ตอนที่ 147 กินองุ่นไม่ได้บอกว่าองุ่นเปรี้ยว

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 147 กินองุ่นไม่ได้บอกว่าองุ่นเปรี้ยว

หยุนเชวี่ยไม่สนใจที่จะฟังพวกเขาสนทนากัน ขณะถือชามอาหารข้ามธรณีประตูและเดินตรงไปยังโต๊ะของผู้เฒ่าหยุน

“ท่านปู่ ท่านพ่อให้เอามาให้ท่าน”

หลังจากวางลง หยุนลี่เซียวรีบยื่นตะเกียบใส่ชามเพื่อคุ้ยเขี่ยอาหารพร้อมเอียงปากพูด “เหตุใดในเนื้อหัวหมูอบซอสถึงยังเอาแตงกวามาคลุกเคล้าด้วย คิดว่าส่งอาหารมาหลอกลวงคนไร้ค่าหรืออย่างไร”

หยุนลี่เซียวพูดไปพลางคีบเนื้อชิ้นใหญ่ยัดเข้าปากสองรอบก่อนจะพ่นลมออกจมูกอย่างไม่พอใจ “เหตุใดสุราชั้นดีของบ้านเจ้าถึงไม่ส่งมาแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่ของเจ้าด้วยเล่า”

“ครั้งก่อนเหล้าดอกสาลี่วางอยู่ใต้ชายคา ท่านพ่อของข้าไม่ได้ดื่มแม้แต่น้อย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดไหถึงว่างเปล่า” หยุนเชวี่ยจงใจชําเลืองมองหยุนลี่เซียว

ทว่าหยุนลี่เซียวกลับไม่รู้สึกอับอายและสะบัดขาด้วยรอยยิ้ม โดยหางตาเหลือบมองออกไปนอกประตู “แล้วที่พ่อของเจ้ากับคนแซ่อู๋ดื่มอยู่มันคือฉี่ม้าเช่นนั้นรึ?”

“ท่านอาสามอยากดื่มเหมือนกันใช่หรือไม่?”

“…” หยุนลี่เซียวถึงกับสะอึกจนพูดไม่ออก

“ท่านปู่ ข้าซื้อสุราชั้นดีมาจากร้านในเมือง เมื่อครู่มัวแต่สนใจยกอาหารมาจึงไม่ทันได้เตรียม ข้าจะกลับไปเอามาให้ท่านสองชามนะเจ้าคะ” หยุนเชี่ยวพูดพลางหันหลังเดินออกไปด้านนอก

“เชวี่ยเอ๋อ” ชายชราเรียกนางพร้อมยกมือขึ้น

หยุนเชวี่ยเดินไปถึงธรณีประตูแล้วจึงหันกลับมาด้วท่าเอียงคอพร้อมกะพริบตากลมโต “ท่านปู่ มีอันใดรึเจ้าคะ?”

“ปู่ไม่ดื่มเหล้า ไม่ต้องยกมาที่นี่หรอก ให้พ่อของเจ้าดื่มกับคนแซ่อู๋ไปเถิด…”

ผู้เฒ่าหยุนรู้ดีว่าสองพ่อลูกตระกูลอู๋ทํางานมาตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยงวันโดยไม่ได้รับเงินสักแดง จึงต้องการตอบแทนทั้งสองคนด้วยอาหารซึ่งหมายถึงการแสดงความขอบคุณเช่นเดียวกัน

หากผู้เฒ่าหยุนจะเข้าไปวุ่นวายในเวลานี้ มันคงจะเป็นเรื่องน่าขันมิใช่น้อย

“ท่านปู่ไม่ดื่มหรือเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามอีกครั้ง

“ไม่ดื่ม ไม่ดื่ม ปู่อายุมาก ดื่มเพียงเล็กน้อยก็เวียนหัวแล้ว” ชายชราโบกมือ “เจ้ารีบกลับไปกินข้าวเถิด!”

“เจ้าค่ะ!” เด็กสาวพยักหน้าอย่างว่าง่าย

เมื่อออกจากห้องโถงใหญ่ หยุนเชวี่ยได้ยินเสียงหยุนลี่เซียวตะโกนมาจากด้านหลังว่า “ตอนนี้พี่รองมีความสามารถที่จะหาเงินได้แล้ว ทำให้มีเนื้อสัตว์และสุรากินทุกมื้อ ตอนนี้คนนอกบ้านมาร่วมวงกินกันอย่างสำราญ แต่คนในบ้านอดอยากปากแห้ง!”

“เวลากินข้าวยังจะยื่นปากออกไปอีก!” ชายชราตะโกน

“ฮึ แม้มีอาหารแต่ไม่มีเหล้า มันย่อมไร้รสชาติ!”

