ตอนที่ 592 น้ำตาแห่งอาชูร่า Ink Stone_Fantasy
ลอร่าที่คอยเฝ้ามองกู่ฉิงซานแลกเปลี่ยนกับกษัตริย์อสูรเงา พอได้ยินสิ่งที่แม่มารกล่าว เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่าออกมา
“กู่ฉิงซาน อันที่จริงแล้วเจ้าไม่ต้องต่อรองอย่างจริงจังถึงเพียงนั้นก็ได้ สิ่งที่เรามอบมันให้แก่พวกเขาไปมิได้เลอค่ามากมายอะไร เรื่องจำนวนน่ะไม่สำคัญหรอกนะ เราสามารถให้ได้มากกว่านั้นเยอะ” เธอส่งคลื่นความคิดมาอย่างเงียบๆ
“กระหม่อมทราบดี แต่หากฝ่าบาทแสดงความมั่งคั่งจนเกินงามออกมา การแลกเปลี่ยนกับพวกปีศาจอาจจะล้มเหลว และเป็นการทำลายกลยุทธ์ทั้งหมดของเราลงได้” กู่ฉิงซานส่งความคิดกลับไป
ลอร่าพอได้ฟังก็สะดุ้ง เธอก้มหน้าลงและขบคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับคำพูดของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานหันไปพูดกับจักรพรรดินีหลี่อันอีกครั้ง “พวกเรามาเริ่มกันต่อเถอะ”
“เข้าใจแล้ว ในเมื่อสามกษัตริย์ปีศาจได้ตัดสินใจร่วมมือกับพวกเรา เช่นนั้นก็คงต้องเรียกกษัตริย์อาชูร่าซึ่งเป็นตนสุดท้ายออกมา” หลี่อันกล่าว
“ตัวตนของกษัตริย์อาชูร่าเป็นแบบใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เขาย้อนนึกไปในจิตใจ ถึงช่วงเวลาที่ตนได้พบกับกษัตริย์อาชูร่า
ในความเป็นจริงแล้ว กู่ฉิงซานค่อนข้างที่จะชื่นชมกษัตริย์อาชูร่ากับนายพลภูตไม่น้อยเลย
เพราะทั้งสองยินดีที่จะเฝ้ารอนานนับหมื่นปี เพื่อช่วยเหลือชิงหยิน
จักรพรรดินีหลี่อันกล่าว “กษัตริย์อาชูร่ามิใช่พวกละโมบ แต่เป็นตัวตนที่นิยมการต่อสู้และสงครามเป็นอย่างยิ่ง หากเขาว่างเว้น การทำสัญญาด้วยกันคงง่าย แต่หากเขากำลังก่อสงครามกับโลกอื่นอยู่ การชักชวนเขาคงจะเป็นเรื่องยาก”
เห็นแค่เพียงท่าร่างในมือที่แปรผันของหลี่อัน ปากเอ่ยงึมงำร่ายคาถา ทำการอัญเชิญครั้งต่อไป
ไม่นานนัก เปลวไฟสีเขียวก็ปะทุขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า
เปลวไฟสีเขียวแพร่กระจายไปอย่างช้าๆ จนกลายเป็นม่านเปลวไฟ
พร้อมกันกับเสียงของผู้ชายที่ดังออกมาจากม่านไฟสีเขียวและเอ่ยถามว่า “จักรพรรดินีหลี่อัน เหตุใดเจ้าถึงเรียกหาข้า?”
แล้วหลี่อันก็กล่าวอธิบายคำเดิมออกไป รวมไปถึงเรื่องของทัณฑ์สวรรค์ด้วย
ภายในม่านไฟ เสียงของผู้ชายเงียบไปพักหนึ่ง “ข้ากำลังเตรียมการที่จะเปิดสงครามกับอีกโลกหนึ่งในไม่ช้า การจะให้ปลีกตัวออกไปเกรงว่าคงจะทำไม่…”
หลี่อันแทรก “ข้าทราบดี แต่หากข้าต้องทำการอัญเชิญไปยังโลกอาชูร่า และควานหากษัตริย์อาชูร่าองค์อื่นอีกครั้ง เกรงว่ามันจะยุ่งยากมากเกินไป ครั้งนี้ข้าขอให้ท่านช่วยโปรดช่วยพวกเราด้วยเถิด”
“ทัณฑ์สวรรค์ เช่นนั้นที่คิดจะข้ามผ่านมันก็สมควรจะเป็นมนุษย์…เอ๊ะ?”
