ตอนที่ 144 บรรพบุรุษผู้ชรา
หยุนลี่เต๋อเรียกหยุนเชวี่ยเอาไว้ แต่สายตากลับมองไปยังแม่นางเหลียนพลางหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ที่บ้านของเราไม่มีเหล้าแล้ว”
แม่นางเหลียนตะลึงงัน “แล้วเหตุใดถึงไม่มี?”
หยุนลี่เต๋อไม่ใช่ผู้ที่ชอบดื่มสุรา ครั้งก่อนหลังจากดื่มกับผู้เฒ่าเหอแล้ววางไว้ใต้ร่มไม้หน้าห้องตะวันตกและตัวเขาเองดื่มไปเพียงไม่กี่ครั้ง แล้วเหตุใดมันถึงไม่มีแล้ว?
“เชวี่ยเอ๋อเข้าเมืองแล้วแวะซื้อสุราให้พ่อด้วย!” หยุนลี่เต๋อไม่มีเงินในกระเป๋า จึงได้แต่ยิ้มพลางถูมือไปมา
สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ผู้ชายคือคราดซึ่งมีหน้าที่หาเงิน สำหรับผู้หญิงคือกล่องออมเงิน และครอบครัวเกษตรกรในชนบทมักจะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเงินที่ได้กลับมาแล้วต้องมอบให้ผู้หญิงเก็บไว้อย่างเชื่อฟัง
สิ่งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเมื่อแต่งงานกับภรรยาที่จัดการเรื่องภายในบ้านได้ เงินทุกเหรียญย่อมถูกใช้จ่ายไปอย่างคุ้มค่า ซึ่งแตกต่างจากผู้ชายที่ประมาทและไม่สามารถรักษาเงินที่มีอยู่ได้
ถ้าเงินของบ้านใดมอบหมายให้ผู้ชายจัดการ ย่อมถือว่าภรรยาบกพร่องต่อหน้าที่ในการดูแลบ้านหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพวกล้าหลัง
ยกตัวอย่างเช่น หวังหม่าจื่อที่อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านหาเงินได้แต่กลับไม่ให้ภรรยา ทุกวันมีลูกชายสองคนทั้งดื่มเหล้าและติดการพนัน ผลคือแม้จะอายุสี่สิบปีแล้วครอบครัวนั้นยังนอนอยู่ในห้องที่หลังคารั่ว อีกทั้งลูกชายคนโตที่บอกว่าจะแต่งงานเมื่อปีก่อนยังไม่สามารถทำตามที่หวัง เพราะไม่สามารถจ่ายสินสอดทองหมั้นเป็นหมูสองตัวได้
ภรรยาของหวังหม่าจื่อเป็นคนขยันขันแข็งและทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่น่าเสียดายที่ชีวิตต้องตกระกำลำบาก เพราะตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลหวังมาไม่มีแม้สักวันเดียวที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล โดยมักจะร้องไห้เสียใจและขอโทษลูกชายทั้งสองคนที่ตอนนี้อายุยี่สิบปีแล้วทว่ายังไม่ได้แต่งงาน ขณะที่บุตรชายของบ้านอื่นที่มีอายุใกล้เคียงกันกลายเป็นพ่อคนแล้ว
ดังนั้นตั้งแต่แต่งงานกันหยุนลี่เต๋อจึงมอบเงินให้แม่นางเหลียนตามแบบอย่างอันดี แต่แม่นางเหลียนไม่ใช่คนตระหนี่ นางไม่เคยขัดใจลูกตัวเองและใจกว้างกับเด็กหลายคนรวมถึงหยุนลี่เต๋อด้วย
แม่นางเหลียนเหลือบมองไหสุราใต้ร่มไม้แวบหนึ่ง เมื่อนึกบางอย่างได้จึงรีบกลับห้องไปเอาเงิน ทั้งยังกําชับว่า “เชวี่ย เอ๋อ ขากลับอย่าลืมซื้อสุราชั้นดีมาให้ท่านพ่อกับลุงอู๋และซื้อขนมกลับมาด้วย”
ครั้งนี้ถือเป็นการมาเยี่ยมเยือนของลูกเขยในอนาคตเป็นครั้งแรก จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย
คนขายเนื้อแซ่อู๋ไม่เกรงใจและโบกมือขณะมืออีกข้างที่ถือมีดเชือดหมูยกขึ้นพลางหัวเราะไปด้วย “เช่นนั้นต้องขอบคุณน้องสะใภ้มาก”
พูดจบปลายเท้าของบิดาเขาได้แตะน่องของต้าหวังที่กําลังก้มหน้าก้มตาทํางานอยู่ อู๋ต้าหวังจึงรีบเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นฟันขาว “ขอบคุณท่านอายิ่ง”
“อะแฮ่ม…” ชายชราแซ่อู๋เหลือกตาอีกครั้ง
“…” ต้าหวังเม้มปากและรีบประสานมือแล้วกล่าวต่อไป “ขอบคุณท่านลุงรองหยุนและเยี่ยนเอ๋อยิ่งนัก”
หยุนเยี่ยนจึงก้มหน้าลงอย่างเขินอายและเดินตามแม่นางเหลียนเข้าไปในห้อง
“พี่ต้าหวัง ข้าเป็นคนวิ่งไปซื้อเหล้าให้ แล้วเหตุใดท่านไม่ขอบคุณข้าบ้าง?” หยุนเชวี่ยกล่าวออกพร้อมกับปาดเหงื่อเม็ดใหญ่บนหน้าผาก เมื่ออู๋ต้าหวังเห็นแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“เช่นนั้นต้องขอบคุณน้องเชวี่ยเอ๋อด้วย…”
“พรึ่บ!”
