ตอนที่ 143 ทักษะเฉพาะ

ในสมัยโบราณเพชรฆาตที่ตัดศีรษะมนุษย์และคนขายเนื้อที่ฆ่าหมูในขอบเขตของกฏหมายต่างเป็นงานที่ใช้ทักษะเฉพาะ

โดยการตัดหัวจะต้องปฏิบัติอย่างรวดเร็ว เมื่อมือฟาดฟันลงมา นักโทษที่ถูกประหารชีวิตยังไม่ทันได้หลับตาด้วยซ้ำ ศีรษะก็กลิ้งไปอยู่ข้างเท้าแล้ว

สำหรับการเชือดหมูต้องมีความแม่นยําเช่นเดียวกัน และด้วยการลงดาบเพียงครั้งเดียวเพื่อตัดหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ หากการแทงไม่รุนแรงมากพอ เลือดย่อมไม่ไหลออกมาซึ่งมีผลต่อคุณภาพของเนื้อ

แน่นอนว่าสัตว์ต่างๆไม่ได้นอนรอความตายอย่างโง่เขลา ดังนั้นคงต้องรอดูทักษะอันเยี่ยมยอดของคนขายเนื้อ

ด้วยเชือกป่านยาวเส้นหนึ่ง คนขายเนื้อที่มีประสบการณ์สามารถจับตัวเหยื่อไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ได้ภายในสองหรือสามจังหวะ จากนั้นจึงนำไปเชือดเพื่อรองรับเลือดของมัน แล้วค่อยถอนขนหมูก่อนจะเปิดกระเพาะเพื่อล้างสิ่งปฏิกูลของสุกรด้วยน้ำที่ไหลลงมาโดยไม่ขาดสาย

ความสามารถในการทำความสะอาดหมูเป็นสัญลักษณ์ในการเป็นมืออาชีพของคนขายเนื้อเช่นกัน

บางครอบครัวที่ร่ำรวยและใจกว้างยังมอบหัวหมูให้กับคนขายเนื้อเพื่อแสดงการยอมรับทักษะที่ยอดเยี่ยมของนักฆ่าเหล่านี้

คนขายเนื้อแซ่อู๋มอบเชือกป่านมัดหมูให้อู๋ต้าหวังด้วยคาดหวังว่าเขาจะได้แสดงฝีมือต่อหน้าพ่อตาในอนาคต

ต้าหวังที่ไม่รีบร้อนเดินไปทางคอกหมูอย่างใจเย็นและเปิดรั้วออก ทว่ากลับร้องตะโกนออกไปด้านนอก “ท่านพ่อ ท่านมาดูหน่อยสิ”

“เจ้าเด็กนี่!” คนขายเนื้อแซ่อู๋กอดอกแน่น “ปกติเจ้าทํางานอย่างคล่องแคล่ว แล้วเหตุใดคราวนี้ต้องเรียกให้ข้าไปช่วย!”

“มิได้เป็นเช่นนั้น ท่านพ่อรีบมาดูก่อน…” อู๋ต้าหวังโผล่ร่างออกมาจากคอกหมูครึ่งตัว ขณะหางตาเหลือบมองหยุนเยี่ยนโดยไม่รู้ตัว “หมูนี่มีอาการแปลก ๆ”

คนขายเนื้อแซ่อู๋ได้รับการถ่ายทอดฝีมือจากบิดามาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี และฆ่าหมูมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ดังนั้นมองเพียงแวบเดียวย่อมรู้ว่าหมูเหล่านี้เป็นโรคร้าย ทำให้รู้สึกลําบากใจเล็กน้อย

การฉวยโอกาสฆ่าหมูตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ย่อมไม่สามารถสังเกตุเห็นความผิดปกติจากเนื้อของมันได้ แต่ถ้าเอาไปขายให้กับร้านอาหารจะไม่เป็นการหลอกลวงผู้คนเหล่านั้นหรอกหรือ?

เช่นนั้นไม่ควรฆ่ามันและปล่อยให้หมูพวกนี้ตายเองจะดีกว่า เพราะเกรงว่าชาวบ้านจะตราหน้าพวกเขาได้

“ท่านลุง ข้าคิดว่าหมูของท่านอาการไม่ดีสักเท่าไหร่!” บุตรชายคนขายเนื้อแซ่อู๋เอ่ยถามราวกับต้องการหยั่งเชิง

“ฉวยโอกาสฆ่ามันทั้งเป็น คงไม่เป็นไรกระมัง” ผู้เฒ่าหยุนไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ให้เห็น

“เรื่องนั้น…”

“ท่านพ่อ…” อู๋ต้าหวังก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แต่ขณะที่กําลังจะพูดอันใดกลับถูกบิดาขวางไว้ด้วยการส่งสายตา