กษัตริย์อาชูร่ากวาดสายตามองรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็อุทานด้วยความประหลาดใจออกมา
จู่ๆ เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เห็นแค่เพียงเปลวไฟสีเขียวที่ทะยานตัวออกไป แปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสง มาหยุดอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน และเริ่มเวียนวนรอบตัวเขาอย่างไม่รู้จบ
กู่ฉิงซานกุมดาบในมือแน่น แม้ใบหน้าของเขาจะยังคงสงบ แต่สายตากวาดกลับคอยสาดส่องเปลวไฟอยู่ตลอดเวลา โดยมิได้เอ่ยคำใดออกมา
เปลวไฟสีเขียวสาดแสงลงบนร่างกายของเขา ไม่นานนัก มันก็ลอยกลับไป
เปลวไฟสีเขียวเปลี่ยนรูปเป็นกษัตริย์อาชูร่า และกำลังแสดงท่าทีคล้ายกำลังพยายามรับรู้ถึงบางสิ่ง เงียบงันไปหลายสิบลมหายใจ
“มนุษย์ผู้นี้ คือคนที่คิดจะข้ามผ่านโทษทัณฑ์ใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยถามขึ้นทันใด
“ถูกต้อง” หลี่อันกล่าว
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าตกลง เมื่อถึงเวลา ข้าจะเร่งมาทันที” กษัตริย์อาชูร่ากล่าว
จักรพรรดินีหลี่อันที่ยืนอยู่ข้างเปลวไฟอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอีกฝ่ายตกลงแล้ว เธอก็ไม่คิดจะไถ่ถามอะไรเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายคิดเปลี่ยนใจอีก!
หลี่อันเร่งส่งใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามออกไป ให้กษัตริย์อาชูร่าลงนามสัญญาร่วมมือ
กษัตริย์อาชูร่าลงนามสัญญาอย่างรวดเร็ว
พอสัญญาถูกลงนามเรียบร้อยแล้ว หลี่อันก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ท่านผู้ทรงเกียรติ นี่ไม่ใช่วิสัยปกติของท่านเลย เหตุใดจึงตอบตกลง?”
“ก็คงเป็นเพราะเรื่อง สองร้อยล้านจิตวิญญาณ และเป็นอีกสองสิ่งที่อยู่ในตัวมนุษย์ผู้นั้น ซึ่งเป็นสัมพันธ์อันดีกับเผ่าอาชูร่าของข้า ดังนั้นข้าเลยอยากจะช่วยเขาสักครั้ง” กษัตริย์อาชูร่ากล่าว
ด้วยคำกล่าวของกษัตริย์อาชูร่า หลายคนอดไม่ได้ที่จะมองมายังกู่ฉิงซานด้วยความประหลาดใจ
เขากับอาชูร่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างงั้นหรือ?
กษัตริย์อาชูร่า “เอาล่ะ ข้าคงต้องขอตัวก่อน ยามเมื่อทัณฑ์สวรรค์เริ่มปรากฏ จะตอบรับมันในฐานะผู้ลงทัณฑ์เอง”
“โปรดรอสักครู่”
เมื่อเห็นว่ากษัตริย์อาชูร่ากำลังจะจากไป กู่ฉิงซานก็เร่งตะโกนขึ้น
“เจ้ามีอะไรงั้นหรือ?” กษัตริย์อาชูร่าเอ่ยปากอย่างช้าๆ
“ขออภัยที่ขัดจังหวะท่าน แต่ข้าอยากจะรู้ว่าสองสิ่งในกายข้าคืออะไร เหตุใดข้าจึงไม่เคยทราบถึงมันมาก่อนเลย?” กู่ฉิงซานถาม
“เจ้าย่อมไม่ทราบถึงมันอย่างแน่นอน เพราะนั่นเป็นเทคนิคลับจิตเทวะของพวกเราเผ่าอาชูร่า และมีเพียงคนของเราเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นมันได้” กษัตริย์อาชูร่ากล่าว
กู่ฉิงซานตกตะลึง
ในโลกเดิม ครั้งหนึ่งเขาเคยได้เข้าไปในปรภพ และพบกับกษัตริย์อาชูร่าเมื่อ หนึ่งหมื่นปีก่อน กษัตริย์อาชูร่าได้ยอมรับในตัวเขา จึงมอบความสามารถและประสบการณ์ในการต่อสู้ของตนให้ แต่อีกฝ่ายไม่เคยพูดถึงเรื่องเทคนิคลับจิตเทวะมาก่อนเลย
บางที กษัตริย์อาชูร่าอาจจะคิดว่าเทคนิคลับนี้มีเพียงอาชูร่าเท่านั้นที่เข้าใจ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับกู่ฉิงซาน จึงไม่ได้มอบมันให้แก่เขาใช่หรือไม่?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็แสดงความเคารพอย่างเป็นจริงเป็นจัง “เรียนถามท่านผู้ทรงเกียรติ โปรดช่วยปัดเป่าข้อสงสัยแก่ข้าจะได้หรือไม่ หากได้ ข้าจะรู้สึกขอบคุณท่านอย่างสุดซึ้ง”