“สาวน้อยผู้นี้ เหตุใดจึงไม่รู้จักโตสักที?” แม่นางเหลียนหยิบกล่องเงินขนาดใหญ่ออกมาจากห้อง และยัดถุงเงินให้บุตรสาวอีกใบ “รีบไปรีบกลับ และระหว่างทางระวังตัวด้วย”
หยุนเชวี่ยรับคำพร้อมสะพายตะกร้าไม้ไผ่แล้วกระโดดโลดเต้นอย่างอารมณ์ดี
คนแซ่อู๋หัวเราะอย่างร่าเริงตามหลังไป “น้องรอง ข้าคิดว่าเจ้าช่างโชคดีเสียจริง ลูกสาวคนนี้ช่างเป็นเด็กดีและรู้ความ อีกทั้งยังมีมารยาท มิหนำซ้ำยังมีลูกชายที่เรียนหนังสือเก่ง เจ้าคงมีความสุขไม่น้อย!”
ภายใต้ชายคาของห้องโถงใหญ่ ผู้เฒ่าหยุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ขณะพัดในมือของเขาสั่นไปมาด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองและเสียใจ
วันเวลาของบุตรชายคนรองสดใสขึ้นทุกวัน ผู้เฒ่าหยุนมองเห็นแล้วรู้สึกปลื้มใจแม้ว่าแยกเรือนไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรหยุนลี่เต๋อก็ยังคงเป็นบุตรชายของตนอยู่
แต่ในความปลื้มปิตินี้มีอีกหลากหลายอารมณ์ที่ปะปนอยู่ เพราะหากหยุนลี่จงสามารถสอบแข่งขันได้ มันคงจะดีมิใช่น้อย!
ทว่าตอนนี้กลับมีแต่ความเศร้าเสียใจ?
ปัญหาที่เกิดขึ้นในใจของผู้เฒ่าหยุนได้เกิดขึ้นอีกครั้งและถอนหายใจยาวขณะที่หน้าอกของเขามีความรู้สึกราวกับมีการเติมไม้ฟืนแห้งเข้าไปในเพลิงที่กำลังเผาไหม้อยู่ ส่งผลให้เกิดความอัดอั้นและกระวนกระวายใจ
พวกเขาไม่มีหนทางอื่นนอกจากเลือกอนาคตของหยุนลี่จง ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรสําคัญไปกว่าอนาคตของหยุนลี่จงอีกแล้ว
ผู้เฒ่าหยุนปลอบใจตัวเองเช่นนี้ ทว่ากลับยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น ขณะเหลือบตาขึ้นพอดีทำให้บังเอิญเห็นหยุนลี่จงยื่นมือออกไปที่หน้าต่างบ้าน
หน้าต่างบานใหญ่ของบ้านฝั่งตะวันออกหันหน้าไปทางลานบ้าน ทำให้มีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งเมื่อคนแซ่อู๋ทำความสะอาดหมู ชายผู้นี้จึงทําให้หน้านิ่วคิ้วขมวด
“เจ้าใหญ่” ผู้เฒ่าหยุนตะโกนขึ้น
หยุนลี่จงเอามือยันหน้าต่างไว้ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “ท่านพ่อเป็นอะไรไป”
“ไปที่ห้องโถงใหญ่ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
“ท่านพ่อ ข้ากําลังท่องตำราอยู่ มีอะไรต้องพูดตอนนี้?”
