัวชาวนาทั่วไปเลี้ยงหมูปีละสามถึงห้าตัวและรอจนฤดูหนาวแล้วจึงฆ่ามัน โดยพวกเขาจะเก็บบางส่วนไว้สำหรับเทศกาลปีใหม่ สำหรับส่วนที่เหลือจะถูกส่งไปยังคนขายเนื้อหมูโดยตรง ทว่าหมูที่ตายก่อนถูกเชือดเนื้อจะไม่มีคุณภาพ ทำให้ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด
“ท่านพ่อ หมูของเรา… ข้ากำลังคิดว่าหลังจากเราขายมันออกไป ถ้ามีคนมาซื้อไปกินแล้วเป็นอะไรขึ้นมา แล้วเราจะทำอย่างไร?” หยุนลี่เต๋อยืนอยู่ที่เดิมและไม่มีท่าทีว่าเท้าของเขาจะขยับเขยื้อน
ผู้เฒ่าหยุนขมวดคิ้วขึ้นด้วยความตกใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร? มนุษย์คือมนุษย์ สัตว์ก็คือสัตว์ และโรคของสัตว์ย่อมไม่สามารถแพร่กระจายไปยังมนุษย์ได้”
“…” หยุนลี่เต๋อเผยสีหน้าลําบากใจและไม่พูดไม่จา
“หมูที่ตายหลายสิบตัวของตระกูลเก่อถูกลากไปขายที่อําเภอใกล้เคียง แล้วหมูสามตัวของบ้านเราจะทำอย่างไร?” ชายชราสะบัดมือด้วยความหงุดหงิดและกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า “ช่างมันเถิด ข้าไม่ใช้เจ้าก็ได้”
พูดจบแล้วชายชราได้ร้องตะโกนเรียกหยุนลี่เซียวที่ห้องด้านข้าง “เจ้าสาม ไปเรียกคนขายเนื้อแซ่อู๋มาหาพ่อหน่อย!”
“ก็แค่ฆ่าหมูไม่กี่ตัว…” หยุนลี่เซียวเรียกหยุนเหรินอย่างเกียจคร้าน “เอ้อหลาง ไปเรียกคนขายเนื้อแซ่อู๋มาทีสิ”
เอ้อหลางรับคําอย่างเชื่อฟังพร้อมเปลี่ยนกางเกงและเดินออกมาจากห้อง
โดยมีซานหลางเดินตามไปด้วยดวงตาทั้งคู่ที่เปล่งประกายขณะยิ้มกว้าง “ฮี่ฮี่ บ้านเราจะได้กินเนื้อหมูอีกแล้ว!”
“รีบออกไปตามคนขายเนื้อแซ่อู๋เร็วเข้า อย่ามัวแต่โอ้เอ้อยู่!” ชายชราผู้มีใบหน้าดําคล้ำถลึงตาใส่บุตรชายคนรองก่อนจะสะบัดแขนเสื้อจากไป
หยุนลี่เต๋อยืนนิ่งอยู่ข้างคอกหมูพักหนึ่งก่อนจะก้าวเท้ากลับไป จากนั้นร่างสูงใหญ่กํายํานั่งยอง ๆ อยู่ข้างเตาราวกับภูเขาลูกเล็กได้ถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“ท่านพ่อไม่ยอมฟังคําเตือนของข้าเลย”
“คงทําอันใดไม่ได้แล้ว เฮ้อ คราวนี้ต้องแย่แน่ ๆ!” แม่นางเหลียนส่ายหน้า
“ต้องขอบคุณเจ้าหมูพวกนั้นที่ทนทุกข์ทรมานเพื่อบ้านเรา มิฉะนั้นหม้อใบนี้จะต้องโขกใส่หัวพวกเราแทน” หยุนเชวี่ยพึมพําขณะล้างหน้า
หยุนเยี่ยนตบหลังนางอย่างแผ่วเบา “เอาเถอะ เงียบเอาไว้จะดีกว่า”
ทางด้านของห้องด้านตะวันตก ขนมปังที่ทำจากแป้งข้าวโพดกับโจ๊กถูกยกมาวางบนโต๊ะ แต่ยังไม่ทันขยับตะเกียบ คนขายเนื้อแซ่อู๋มาที่เอ้อหลางไปตามได้มาถึงแล้ว
“นี่มันอะไรกัน! ทําไมถึงรีบร้อนที่จะฆ่าหมูกันนัก? ตอนเช้ามืดครั้งหนึ่ง สายมาก็อีกครั้งหนึ่ง ฆ่าหมูไปตั้งสองตัวแล้ว วันนี้ยังไม่ได้กินข้าวเลย” ก่อนที่คนจะเข้าไปในลานบ้าน พวกเขาพลันได้ยินเสียงแหบแห้งของคนขายเนื้อแซ่อู๋ดังขึ้น
“หมูตาย”
“เหลวไหล มีดฆ่าหมูของข้ายังไม่แสดงพลัง อีกประเดี๋ยวข้าจะใช้ดาบแทงมัน ต่อให้เป็นหมูที่เรี่ยวแรงมากแค่ไหน ข้าก็จัดการได้ด้วยการลงดาบไม่กี่ที…”
เบื้องหลังคนขายเนื้อแซ่อู๋ยังมีบุตรชายคนโตของเขาอู๋ต้าหวัง และพอเข้าประตูมาผู้เป็นบิดารีบทักทายหยุนลี่เต๋อ
อย่างอารมณ์ดี “เฮ้ น้องรอง กําลังกินข้าวอยู่รึ?”