“ก็ได้ ข้าจะบอกเจ้าสักนิดสักหน่อยก็แล้วกัน” กษัตริย์อาชูร่า พึมพำ
“เจ้าได้รับพรจากกษัตริย์อาชูร่า ซึ่งการที่กษัตริย์อาชูร่าจะมอบพรนี้ให้แก่ผู้ใด นั่นหมายความว่าคนผู้นั้นได้ช่วยเหลือกษัตริย์อาชูร่าแก้ปัญหาที่สำคัญยิ่งจนลุล่วง”
“หากเจ้าเดินทางไปตลอดทั้งหมื่นโลกา ตลอดทั้งอาณาจักรอาชูร่าในโลกหกวิถีจะสามารถรับรู้ได้ถึงเทคนิคลับนี้ และพวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นคนของตัวเอง”
กู่ฉิงซานลองมองย้อนนึกดู เขาจดจำได้ว่า เมื่อหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้ ก่อนที่สงครามจะเข้าสู่จุดแตกหัก
แผนการของเทพสวรรค์ที่ต้องการถ่วงเวลาประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้ทั้งกษัตริย์อาชูร่าและนายพลภูต จมลงสู่ห้วงความแค้น แต่เขาก็สามารถปลดเปลื้องให้ทั้งสองได้ในที่สุด
เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
บางทีในช่วงเวลานั้น กษัตริย์อาชูร่าคงคิดจะขอบคุณตน จึงได้มอบพรแก่เขา
แต่น่าเสียดาย
ที่ตนเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ากษัตริย์อาชูร่ากับนายพลภูตจะสลายไป เวียนว่ายสู่สังสารวัฏหรือกลับไปยังจักรวรรดิเทียนหลานพร้อมกับชิงหยินกันแน่
มันจะเกิดอะไรขึ้นกับจิตวิญญาณที่เฝ้ารอมากว่าหมื่นปี จนในที่สุดก็บรรลุความปรารถนากันนะ?
นั่นคือขอบเขตที่กู่ฉิงซานไม่อาจทำความเข้าใจได้โดยสมบูรณ์
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เขาถามอีกครั้ง “เมื่อครู่ท่านผู้ทรงเกียรติบอกว่าในร่างกายข้ามีอยู่สองสิ่ง สิ่งแรกข้าทราบแล้วว่ามันคือพรที่จะช่วยให้ได้รับสัมพันธ์อันดีกับเผ่าอาชูร่า แต่อีกสิ่งข้ายังไม่ทราบเลยว่ามันคืออะไร”
กษัตริย์อาชูร่าพิจารณามองเขา และหัวเราะขึ้นทันที “อีกหนึ่งมันเป็นเรื่องส่วนตัว และมันก็หาใช่สิ่งเลวร้ายไม่ ในอนาคตเจ้าจะเข้าใจเอง แต่ข้าจะยังไม่บอกเจ้าในตอนนี้”
เขาวาดมือออก และม่านเปลวไฟสีก็ลุกโชนขึ้น ห่อหุ้มรอบตัวเขา
และค่อยๆ สลายไปโดยสมบูรณ์
กษัตริย์อาชูร่าได้หายไปจากจัตุรัส ออกไปจากโลกที่เหลือทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพใบนี้
เขายกเลิกกฎเกณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์ และกลับไปยังโลกของตัวเองอย่างรวดเร็ว
มันคือโลกแห่งสงคราม
กองทัพกำลังรวมตัวกัน
อาชูร่าทุกตนเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ ทั้งหมดกำลังตรวจสอบอาวุธของตนเอง
พวกเขากำลังจะเริ่มสงครามกับอีกโลกหนึ่งในไม่ช้า
กษัตริย์อาชูร่าทิ้งตัวลงบนบัลลังก์หลังช้างเผือกของเขา
และจมลงสู่ห้วงคะนึงคิด
“องค์กษัตริย์ เกิดอะไรขึ้นกับท่านอย่างนั้นหรือ?” อาชูร่าหญิงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร ส่งคำสั่งของข้าออกไป ว่าพวกเราอย่าเพิ่งบุกโลกใบนั้น”
“แต่ทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว…”
“ข้ารู้ แต่เมื่อเกิดทัณฑ์สวรรค์ขึ้นในครั้งต่อไป ข้าจะนำพาพวกเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงสังหารที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน หลังจากสิ้นสงครามในครั้งนั้น พวกเราค่อยกลับมาบุกมันอีกครั้งก็ยังไม่สาย”
“เจ้าค่ะ!”
