ตอนที่ 146 พี่ชายน่ารักยิ่ง
สองแม่ลูกกระซิบกระซาบกันอย่างมีความสุข และความคล่องแคล่วในการปรุงอาหารของแม่นางเหลียนกับหยุนเยี่ยนนั้นนับว่าอยู่ในขั้นที่ใช้ได้ ดังนั้นไม่นานนักกลิ่นหอมของเนื้อกระต่ายตุ๋นจึงโชยฟุ้งออกมาจากใต้ฝาหม้อ
สำหรับหยุนเชวี่ยรับหน้าที่เก็บแตงกวาสดจากสวนผักมาล้างให้สะอาดแล้วคลุกเคล้ากับเนื้อหัวหมูและซอสก่อนจะราดด้วยน้ำส้มสายชูเล็กน้อยและโรยต้นหอมซอยละเอียด
“เตรียมตัวกินข้าวได้แล้ว!” แม่นางเหลียนร้องตะโกนอย่างอารมณ์ดี
เมื่อหยุนลี่เต๋อเห็นว่าผู้เฒ่าหยุนยังอยู่ใต้ชายคาของห้องโถงใหญ่ หยุนลี่เต๋อจึงเดินเข้าไปหาและกล่าวว่า “ท่านพ่อ สุราที่ข้าสั่งซื้อมาถึงแล้ว วันนี้ท่านมาดื่มสังสรรค์ด้วยกันเถิด”
“ไม่ ไม่ล่ะ” ผู้เฒ่าหยุนโบกมือ
“ท่านพ่อ…”
“ข้าอายุมากแล้ว ข้ากินไม่ได้เหมือนแต่ก่อน เจ้าไปเถิด ไปเถิด” ผู้เฒ่าหยุนหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ริมฝีปากของหยุนลี่เต๋อขยับเล็กน้อยราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เห็นแม่นางเฉินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานอาหารในมือและอีกมือหนึ่งถือตะกร้า
“โอ้ วันนี้ที่บ้านพี่รองคงจะทำอาหารหลายอย่าง!” แม่นางเฉินจงใจยืดคอมองไปทางทิศตะวันตกขณะตะโกนเสียงดัง
หยุนลี่เต๋อไม่ตอบสนองต่อคำกล่าวของแม่นางเฉินแต่พูดกับผู้เฒ่าที่อยู่ในห้องว่า “ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าจะให้เยี่ยนเอ๋อนําอาหารมาให้ท่าน”
แม่นางเฉินบิดก้นใหญ่ของนางพลางเบ้ปาก “ทำเป็นไม่ใส่ใจคำพูดของข้า บ้านพี่รองคงมีทั้งเนื้อทั้งปลากินอย่างอิ่มหมีพีมัน ไม่เหมือนกับพวกเราที่อดอยากปากแห้งตลอดปี”
หยุนลี่เต๋อทําเป็นไม่ได้ยิน แต่หลังจากเดินห่างออกไปไม่ถึงสองก้าว แม่นางเฉินแสยะยิ้มพร้อมตะโกนเสียงดัง “บอกเยี่ยนเอ๋อให้เอาเนื้อมาเพิ่มให้พวกเราด้วยนะพี่รอง!”
แม่นางเหลียนและหยุนเยี่ยนไม่แปลกใจกับความประพฤติอันน่ารังเกียจของแม่นางเฉินมานานแล้ว ทว่าพวกเขารู้สึกอับอายเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกเช่นนี้
โชคยังดีที่คนขายเนื้อแซ่อู๋แม้จะมองเห็นพฤติกรรมหยาบคายดังกล่าว ทว่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น โดยรีบเอ่ยปากชื่นชมว่า “ฝีมือของน้องสะใภ้ เกรงว่าแม้แต่พ่อครัวของภัตตาคารใหญ่ในเมืองยังเทียบไม่ได้ โอ้! หอมมาก!”
“พี่อู๋ยกยอข้าเกินไปแล้ว” แม่นางเหลียนวางชามและตะเกียบพร้อมเหลือบมองหยุนเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม “ปกติอาหารในบ้านนี้เยี่ยนเอ๋อจะเป็นคนลงมือทําและมันรสชาติดีกว่าข้ามากนัก!”