“พี่ใหญ่อู๋” หยุนลี่เต๋อรีบลุกขึ้นยืนและประสานมือคารวะอย่างสุภาพ “พี่คงไม่รังเกียจที่จะกินข้าวกับพวกเรา”
“ไม่รังเกียจหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า จะรังเกียจได้อย่างไร!” คนขายเนื้อแซ่อู๋ยิ้มจนหน้าแดงพร้อมโบกมือไปมา “เป็นเพราะเอ้อหลางมาเรียกข้าตั้งแต่เช้าตรู่และลากข้ามาที่นี่แต่ไม่รู้ว่ารีบร้อนอันใดนักหนา นี่หากไม่เป็นบ้านของเจ้า ข้าคงจะโกรธแล้ว!”
หยุนเยี่ยนก้มหน้าลงอย่างเขินอายด้วยแก้มทั้งสองข้างที่แดงระเรื่อขณะใบหน้าอันบอบบางแทบจะซุกใส่ชามข้าว
“ท่านอารองหยุน อาสะใภ้รอง” อู๋ต้าหวังหน้าแดงก่ำขณะถือเครื่องมือที่บิดาของเขาใช้ฆ่าหมู
“เฮ้ ไอ้หนุ่มนี่!” คนขายเนื้อแซ่อู๋ตบท้ายทอยของบุตรชายอย่างแรง “ยังไม่รีบทักทายอีกรึ? เป็นลูกผู้ชายประสาอะไร?”
เมื่อครู่อู๋ต้าหวังถูกบิดาของเขาตบจนเกือบยืนไม่มั่นคง ทว่าทำได้เพียงเกาหัวพลางแสยะยิ้มจนเผยให้เห็นฟันขาวที่เรียงรายเป็นทิวแถว “ยังมีเยี่ยนเอ๋อ น้องเชวี่ยเอ๋อกับน้องห้าด้วย”
หยุนเยี่ยนบิดชายเสื้อแน่นด้วยสองมือและไม่ได้เงยหน้า
“แค่ก! แค่ก!” หยุนเชวี่ยพ่นโจ๊กออกมาคําหนึ่งก่อนจะไอจนสําลักและส่งสายตาหยอกล้อ “สวัสดีพี่ต้าหวัง!”
“ฮี่ฮี่” ต้าหวังผู้มีคิ้วหนาเบิกตากว้างขึ้นขณะเผยรอยยิ้มที่ดูโง่เง่าทว่ายังคงหล่อเหลา
“เจ้าเด็กโง่ ยังจะทำหน้างงอยู่อีก ดีนะที่การทำงานเก่งใช้ได้” คนขายเนื้อแซ่อู๋เปลี่ยนมาชมบุตรชายของตนต่อหน้าญาติพี่น้องที่จะเกี่ยวดองกันในอนาคต “น้องรอง วันนี้เจ้ารอดูฝีมือของต้าหวังได้เลย เจ้าต้มน้ำแล้วหรือยัง? …”
“เอ่อ…” หยุนลี่เต๋อรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาล แล้วเหตุใดถึงต้องการฆ่าหมู? มันยังไม่ถึงเวลา จะฆ่าก็น่าเสียดาย เหตุใดไม่ให้มันอยู่ต่ออีกหลายเดือน…” คนขายเนื้อแซ่อู๋ไม่ได้มองหยุนลี่เต๋อเป็นคนนอกเนื่องจากทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันมานาน จึงแนะนำด้วยความจริงใจ
“คนขายเนื้อแซ่อู๋มาแล้วรึ?” ผู้เฒ่าหยุนเดินเข้ามาจากห้องโถงใหญ่
“ท่านลุง ข้ากําลังถามอยู่พอดีว่าเหตุใดท่านถึงรีบร้อนที่จะฆ่าหมู?” คนขายเนื้อแซ่อู๋เอ่ยถามพร้อมรับเครื่องมือจากต้าหวัง
ผู้เฒ่าหยุนโบกมือและไม่ได้กล่าวอันใด ทว่าหันไปบอกหยุนลี่เต๋อ “เจ้ารอง ไปช่วยกันเอาหมูออกมา”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้องเสียเวลากินข้าวของน้องรอง ไม่เป็นไร ข้าจะให้ต้าหวังไปช่วยเอง!” คนขายเนื้อแซ่อู๋พับแขนเสื้อ “ไป ต้าหวัง ไปที่คอกหมูแล้วแสดงฝีมือให้ท่านลุงหยุนดู!”