ชูร่าหญิงกระโจนลงจากหลังช้างเผือก และเร่งประกาศคำบัญชาของกษัตริย์อาชูร่าออกไปทันที
กษัตริย์อาชูร่านั่งอยู่ลำพังบนหลังช้างเผือก นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
ในตอนนั้นเอง เขาก็พึมพำในสิ่งที่คิดออกมา
“ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง”
“ทั้งชีวิตของอาชูร่าน่ะคือการต่อสู้และสงคราม เผ่าพันธุ์ข้ามิเคยหลั่งน้ำตามาก่อน แต่เจ้ากลับสามารถทำได้นางหลั่งน้ำตาออกมาได้…”
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานยังคงสับสนอยู่
ชั่วขณะนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าน้อยๆ ในหัวใจตน
แต่ตอนนี้ สถานการณ์ตรงหน้าสำคัญกว่า และเขายังมีเรื่องอื่นที่จำเป็นต้องทำอยู่!
“เอาล่ะๆ” เขาพยายามระงับจิตใจที่สับสนวุ่นวาย และสูดหายใจลึกๆ “หลังจากนี้พวกเราต้องทำการอัญเชิญสี่ราชาภูตผีมาสินะ?”
หลี่อันกล่าว “ใช่ แต่มันจะแตกต่างจากการอัญเชิญกษัตริย์ปีศาจนะ มารสวรรค์อย่างพวกเรามิได้ข้องเกี่ยวกับพวกราชาภูตผี ดังนั้น คาถาของข้าแน่นอนว่าจะเป็นการเรียกราชาภูตมาแบบสุ่ม มิอาจระบุถึงตัวตนที่กำหนดอย่างชัดเจนได้ และพวกเราจะต้องโน้มน้าวพวกมันที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ให้ยินยอมลงนามสัญญาให้จงได้”
“มันฟังดูอันตรายจัง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ใช่ เพราะราชาภูตทั้งสี่จะมาในเวลาเดียวกัน มันเลยจะเป็นเรื่องอันตรายมาก” หลี่อันกล่าว
ณ ขณะนั้นเอง แม่มารก็ก้าวออกมาและกล่าวว่า “วางใจเถอะ หากข้ายังอยู่ที่นี่ย่อมไม่มีอันตรายใดๆ อย่างน้อยพวกมันย่อมไม่กล้าสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้า โจมตีออกมาอย่างไม่ยั้งคิดอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ ว่าแต่พอจะบอกข้าหน่อยจะได้หรือไม่ ว่าลักษณะของราชาภูตทั้งสี่เป็นอย่างไร?” กู่ฉิงซานกล่าว
“เรื่องนี้ง่ายดายนัก” แม่มารหันไปทางหลี่อัน
หลี่อันอธิบาย “สำหรับผีโหย แม้พวกมันจะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับสกิลทางจิตวิญญาณเท่าใดนัก แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็มีความต้านทานต่อสกิลจำพวกที่คล้ายคลึงกับสกิลจิตวิญญาณ และชมชอบที่จะดูดกลืนสมองของทุกสิ่งมีชีวิตขณะยังเป็นๆ”
“ส่วนผีปรภพ คือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ตายลง เจ้าไม่สามารถสังหารมันได้ เจ้าทำได้เพียงปล่อยให้มันกลับคืนสู่การหลับใหลในปรภพเท่านั้น ดังนั้นจงอย่าล่วงเกินมัน หากมันคิดแค้นในตัวเจ้า หลังจากนี้ไปเจ้าคงมิแคล้วเผชิญกับปัญหามากมายที่จะตามมา”
“ขณะที่ผีกระหายเลือดจะครอบครองกำลังรบอันน่าอัศจรรย์ใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่มันได้สูบเลือด ความแข็งแกร่งของมันจะพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด”
“สุดท้ายผีศพ พวกมันค่อนข้างเหมือนกับเรามารสวรรค์ แต่ก็ยังแตกต่างจากเราตรงที่ผีพวกนี้ต้องล่าสังหารทุกวัน หลังจากสิ่งมีชีวิตที่มันฆ่าตายลงแล้ว พวกมันก็หาได้ต้องการแต้มพลังวิญญาณจากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไม่ แต่พวกมันเพียงเฝ้าคอยที่จะดูดซับปราณแห่งความตายที่กระจายออกมา เพื่อเติมเต็มความหิวโหยเท่านั้น”
“เอาล่ะ ข้าพอจะเข้าใจเกี่ยวกับพวกมันขึ้นมาบ้างแล้ว มาเริ่มกันเลยเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“แต่เจ้าต้องจดจำจุดที่สำคัญที่สุดเอาไว้ให้ดี”
“มันคือ…”
“เจ้าต้องจดจำไว้ว่า กษัตริย์ปีศาจน่ะมักจะมีความคิดและเป้าหมายเป็นของตัวเอง แต่ราชาภูตกับกษัตริย์ปีศาจน่ะจะแตกต่างกัน ราชาภูตน่ะชมชอบในการสังหาร และจะเคารพผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด กระหายเลือดที่สุด สังหารได้มากที่สุดเท่านั้น”
“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับ
หลี่อันพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือของเธอออกไป ประกบกันเป็นรูปแบบตราประทับแปลกๆ และเริ่มท่องคาถา
ซึ่งคราวนี้ราชาภูตทั้งสี่ จะปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆ กัน!
นอกเหนือไปจากแม่มารแล้ว ทุกคนในสถานที่แห่งนี้ต่างก็เริ่มวิตกกังวล บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
อีเลียกับทหารพิทักษ์ขยับเข้ามาใกล้ลอร่า ล้อมเธอเป็นวงกลม สายตาสาดส่องไปมาอย่างหวาดระแวง
ขณะที่ทางฝั่งมารสวรรค์เองก็ได้รวมกลุ่มกัน และสนทนากันอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานเฝ้ารอคอยอย่างสงบ
ในครั้งนี้ ระยะเวลาการร่ายคาถามันยาวกว่าช่วงก่อนหน้า
ด้วยเสียงร่ายมนตราของหลี่อัน บนพื้นจัตุรัสเริ่มปรากฏชั้นหมอกหนา แพร่กระจายลอยขึ้นมาสูงจนถึงเอวคน
หมอกเริ่มพรั่งพรูออกมาอย่างไม่รู้จบ
ในช่วงจังหวะนั้นเอง หลี่อันก็เปล่งเสียงตะโกนขึ้นทันใด “ตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ได้ถูกระบุแล้ว! ขอราชาภูตทั้งหลายจงปรากฏ!”
เพล้ง!
เพล้ง!
เพล้ง!
สิ้นสามเสียงสนั่น ราชาภูตก็ผุดออกมาจากหมอกหนา
ตนแรกที่ปรากฏคือมอนสเตอร์ที่มีผิวสีเทา ครอบครองความสูงกว่าสิบเมตร
มือและเท้าของมันเรียวยาวแลดูคล่องแคล่ว ร่างกายผ่ายผอมราวกับฟืนแห้งๆ มีเพียงแต่บริเวณท้องของมันที่โป่งพอง กลมกลึงเป็นก้อน ขณะที่บนใบหน้าของมันไร้ซึ่งดวงตา
นี่คือราชาภูตผีโหย
ตนที่สองที่ปรากฏขึ้น ดูเหมือนจะไม่ใช่ผี แต่แท้จริงแล้วคล้ายกับสัตว์อสูรเสียมากกว่า มันครอบครองคู่กีบเท้าที่แลดูแข็งแกร่ง แขนทั้งสองปกคลุมไปด้วยใบมีดที่ผุดขึ้นเรียงรายราวกับเครื่องหั่นเนื้อ เขี้ยวของมันโค้งงอ ยาวออกมาจากปาก
นี่คือราชาภูตผีกระหายเลือด
ตนที่สาม เป็นมอนสเตอร์นกที่มีเค้าโครงหน้าของมนุษย์ ครอบครองคู่ปีกสี่ข้าง ตามร่างกายปลดปล่อยกลิ่นอายหยินออกมาตลอดเวลา บนใบหน้าของมันดุร้าย เพียงจ้องมองก็สัมผัสได้ถึงลางไม่ดี
นี่คือราชาภูตผีศพ
ราชาภูตผีโหย ราชาภูตผีกระหายเลือด และราชาภูตผีศพ ได้ปรากฏตัวขึ้นกลางจัตุรัส!
หลี่อันหันซ้ายแลขวา แต่กลับกลายเป็นว่าเธอไม่เห็นถึงการตอบรับของราชาภูตผีปรภพ
“แปลก…ทำไมราชาภูตผีปรภพถึงไม่ตอบสนองต่อตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์กันนะ? นี่มันเป็นไปไม่ได้…”
เธอขมวดคิ้ว และเริ่มที่จะสับสน
………………………………………….