ตอนที่ 145 ไม่อาจปล่อยไปโดยง่าย

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 145 ไม่อาจปล่อยไปโดยง่าย

หลังจากสองพ่อลูกแซ่อู๋เชือดหมูสามตัวอย่างคล่องแคล่ว ในที่สุดเมื่อใกล้เที่ยงวันเนื้อหมูทั้งหมดได้วางไว้ใต้ชายคาของห้องโถงใหญ่

ผู้เฒ่าหยุนต้องการจ่ายค่าแรงอย่างใจกว้าง ทว่าคนขายเนื้อแซ่อู๋กลับปฏิเสธที่จะรับ

ดังนั้นในตอนท้ายผู้เฒ่าหยุนจึงจำป็นต้องเก็บเงินกลับเข้าไปในกระเป๋า

ขณะแม่เฒ่าจูที่นั่งอยู่บนเตียงชั้นบนมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นคนขายเนื้อแซ่อู๋ไม่รับค่าแรงจึงกลอกตาไปมา

“ไม่ยอมรับหมูของเรา แล้วยังเสแสร้งทําตัวเป็นคนดีอีก! เชอะ!” แม่เฒ่าจูถ่มน้ำลายอย่างอารมณ์เสีย “อยากให้พวกเรารับน้ำใจของเขา คงไม่มีวัน!”

“ท่านแม่ ท่านมีความเห็นอย่างไร? คนแซ่อู๋กับบ้านของพี่รองสนิทสนมกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” หยุน

ชิ่วเอ๋อเอ่ยถามพร้อมชําเลืองมองด้านนอก

แม่เฒ่าจูกลอกตาก่อนจะกล่าว “เจ้าเด็กต้าหวังมีอายุสมควรแต่งงานได้แล้ว หรือว่าเขาชอบเยี่ยนเอ๋อ?”

หยุนชิ่วเอ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบ้ปากอย่างรังเกียจ “เจ้าลูกเต่าเห็นกระเบื้องเป็นทองคำ แต่คิดดูแล้วนังเด็กเวรนั่นกับคนเชือดหมูก็เหมาะสมกันดี!”

“อย่าดูถูกคนฆ่าหมูเชียว รายได้ตลอดทั้งปีของเขานับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว” แม่เฒ่าจูเลิกหางตาขึ้น “หากเจ้าได้แต่งงานกับคนฆ่าหมู บ้านของเราคงมีซาลาเปาไส้หมูกินทุกวัน”

“หึ…” หยุนชิ่วเอ๋อปิดปากก่อนจะเยาะเย้ย “ข้าไม่ชอบคนผู้นี้เลยและไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งงานกับมัน!”

แม่เฒ่าจูกลอกตาไปมาแต่ไม่รู้ว่ากําลังคิดอันใดอยู่

“ท่านแม่ ท่านบอกว่าคนแซ่อู๋จะแต่งงานกับนังเด็กนั้น แล้วเขาจะให้สินสอดทองหมั้นอันใดได้” หยุนชิ่วเอ๋อยังคงเยาะเย้ยต่อไป “ข้าคิดว่าคงจะเป็นหมูสองตัวกับกระเพาะหมูอีกสองอัน ฮ่าฮ่าฮ่า”

การชิงดีชิงเด่นเรื่องสินสอดทองหมั้นเป็นประเพณีนิยมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้มาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะในหมู่บ้านแถบชนบท และแน่นอนว่าเมื่อผู้หญิงทุกวัยของทุกครอบครัวมารวมตัวกัน โดยหัวข้อในการสนทนาย่อมหนีไม่พ้นเรื่องใครคือลูกเขยของตระกูลใดหรือลูกสะใภ้ของบ้านนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรและสินสอดที่ได้รับมากหรือน้อยเพียงใด…

ในเวลานี้ผู้ใดก็ตามที่บุตรสาวแต่งงานกับคนมีฐานะย่อมมีใบหน้าที่สดใสและกลายเป็นที่อิจฉาของทุกคน ตัวอย่างเช่นตัวของนางที่มีฐานะสูงส่งในบ้าน หากเด็กในบ้านแต่งงานและได้สินสอดมากกว่า แม้ปากจะไม่พูดแต่ในใจ

ย่อมอดรู้สึกว่าตนเองถูกดูแคลนไม่ได้

คำกล่าวที่ป้าสามและป้าหกมักจะพูดอยู่บ่อยครั้งคือ ตอนหญิงสาวแต่งงานออกไปนั้น สินสอดยิ่งมีมากเท่าใดหมายถึงการให้ความสำคัญต่อภรรยามากขึ้นเท่านั้น เป็นเหตุผลว่าเหตุใดฮูหยินใหญ่จากตระกูลใหญ่โตถึงได้สินสอดมากมากมาย ส่วนอนุภรรยาแค่ยกเกี้ยวเจ้าสาวยังต้องเข้าไปทางประตูด้านข้างเท่านั้น