“หากไม่ใช่รสชาติก็ไม่ต้องกิน! ดีแต่พูดก็มีปัญญากินแค่ผักนี่แหละ อยากโดนท่านพ่อดุอีกหรือ?” แม่เฒ่าจูจิกกัดด้วยเสียงต่ำ

แม้หยุนเชวี่ยจะเดินมาถึงกลางลานบ้านแล้ว แต่อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง และพบว่าแม่เฒ่าจูใช้ตะเกียบในมือแย่งคีบอาหารบนโต๊ะไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ

“หยุนเชวี่ย ทําอันใดอยู่? เหตุใดถึงยังไม่กลับมากินข้าวเย็นอีก” แม่นางเหลียนร้องเรียกอยู่ริมหน้าต่างของบ้านตะวันตก

“มาแล้ว…”

จากนั้นบรรยากาศการทานอาหารของตระกูลหยุนกลับมีความเงียบสงบมากจนผิดปกติ และตั้งแต่ต้นจนจบแม่เฒ่าจูไม่ได้ด่าทอใครเสียงดังอีก

เมื่อสองพ่อลูกสกุลอู๋จากไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ แม่เฒ่าจูกับหยุนชิ่วเอ๋อมายืนอยู่ใต้ชายคาเพื่อสังเกตการณ์อยู่หลายครั้งแต่ไม่รู้ว่ากําลังกระซิบกระซาบอันใดกัน

ผ่านไปครู่หนึ่งแม่นางเหลียนกับหยุนเยี่ยนกําลังยุ่งอยู่กับการเก็บกวาด เมื่อหยุนเชวี่ยกินอิ่มจึงง่วงนอนจนอยากจะงีบหลับ เวลานั้นหยุนชิ่วเอ๋อเปิดหน้าต่างแล้วตะโกนเรียกมาจากเรือนด้านตะวันตกว่า “พี่รอง ท่านแม่เรียกให้มาหา”

“เรื่องอันใด?” ใบหน้าของหยุนลี่เต๋อแดงก่ำขึ้นท่ามกลางความมืด

“ขึ้นมาที่ห้อง ท่านแม่มีเรื่องจะบอก!” หยุนชิ่วเอ๋อกลอกตาอย่างอารมณ์เสีย และเมื่อพูดจบนางจึงปิดหน้าต่างลง

“ท่านพ่อ ท่านเวียนหัวหรือ?” หยุนเชวี่ยสะดุ้งโหยงขณะรีบลุกขึ้นมาจับแขนของหยุนลี่เต๋อ “ข้าจะประคองท่านไปเอง!”

คราวนี้จะมีกลยุทธ์อันใดอีก!

ไม่แปลกใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดแม่เฒ่าจูถึงไม่สบถนางสักคํา หยุนเชวี่ยยังคงสงสัยอยู่ จึงต้องรอดูการโจมตีครั้งใหญ่ที่นี่!

“ลูกสาวของข้า เตรียมตัวดีแล้วใช่หรือไม่?!” มือใหญ่ของหยุนลี่เต๋อลูบหัวนางอย่างแผ่วเบา

แม้หยุนลี่เต๋อจะสูงใหญ่และอ้วนเหมือนหมีตัวโต แต่เมื่อมีแอลกอฮอล์ในร่างกายที่มากเกินไป เขาย่อมมึนเมาได้เหมือนกัน

หยุนเชวี่ยเดินตามหยุนลี่เต๋อเข้าไปในห้อง

แม่เฒ่าจูนั่งขัดสมาธิและหลับตาอยู่บนเตียง ส่วนผู้เฒ่าหยุนเอนกายลงอีกด้านเพื่อพักผ่อน ในขณะที่หยุนชิ่วเอ๋อใช้มือหนึ่งยันหน้าและอีกมืออีกข้างหนึ่งเล่นกับสินสอดทองหมั้นล้ำค่าของตนเอง

“ท่านแม่ ท่านเรียกข้ามาด้วยเหตุใด?” เมื่อหยุนลี่เต๋อเห็นผู้เฒ่าหยุนกำลังหลับตาอยู่ เขาจึงลดเสียงลง

แม่เฒ่าจูเงยหน้าอย่างเกียจคร้าน “ลูกรอง ข้าขอถามเจ้าหน่อย คนแซ่อู๋คนนั้นอยากเกี่ยวดองเป็นญาติกับบ้านของเจ้าใช่หรือไม่?”