หยุนเยี่ยนก้มหน้าประคองน้ำเต้าเพื่อรินสุราลงในชามขณะมวยผมมีปิ่นปักรูปผีเสื้อที่มีพู่ห้อยลงมา ทำให้หญิงสาวมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อน้ำเต้าใส่สุรามาถึงตรงหน้าอู๋ต้าหวัง หยุนเยี่ยนรู้สึกลังเลเล็กน้อย จึงเลิกหางตาขึ้นเหลือบมองชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
ต้าหวังยิ้มอย่างสุภาพขณะสองมือวางอยู่บนตักด้วยท่าทีเรียบร้อยทั้งยังนั่งตัวตรง
“ท่านจะดื่มหรือไม่?” หยุนเยี่ยนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่าไม่ได้เงยหน้า
“…” อู๋ต้าหวังหันไปมองบิดาของตนเองอย่างประหม่า
“เด็กน้อย เจ้ากําลังหยอกล้ออันใดอยู่?” คนขายเนื้อแซ่อู๋ถลึงตาขึ้น
ต้าหวังพยักหน้าพร้อมมองไปยังหยุนเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้าขอดื่มสักหนึ่งชามก็แล้วกัน”
หยุนเยี่ยนเม้มริมฝีปากแน่นและรีบรินสุราให้เขาอย่างรวดเร็วก่อนจะวางน้ำเต้าลงและเบือนหน้าพร้อมวิ่งหนีไปหาแม่นางเหลียน
ผู้เฒ่าหยุนแซ่อู๋หัวเราะร่าพลางใช้ฝ่ามือตบไหล่ต้าหวัง “ฮ่าฮ่าฮ่า นี่สิถึงดูเป็นลูกผู้ชาย! ฮ่าฮ่าฮ่า”
อู๋ต้าหวังถูกตบจนเอียงตัวและรีบกลับมานั่งตัวตรงพลางแอบมองหยุนเยี่ยนแวบหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้ดื่มสักอึกลำคอพลันแดงก่ำขึ้นด้วยความเขินอายเสียก่อน
สายตาของหยุนเชวี่ยกวาดมองไปมาระหว่างพวกเขาอยู่หลายรอบ จู่ ๆ เกิดมีความรู้สึกว่าพี่ชายคิ้วหนาตาโตผู้นี้น่ารักยิ่ง
ตอนฆ่าหมู มือของอู๋ต้าหวังยกดาบขึ้นด้วยสีหน้ามั่นคงและการลงมือมีทั้งความรวดเร็วและแม่นยําอีกทั้งยังคล่องแคล่ว ทว่าเมื่ออยู่ตรงหน้าหยุนเยี่ยนกลับกลายเป็นโง่งม และแม้แต่ประโยคที่ต้องการพูดยังไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ดูแล้วมีความน่าสนใจมิใช่น้อย
“ท่านแม่ พี่ต้าหวังช่างน่าขันเสียจริง ดูสิ เขามองพี่สาวข้าอีกแล้ว!”
“เจ้าหยุดส่งเสียงดังได้แล้ว” แม่นางเหลียนทําอันใดบุตรสาวไม่ได้ จึงตักอาหารที่แบ่งออกมาใส่ชามใหญ่สองชาม แล้วกําชับว่า “ยกไปให้ท่านปู่ด้วย”
“ข้าไปเอง” หยุนเยี่ยนยื่นมือออกไปรับ
เหตุใดหยุนเยี่ยนจะไม่รู้ว่าต้าหวังมักจะมองมาที่ตนเองโดยเจตนาอยู่บ่อยครั้ง ตอนนี้หญิงสาวเขินอายจนอยากจะนอนลงบนเตียงแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมหัว
“ปล่อยให้เชวี่ยเอ๋อไปเถิด”
“พี่สาว หยุดก่อน ข้าจะไปเอง!”
แม่นางเหลียนกับหยุนเชวี่ยต่างพูดเป็นเสียงเดียว เนื่องจากทั้งสองคนกำลังคิดถึงเรื่องเดียวกัน เพราะหากปล่อยให้นางไปแม่เฒ่าจูจะยิ่งจิกกัดด้วยคำพูดตามนิสัยของหญิงชรา และหากถูกด่าทออีกย่อมทําให้หยุนเยี่ยนดูไม่ดีต่อหน้าสองพ่อลูกแซ่อู๋ได้
“น้องสะใภ้และเยี่ยนเอ๋อกับเชวี่ยเอ๋อ เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่มานั่งด้วยกันเล่า!” คนขายเนื้อแซ่อู๋ทำราวกับเป็นบ้านของตัวเองด้วยการเรียกพวกเขามานั่งร่วมโต๊ะ
“เชิญพี่อู๋ตามสบาย โต๊ะมันเล็กเกินไป พวกเราไม่ดื่มเหล้าขอนั่งกินกันในบ้านจะดีกว่า” แม่นางเหลียนยิ้มพลางโบกมือ
ผลลัพธ์คือบนโต๊ะด้านนอกเหลือเพียงหยุนลี่เต๋อกับสองพ่อลูกสกุลอู๋ จากนั้นเสี่ยวอู่ที่ไม่ดื่มเหล้าจึงเดินตามเข้าไปในห้องไปด้วย
หยุนเชวี่ยถืออาหารสองชามเดินไปข้างหน้า แต่ยังไม่ทันย่างเท้าเข้าบ้านด้านตะวันออกพลันได้ยินแม่นางเฉินบ่นพึมพําขึ้น “ครอบครัวที่สองใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหลือเกิน อาหารทุกมื้อกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ข้าได้กลิ่นเนื้อหมูอบซอสแล้ว! จุ๊จุ๊ ช่างเป็นช่วงที่เงินทองหาได้อย่างคล่องมือ รู้หรือเปล่าว่าเหตุใดมันถึงหาเงินได้ง่ายดายนัก?”