เป็นผลให้ต้าหวังชะงักเล็กน้อยขณะยกลูกกระเดือกขึ้นลงก่อนจะกลืนคําพูดลงคออย่างไม่เต็มใจ

จากนั้นคนขายเนื้อแซ่อู๋วางมือขนาดใหญ่ลงบนมีดเชือดหมูพร้อมกล่าวคำขอโทษด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุง ข้าเกรงว่ามันจะเป็นการทำผิดกฎ”

บ้านสกุลอู๋ไม่มีหน้าร้านจึงอาศัยฝีมือเพียงอย่างเดียวมาหลายปีแล้วและหมูที่นํากลับไปจะถูกส่งไปยังร้านอาหารในเมืองที่เป็นลูกค้าขาประจำ โดยไม่เคยมีปัญหาแม้แต่ครั้งเดียว

เพราะการค้าขายที่ติดต่อกันมาเนิ่นนานนี้อาศัยเพียงคําสองคําคือ จริงใจ

แม้คนขายเนื้อแซ่อู๋จะเป็นผู้ที่มีนิสัยหยาบคาย ทว่าสำหรับเรื่องการทํางานเขากลับค่อนข้างรอบคอบ ทำให้เนื้อหมูที่ผ่านเงื้อมมือของเขาล้วนสะอาดสะอ้านและแม้แต่ขนที่แห้งกร้านยังถูกกำจัดจนสิ้นซาก ดังนั้นไม่ว่าใครที่เห็นย่อมต้องชมเชยคนที่ทำงานละเอียดเช่นเขา

คราวนี้หมูสามตัวของตระกูลหยุนที่ป่วยเป็นโรคทําให้เขาลําบากใจอย่างยิ่ง

ถ้าจะเอาเนื้อหมูป่วยที่ชำแหละแล้วไปขาย ไม่เพียงหลอกลวงคนอื่น แต่ยังเป็นการทุบหม้อข้าวตนเองด้วยหรือเปล่า?

“มีสิ่งใดที่ไม่เป็นไปตามกฎ? ถึงอย่างไรเจ้าหมูเหล่านี้ก็ต้องตายอยู่ดีมิใช่หรือ? เจ้าเป็นคนฆ่าหมู แล้วจะมีกฎอันใดอีก?” หยุนลี่เซียวยกชามข้าวออกมาจากห้องโถงใหญ่พร้อมตะโกนขึ้นมาว่า “แล้วทีหมูตระกูลเก่อถูกลากไปขายในอําเภอใกล้เคียง ทําไมไม่เห็นชาวบ้านที่นั่นกินแล้วตายบ้าง”

“น้องสาม อย่าพูดเช่นนั้น” คนขายเนื้อแซ่อู๋เป็นคนตรงไปตรงมา แต่เห็นแก่หน้าผู้เฒ่าหยุนและญาติพี่น้องในอนาคตจึงไม่ได้แสดงอาการเกรี้ยวกราด ขณะทำเพียงเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด

“บ้านข้าเรียกเจ้ามาฆ่าหมู แต่เจ้ากลับจงใจชักช้า เจ้าคิดจะทําอะไรอย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ” หยุนลี่เซียวเชิดจมูกขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะพ่นลมออกมา “คงอยากจะได้เนื้อหมูราคาถูกหรือได้ไปโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดงใช่หรือไม่? แต่น่าเสียดายที่วิธีการของพวกเจ้าหนีไม่พ้นจากดวงตาอันเฉียบคมของข้าไปได้ ฮึ่ม!”

ใบหน้าของคนขายเนื้อแซ่อู๋มืดครึ้มและรีบดึงเชือกป่านก่อนจะประสานมือให้ผู้เฒ่าหยุนพร้อมพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “ข้าไม่สามารถทํางานให้กับท่านได้ ข้าขอตัวก่อน”

“เดี๋ยวก่อน” ผู้เฒ่าหยุนรีบเอียงตัวไปขวางทางอีกฝ่ายก่อนจะหันกลับไปมองหยุนลี่เซียวที่กําลังกระทืบเท้าขณะสบถออกมาอย่างรุนแรง “จะทำได้หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า! รีบกลับเข้าไปในบ้านเดี๋ยวนี้!”

“ท่านพ่อ ข้าขอเตือนด้วยความหวังดี อย่าพูดเรื่องไร้สาระกับเขาเลย ฮึ่ม เขาคงคิดว่าครอบครัวของเราโง่มากถึงตั้งใจจะหลอกกัน…”

“ไสหัวไป!”