หยุนลี่เต๋อนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ถูกต้อง พี่อู๋แสดงเจตจำนงเช่นนี้”

“แล้วเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”

“ข้า?” หยุนลี่เต๋อที่ดื่มสุราจนมึนเมาเมื่อคิดถึงเรื่องที่น่ายินดีจึงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ข้ากับเยี่ยนเอ๋อ และภรรยาข้าเองย่อมรู้สึกว่าต้าหวังเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์และเป็นคนที่สามารถฝากชีวิตไว้ได้”

“หึ…” ทันใดนั้นหยุนชิ่วเอ๋อหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นพร้อมเอียงตาขณะกล่าวว่า “บิดาของเขาเป็นคนฆ่าหมู ในอนาคตเขาย่อมกลายเป็นคนฆ่าหมูด้วย และหยุนเยี่ยนจะต้องใช้ชีวิตกับหมูไปตลอด”

“มีปัญหาอันใดกับคนฆ่าหมู? พี่ต้าหวังเป็นคนขยันขันแข็งและมีนิสัยเรียบร้อย ต่อไปหากหาเงินมาได้ เขาต้องมอบให้พี่สาวข้าและครอบครัวต้องมีความสุขโดยที่ไม่มีที่สิ้นสุด” หยุนเชวี่ยอ้าปากแล้วถอยกลับไป

แม้อาชีพฆ่าหมูจะดูไม่มีเกียรติ แต่แน่นอนว่ามันสามารถหาเงินได้ และดูจากเรือนร่างที่กลมกลึงและอารมณ์ที่ตรงไปตรงมาของป้าสะใภ้สกุลอู๋แล้ว ย่อมรู้ได้ทันทีว่าชีวิตความเป็นอยู่มีความราบรื่นเพียงใด

“โอ๊ย… นังเด็กไร้เดียงสาที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน เกิดมามีชีวิตที่ต่ำต้อย ก็สมควรแล้วที่ต้องทํางานเหน็ดเหนื่อยไปทั้งชีวิต!” กล่าวจบ หยุนชิ่วเอ๋อรีบยกกระจกทองแดงขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมามองใบหน้าอันขาวผ่องอย่างละเอียดด้วยความพึงพอใจ

และด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ หากหยุนชิ่วเอ๋อแต่งงานกับชาวบ้านธรรมดา คงเป็นเหมือนการปักดอกไม้ลงบนมูลวัวอย่างแท้จริง

“ถึงตระกูลระดับสูงจะดี แต่หากเป็นครอบครัวที่ไม่มีความยุติธรรมย่อมไม่สมควรแต่งด้วย เพราะเกรงว่าการใช้ชีวิตอาจไม่สดใสนัก พี่สาวข้าจึงไม่อยากถูกทำลายเช่นนั้น!” หยุนเชวี่ยกล่าวต่อไปอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตามในเมื่อแยกครอบครัวแล้วย่อมไม่มีอันใดต้องกังวล และหากแม่เฒ่าจูโมโหแล้วไล่พวกเขาออกจากบ้านไปย่อมถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

“หึหึ กินองุ่นไม่ได้ก็บอกว่าองุ่นเปรี้ยว!”

“อ๊า เมื่อตนเองกินไม่ได้ คงทนไม่ไหวสินะที่จะเห็นผู้อื่นกิน…” หยุนเชวี่ยเบ้ปากอย่างดูถูก

“เพี๊ยะ!” หยุนชิ่วเอ๋อตบกระจกทองแดงลงบนโต๊ะและลุกขึ้นยืนพร้อมชี้ไปยังจมูกของอีกฝ่าย “นังเด็กเวร เจ้าว่าอันใดนะ?!”

“ท่านพ่อ อาชิ่วเอ๋อจะตีข้าอีกแล้ว!” หยุนเชวี่ยโอดครวญพร้อมหลบไปด้านหลังหยุนลี่เต๋อ

“นังเด็กปากดีไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ดูสิว่าข้าจะฉีกปากเจ้าได้หรือไม่!” หยุนชิ่วเอ๋อร้องตะโกนด้วยเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ช่วยด้วย…” หยุนเชวี่ยหันหลังแล้ววิ่งออกไปด้านนอกทันที

หยุนชิ่วเอ๋อโกรธจัดและกระทืบเท้าไล่ตามอีกฝ่ายไป แต่หลังจากวิ่งไปได้เพียงสองก้าว หยุนชิ่วเอ๋อเห็นเด็กหญิงคนนั้นกําลังยกคิ้วขึ้นพร้อมกับแลบลิ้นก่อนจะหลบไปข้างคอกไก่

ทันใดนั้นหยุนชิ่วเอ๋อพลันนึกถึงกลิ่นขี้ไก่บนใบหน้าของตนเอง ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำทันที จากนั้นแม้อยากจะไล่ตามแต่ไม่กล้าทำเช่นที่ต้องการ ดังนั้นด้วยความโกรธเคืองทั้งหมดจึงทําได้เพียงสบถออกมา