แม้จะไม่ใช่ประเพณีอันดีงาม ทว่าเรื่องสินสอดทองหมั้นเป็นหัวข้อที่ผู้หญิงทุกคนให้ความสนใจและดูเหมือนจะไม่ล้าสมัย

“ใช้หมูสองตัวเพื่อแต่งภรรยากลับไปปรนนิบัติครอบครัวเขาหรือ? ฝันกลางวันแล้ว!” แม่เฒ่าจูกล่าวพร้อมทำตาขวาง

“นังเด็กจากครอบครัวรอง การได้แต่งเข้าบ้านตระกูลอู๋ย่อมถือว่าสูงเกินเอื้อม เช่นนั้นหมูสองตัวก็นับว่าเพียงพอแล้ว” หยุนชิ่วเอ๋อไม่ต้องการเสียหน้า ดังนั้นยิ่งสินสอดทองหมั้นน้อยเท่าใด ทำให้นางยิ่งภูมิใจมากขึ้นเท่านั้น

“ข้าเป็นญาติผู้ใหญ่ของนาง หากข้าไม่เห็นด้วย ดูสิว่าตระกูลอู๋จะแต่งงานกับเด็กสาวผู้นี้ได้อย่างไร” แม่เฒ่าจูวางแผนไว้แล้ว เนื่องจากหยุนเยี่ยนผู้นี้กินดื่มอยู่ในบ้านของนางมาสิบกว่าปี แม่เฒ่าจูจึงไม่ต้องการยกให้ผู้อื่นไปโดยเปล่าประโยชน์

เมื่อแม่เฒ่าจูกล่าวเช่นนั้น หยุนชิ่วเอ๋อย่อมรู้สึกมีชีวิตชีวาและเอ่ยถามด้วยดวงตาที่เป็นประกายว่า “แล้วพี่รองจะมีความสุขได้อย่างไร?”

“เหตุใดเขาถึงไม่มีความสุข? ฮึ่ม มันคือลูกชายที่ข้าเลี้ยงดูมา แล้วทำไมแม่อย่างข้าจึงไม่สมควรจัดการ? เหตุใดเขาถึงไม่พอใจ?” แม้หยุนลี่เต๋อจะแยกครอบครัวไปแล้ว แต่แม่เฒ่าจูยังคงมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าสามารถบงการบุตรชายคนที่สองที่ซื่อบื้อและน่าเบื่อที่สุดได้

หลังจากหยุนชิ่วเอ๋อได้ยินเช่นนั้นจึงฉีกยิ้มกว้างทันที “เช่นนั้นท่านแม่อย่าวางมืออย่างง่ายดาย ท่านต้องขอของจากบ้านนั้นให้มากขึ้นและเพิ่มเครื่องสําอางกับกําไลเงินให้ข้าด้วย มันย่อมดีกว่าปล่อยให้ลูกของพี่รองเอาไป…”

ภายในลานบ้าน

ผู้เฒ่าหยุนกําลังมองหมูสามตัวที่อยู่ใต้ชายคาด้วยความกังวลใจ

เนื้อหมูเหล่านี้ไม่เหมือนกับหมูที่ถูกเชือดในช่วงฤดูหนาวเพราะเนื้อหมูดังกล่าวหากกินไม่หมดย่อมตากเป็นเนื้อแห้ง แต่เนื้อหมูที่ตายด้วยโรคระบาดไม่อาจปล่อยไว้นานได้เนื่องจากจะส่งกลิ่นเหม็น ดังนั้นต้องรีบคิดหาวิธีที่จะจัดการกับมันอย่างรอบคอบ

ผู้เฒ่าหยุนขมวดคิ้วพลางลูบเคราบางบนคางของเขาขณะครุ่นคิดอยู่พักใหญ่และถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว!” ก่อนที่หยุนเชวี่ยจะเข้าประตู เสียงอันไพเราะของเด็กสาวได้ดังขึ้น

แม่นางเหลียนที่กําลังทําขนมเปี๊ยะจึงรีบยื่นมือออกไปรับ

“นี่เป็นเหล้าสําหรับท่านพ่อกับลุงอู๋ และนี่คือถั่วลิสงทอดกับเนื้อหมูอบซอส!” หยุนเชวี่ยกล่าวพร้อมยื่นน้ำเต้าและห่อกระดาษสองห่อ

คนขายเนื้อแซ่อู๋ที่กําลังนั่งดื่มชากับหยุนลี่เต๋อยู่ใต้ต้นไม้เผยรอยยิ้มในทันที “สาวน้อยเชวี่ยเอ๋อซื้อกับแกล้มได้ถูกใจข้าเสียจริง”

“เช่นนั้นท่านลุงอู๋ต้องกินให้มากหน่อยนะเจ้าค่ะ” ดวงตาที่โค้งขึ้นด้วยรอยยิ้มที่แก้มด้านหนึ่งมีลักยิ้มที่น่ารักมากเป็นพิเศษปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวอมชมพูของหยุนเชวี่ย

ยิ่งมองคนขายเนื้อแซ่อู๋ยิ่งมีความสุขมากขึ้น เดิมทีคิ้วหนากับตาโตและหนวดเคราบนใบหน้าดําคล้ำในยามไม่ยิ้มมองดูแล้วช่างดุร้ายยิ่งนัก ทว่ารอยยิ้มนี้แฝงไว้ด้วยความเรียบง่ายของชาวไร่ชาวนา

“พี่สาว พี่สาว”

หยุนเยี่ยนกำลังช่วยแม่นางเหลียนทําอาหาร หยุนเชวี่ยขยับเข้าไปใกล้หยุนเยี่ยนขณะแอบหยิบถุงผ้าแดงใบเล็กออกมาจากอกเสื้อก่อนจะใช้นิ้วจิ้มอีกฝ่าย “อันนี้ของพี่สาว”

“อันใด?”

“ลองเปิดดูสิ!”

หยุนเยี่ยนถูไถสองมือตนเองกับผ้ากันเปื้อนก่อนจะรับสิ่งนั้นมาด้วยความสงสัยและเปิดออกเพียงพบว่ามันคือปิ่นปักผมขนาดเล็กเป็นรูปผีเสื้อคู่ โดยปีกผีเสื้อประดับด้วยลูกปัด ส่วนใต้หางของมันยังมีพู่อีกคู่หนึ่งซึ่งดูแล้วมีความงดงามอย่างยิ่ง

หยุนเยี่ยนถึงกับตะลึงงัน “ช่างงดงามจริง ๆ นี่เจ้าซื้อให้ข้าด้วยเหตุใด? เจ้าใช้เงินไปเท่าใดกัน!”

“ข้ามอบให้พี่สาว” หยุนเชวี่ยขยิบตาให้อีกฝ่ายพร้อมเปิดปากพูดเสียงต่ำ “ข้าใช้เงินเก็บส่วนตัวซื้อมันเอง”

“ข้าไม่ต้องการ” หยุนเยี่ยนมองปิ่นปักผมอีกครั้งก่อนจะห่อผ้าแดงอย่างระมัดระวัง แล้วยัดมันใส่มือเชวี่ยเอ๋อ “พรุ่งนี้เจ้ากลับไปถามคนขายว่าขอคืนได้หรือเปล่า ข้าไม่รู้ว่าจะเอามันไปทําอันใด…”

“พี่สาว ใครเอาของที่ซื้อแล้วกลับไปคืนบ้าง! อีกอย่างข้าต้องการซื้อให้ท่าน เหตุใดถึงไม่ยอมรับมันเล่า?” หยุนเชวี่ยมองหยุนเยี่ยนด้วยใบหน้าไม่พอใจ

“เงินที่เจ้าเก็บไว้มันไม่มีค่ารึ?” หยุนเยี่ยนไม่เต็มใจที่จะใช้เงินของผู้อื่นอย่าไม่เหมาะสมเช่นนี้

“ข้าไม่สนใจ ถึงอย่างไรข้าก็ซื้อมันมาแล้ว” เชวี่ยเอ๋อถือปิ่นปักผมและเทียบบนมวยผมของอีกฝ่าย “พี่สาว ท่านดูสิว่ามันงดงามมากเพียงใด”

หยุนเยี่ยนหลบไปด้านหลังและชําเลืองมองนางอย่างจนปัญญา “ราคาเท่าใด?”

“ไม่แพง… มันเป็นเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

“ต่อไปอย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยเช่นนี้อีก รู้หรือไม่”

“รู้แล้ว รู้แล้ว ท่านพี่รีบปักเร็วเข้า พี่ต้าหวังคงละสายตาจากท่านไม่ได้แน่…”

ใบหน้าของหยุนเยี่ยนแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้งและรีบผลักอุ้งเท้าที่ยื่นมาของอีกฝ่ายออกไป “ข้าจะไม่ปักมัน”

“พี่สาวอย่าหลบเลย ข้าจะปักให้เอง…”

“โอ๊ย เหตุใดพวกเจ้าถึงน่ารําคาญนัก อย่ามาวุ่นวายตอนกำลังทําอาหาร…”

“พี่สาว…” หยุนเชวี่ยไม่ยอมแพ้ “สุภาษิตที่ว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งยังคงใช้ได้อยู่ มาเถิด…”

“เชวี่ยเอ๋อ เหตุใดเจ้าถึงมารบกวนพี่สาวของเจ้า?” แม่นางเหลียนเงยหน้ามองเห็นหยุนเยี่ยนที่กำลังหลบหลีกไปมาอย่างวุ่นวายขณะที่หยุนเชวี่ยตามประชิดอยู่ไม่ห่าง

“ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยกระโดดขึ้นพร้อมกระดิกนิ้วก่อนจะหมอบอยู่ข้างหูแม่นางเหลียนพลางกระซิบกระซาบอยู่หลายประโยค

“เจ้า…” แม่นางเหลียนจิ้มหน้าผากบุตรสาว “อายุยังน้อยจงอย่าคิดเรื่อยเปื่อยไปเอง! ดูพี่สาวเจ้าสิ…”