“เราก็อยู่ด้วยกัน แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร หากจะบอกว่าได้มาจากการขายของป่ามันคงเป็นเรื่องยาก ข้าเกรงว่าพวกเขาจะทำเรื่องเอาเปรียบผู้อื่น” หยุนลี่เซียวแค่นเสียงเย็นชา “แม้พี่รองจะดูซื่อ ๆ แต่ความฉลาดของเขาล้ำลึกกว่าพี่ใหญ่เสียอีก”
“ดูสิ่งที่น้องสามพูดเข้า” แม่นางจ้าวไม่พอใจ “พี่ใหญ่ตรากตรำท่องตำราทั้งวันทั้งคืนเพื่ออันใด ไม่ใช่เพื่อความรุ่งโรจน์ของตระกูลและชีวิตที่ดีขึ้นของครอบครัวเราหรอกหรือ แม้แต่จะกินข้าวยังไม่มีเวลา แล้วเจ้ายังจะมาพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้อีก”
“รู้น้อยไปสิ!” หยุนลี่เซียวหัวเราะเยาะจากซอกฟัน “ตอนกลางวันแสร้งทำเป็นดูตำราอย่างขะมักเขม้น แต่ตอนกลางคืนดูแต่เป้ากางเกง จะมีประโยชน์อันใด ดูเฟิงซิ่วไฉ่สิ ทำงานอยู่ในทุ่งทั้งวัน และไม่เห็นจะอ่านหนังสือสักตัว!”
“แม้เขาจะเป็นอัจฉริยะ แต่การสอบฤดูใบไม้ร่วงในครั้งนี้เขาจะสอบเข้าได้หรือเปล่า?” แม่นางจ้าวแก้ต่างอย่างไม่พอใจ “น้องสาม เหตุใดเจ้าถึงไม่เห็นพี่ใหญ่ของตนเองอยู่ในสายตาบ้าง หากเขาได้เป็นขุนนาง มันย่อมส่งผลดีต่อตัวเจ้า!”
“ข้าหวังให้เขามีอนาคตที่ดีเช่นนั้น ดูท่านพ่อสิ เฝ้ารอมายี่สิบปีแล้ว ทว่าเห็นเพียงความว่างเปล่ามิใช่หรือ? หนังสือ พู่กันและหมึกล้วนหาซื้อกลับมาอย่างเพียบพร้อม แต่มันเป็นการเสียทรัพย์สมบัติของบ้านเราโดยเปล่าประโยชน์”
ความคิดของหยุนลี่เซียวนั้นมีความละเอียดอ่อนมาก โดยเขาหวังว่าเมื่อหยุนลี่จงได้เป็นขุนนาง ตนเองจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายด้วยการดื่มสุราและกินอาหารชั้นเลิศและอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีสาวใช้คอยทำตามคำสั่งซึ่งเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้วยังมีโอกาสแต่งภรรยาน้อยที่ฉลาดเฉลียวอีกด้วย
ด้านหนึ่งหยุนลี่เซียวไม่อาจทนเห็นความสำเร็จของหยุนลี่จง เพราะยิ่งคนผู้นี้มีความสามารถมากเท่าใด ก็ยิ่งทําให้เขาดูด้อยค่ามากขึ้น ดังนั้นทันทีที่ฉวยโอกาสได้เขาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อขุดคุ้ยหยุนลี่จง ซึ่งเป็นการแก้แค้นอย่างหนึ่ง
เพราะหยุนลี่จงเคยทำให้น้องชายคนนี้รู้สึกอับอาย ต่อไปหากได้เป็นขุนนาง เขาคงไม่กล้าพูดว่าจะเตะเขาออกไป
สรุปแล้วหากหยุนลี่จงเป็นใหญ่เป็นโตได้ เขาตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยมือไปตลอดชีวิต แต่ในทางกลับกันหากอีกฝ่ายทําไม่ได้ตามที่ทุกคนหวัง คนผู้นี้ยิ่งต้องถูกเหยียบย่ำให้จมดิน
เมื่อมองไปยังผู้คนในหมู่บ้านไป๋ซีทั้งหมด เกรงว่าคงไม่มีพี่น้องคนใดที่สามารถคิดคํานวณได้เช่นนี้