หยุนลี่เซียวเบ้ปากด้วยความเกลียดชังพร้อมเดินกลับเข้าไปในห้องโถงใหญ่เพื่อนั่งลงทานข้าวต่อ

เส้นเลือดปูดโปนบนขมับของผู้เฒ่าหยุนปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นเมื่อเขากำลังโกรธ แต่ยังคงดึงหน้ากลับมาพูดกับคนตรงหน้าว่า “อู๋ต้าหวัง เจ้าดูสิ บ้านข้าเลี้ยงหมูหลายตัวมาอย่างยากลําบาก ช่วยทำหูหนวกตาบอดสักครั้งมิได้หรือ? ส่วน… เรื่องราคาก็แล้วแต่เจ้าจะเห็นสมควร ขอเพียงจัดการให้เรียบร้อยย่อมพอแล้ว ตกลงไหม?”

เวลานี้อู๋ต้าหวังคือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบกิจการของตระกูลอู๋โดยตรง และด้วยน้ำเสียงที่เจรจากันเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกําลังร้องขอความเห็นใจ

วิธีนี้คงดีเสียกว่าการที่ทุกอย่างถูกล้มเลิก สําหรับตระกูลหยุนที่ตอนนี้การเงินค่อนข้างฝืดเคือง สำหรับเงินเพียงหนึ่งเหรียญย่อมมีความหมายสำหรับพวกเขา

“ท่านลุง ท่านเป็นคนมีเหตุผล เหตุใดถึงมีความคิดเช่นนี้!” บุตรชายของคนขายเนื้อแซ่อู๋รู้สึกโกรธไม่น้อย และด้วยความใจเขาจึงตบมีดเชือดหมูที่เอวพร้อมกล่าวว่า “เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจะจัดการหมูเหล่านี้ให้กับท่านโดยไม่รับค่าแรงและไม่รับเนื้อหมู… จากนั้นท่านจงไปจัดการเอง ดีหรือไม่?”

เมื่อทุกคนพูดมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าหยุนย่อมไม่ต้องการให้อีกฝ่ายลําบากใจอีก จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “คงต้องเป็นเช่นนั้น… ข้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว”

“ท่านลุงอู๋กับพี่ต้าหวังทํางานด้วยความพิถีพิถันอย่างแท้จริง” หยุนเชวี่ยวางชามข้าวลงก่อนจะเช็ดปาก

“ไม่ได้สิ เพราะการทำเช่นนี้เท่ากับการทุบหม้อข้าวของตนเอง” แม่นางเหลียนตักโจ๊กอีกสองชามมาวางลงบนโต๊ะ “เดี๋ยวข้าจะทําผัดผักให้กินอีกสองจาน ตอนเช้าตรู่เช่นนี้ถ้าต้องทำงานตอนหิวคงไม่มีความสุข…”

“พวกเขาทำเพื่ออันใด…” หยุนเชวี่ยพึมพําเสียงเบา

“พี่ใหญ่อู๋” หยุนลี่เต๋อที่รู้สึกอับอายถูมือใหญ่พลางพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ตอนเที่ยงภรรยาข้าจะตุ๋นกระต่าย แล้วยังมีเหล้าสาลี่ที่หอมหวานสำหรับเราสองคนด้วย!”

“ได้!” คนขายเนื้อแซ่อู๋ตอบอย่างตรงไปตรงมา

“เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมตุ๋นกระต่ายป่าเนื้อแน่นด้วยไฟอ่อนและเคี่ยวช้า ๆ รสชาติถึงจะยอดเยี่ยม!” แม่นางเหลียนยิ้มพลางเบิกตากว้างไปทางหยุนเยี่ยนเพื่อส่งสัญญาณให้ไปทํางานต่อ

จากนั้นสองพ่อลูกแซ่อู๋จึงรีบพับแขนเสื้อและทํางานอย่างคล่องแคล่ว

แม้หมูพวกนั้นกําลังป่วยจนคร้านที่จะขยับตัว ทว่าเมื่อเห็นมีดที่ส่องประกายเย็นเยียบ พวกมันพลันรู้สึกราวกับว่าวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่างจึงพยายามดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายพร้อมกับร้องโหยหวนออกมาทันที

ต้องขอบคุณความชํานาญในการใช้เชือกผูกมัดมัน ทําให้หมูที่กําลังจะตายไม่สามารถออกแรงได้ จากนั้นเขาใช้ดาบที่ทั้งมั่นคงและแม่นยําแทงลงไป…

หยุนเชวี่ยที่เฝ้าดูอยู่หดคอพร้อมแสยะยิ้มและถอยหลังไปหลายก้าวและคว้าตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นสะพายไว้บนบ่า “ท่านแม่ ท่านพี่ ข้าขอตัวไปส่งของในเมืองก่อน…”

“รีบไปแล้วรีบกลับนะ!” แม่นางเหลียนกําชับ

“เจ้าค่ะ!” หยุนเชวี่ยรับคำและกําลังจะจากไป ทว่าหยุนลี่เต๋อหยุดเอาไว้เสียก่อน “เชวี่ยเอ๋อเดี๋ยวก่อน”