“เรื่องสำคัญ” ผู้เฒ่าหยุนลุกขึ้นและเดินเข้าไปในห้องสองก้าวก่อนจะหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง
หยุนลี่จงเดินออกจากห้องไปอย่างไม่เต็มใจพร้อมปิดปากจมูกถือเท้าตรงเดินอ้อมไปด้านข้างของสองพ่อลูกคนขายเนื้ออู๋แล้วเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่
“ท่านพ่อ”
“เจ้าใหญ่ ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าผู้ที่รับเงินหนึ่งร้อยตําลึงจากเจ้านั้นเชื่อถือได้หรือไม่?” ชายชราเหลือบมองขณะเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ
“เชื่อถือได้แน่นอน สหายร่วมห้องในเมืองของข้ามีความสัมพันธ์กันมาหลายต่อหลายครั้ง จึงจะยอมรับเงินจากพวกเรา พวกไร้ความสามารถพวกนั้น ไม่มีทางจะที่ส่งเงินให้เขาได้” หยุนลี่จงเบ้ปากอย่างภาคภูมิใจ “ข้าพูดมาหลายรอบแล้ว เหตุใดท่านพ่อยังถามอีกเล่า?”
“ข้ารู้สึกไม่มั่นใจ เจ้าใหญ่ เจ้าต้องรู้ว่าครั้งนี้บ้านเราขายที่ดินไปหมดจนไม่มีอันใดเหลือแล้ว ทุกคนในบ้านต้องกินข้าว เรื่องนี้เจ้าต้องมีความมั่นใจและห้ามทําผิดพลาดเด็ดขาด…” ผู้เฒ่าหยุนจําไม่ได้ว่านี่เป็นครั้งที่เขากําชับหยุนลี่จงกี่ครั้งแล้ว
ตั้งแต่ไม่มีที่ดินทำกิน ดูเหมือนว่าในชีวิตจะไม่มีอันใดเหลือแล้วจึงทำเพียงกินและนอนทั้งวัน
“ข้าคิดไว้ทุกสิ่งแล้ว!” หยุนลี่จงรู้สึกรําคาญเล็กน้อย “มันก็แค่ยี่สิบไร่มิใช่หรือ หากวันหน้าข้าได้เป็นขุนนาง ท่านอยากได้อันใดก็ต้องได้ แล้วยังจะคิดถึงเรื่องนี้อีก!”
“เจ้าใหญ่…”
“ท่านพ่อ ข้าจะกลับไปอ่านหนังสือต่อ การสอบฤดูใบไม้ร่วงนี้ใกล้จะถึงแล้ว ข้าต้องรีบหน่อย” หยุนลี่จงสะบัดมือและทําท่าจะเดินจากไป ทว่าหลังจากก้าวออกไปเพียงสองก้าว ทันใดนั้นพลันนึกอันใดขึ้นมาได้จึงหันหน้ามากล่าวว่า “ใช่แล้วท่านพ่อ นับแต่นี้ไปเวลากินข้าวไม่ต้องเรียกข้า เพียงยกไปที่ห้องตะวันออกก็พอแล้ว”
ผู้เฒ่าหยุนถึงกับสำลักและไม่พูดเป็นเวลานาน จากนั้นได้ยินแค่เสียงปังที่เกิดจากการปิดหน้าต่างอย่างแรงที่ปีกตะวันออก
“ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรกับพี่ใหญ่” หยุนลี่เซียวกอดอกถามอย่างเกียจคร้าน
“พูดเรื่องการสอบ” ชายชราได้สติคืนมาขณะสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ท่านพ่ออย่าคิดโป้ปดต่อข้าเลย” มุมปากของหยุนลี่เซียวกระตุกคล้ายจะยิ้ม “อย่างไรซะพี่ชายคนโตก็ย่อมดีกว่าพรานล่าสัตว์ ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาคิดอย่างไร แต่ท่านจะสับสนเช่นนี้ไม่ได้”
“เจ้ามัวมาพูดจาไร้สาระอันใดตรงนี้? เรื่องตรงหน้ากลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แล้วพืชไร่ในทุ่งถึงเวลารดน้ำเหตุใดไม่ไปจัดการ พาเอ้อหลางกับซานหลางไปทํางานได้แล้ว!” ผู้เฒ่าหยุนกําลังรู้สึกหดหู่ แต่หยุนลี่เซียวกลับพูดจายั่วโมโห
“เหตุใดทุกคนในครอบครัวถึงต้องทํางาน? แต่พี่ใหญ่กลับไม่ทําอันใดสักอย่างและนั่งอ้าปากรอกินอย่างเดียว!”
“พี่ใหญ่ต้องเรียนหนังสือ หากมีความสามารถย่อมไปสอบขุนนางได้!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านพ่อ นี่ยี่สิบปีแล้วที่เขาสอบไม่ผ่านและทำให้ทรัพย์สินในบ้านเราต้องหมดสิ้น แล้วพ่อยังปกป้องเขาอยู่อีก รอบหน้าหากสอบไม่ผ่านอีก ข้าอยากรู้นักว่าเขาจะยังมีหน้าพูดอันใดได้อีก…”
“หุบปากแล้วรีบไปทํางานซะ!”