บทที่ 244-1 นักบวชเต๋าจินเหลียน ‘ผลักสวี่ชีอันออกไปรับเคราะห์’
“บ่าวย่อมรู้จักอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เสี่ยวโหรวเคยอยู่ที่เซี่ยเก๋อ สามปีก่อนตำหนักชิงฟงไล่นางข้าหลวงออกไปสามคน คนก็เลยขาด บ่าวเห็นนางหน้าตาสะอาดหมดจด มือไม้คล่องแคล่ว จึงแนะนำนางไปเจ้าค่ะ…”
“ตอนที่งมศพขึ้นมา เจ้าไม่ได้ออกไปดูเลยหรือ” สวี่ชีอันพลันเอ่ยถาม
“กล้าดูที่ไหนล่ะเจ้าคะ บ่าวอายุมากแล้ว ไปดูคนตายไม่ได้หรอก”
“อ้อ เช่นนั้นพูดเรื่องหวงเสี่ยวโหรวต่อ”
อาจเพราะหรงหมัวมัวอายุมากแล้ว อารมณ์ก็เลยแปรปรวนหนักขึ้น จู่ๆ ก็โกรธขึ้นมา “เด็กคนนั้นมันเลือดเย็นนัก ปีนั้นหากบ่าวไม่ได้แนะนำนางไป นางจะกลายเป็นข้าหลวงข้างกายพระสนมฝูได้อย่างไร หลายปีดีดักก็ไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ่าวสักครั้ง พวกผู้ชายไม่มีไอ้จ้อนยังรู้จักตอบแทนคุณเจ้านายของมัน เฮอะ นางคนนี้มันแล้งน้ำใจเสียจริง เย็นชาเกินใคร”
“หมัวมัว อย่าได้กล่าวเช่นนี้ อายุเจ้าเยอะแล้ว หนีไม่พ้นการโดนโจมตีลับหลังหรอก” สวี่ชีอันเอ่ยเยาะแล้วกล่าวต่อ
“ตอนที่ข้าตรวจสอบศพ พบว่าอกซ้ายของหวงเสี่ยวโหรวมีบาดแผลฉกรรจ์อยู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าได้มาอย่างไร”
หรงหมัวมัวคิดอยู่นานก็มีสีหน้าเหมือนนึกได้ “บาดแผล…มีเรื่องแบบนั้นอยู่จริงๆ เหมือนจะเป็นหนึ่งปีก่อนที่เสี่ยวโหรวถูกส่งไปตำหนักชิงฟง ไม่รู้ทำไม ตอนกลางดึกนางถึงได้ใช้กรรไกรแทงอกตัวเอง โชคดีที่นางข้าหลวงที่พักห้องเดียวกับนางพบทันจึงตะโกนเรียกหมอหลวง สุดท้ายเลยช่วยชีวิตนางได้”
สวี่ชีอันและฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วพร้อมกัน
คำพูดของหมัวมัวเฒ่ามีช่องโหว่ รอยแผลนั้นลึกถึงหัวใจ เป็นบาดแผลถึงแก่ชีวิต นางข้าหลวงไม่มีทางจ่ายค่ารักษาได้
“ดังคำกล่าวที่ว่า ต้นร้ายปลายดี เสี่ยวโหรวโชคดีที่ได้ชีวิตกลับคืนมา ปีต่อมาก็ได้ไปที่ตำหนักชิงฟง ไม่ต้องทำงานใช้แรงอีกต่อไป หน้าตานางก็งดงามมาก เดิมทีก็มีโอกาสได้รับใช้ฝ่าบาทอยู่แล้ว”
สวี่ชีอันหวนนึกถึงใบหน้าบวมหลังตายของหวงเสี่ยวโหรว มุมปากก็โค้งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นใครที่ช่วยชีวิตหวงเสี่ยวโหรวไว้ ก็มีหนึ่งเรื่องที่ยืนยันได้ ในกรณีที่เสียเลือดมาก นางจะมีเวลาเหลือไม่มากนัก คนที่อยู่เบื้องหลังจะมาช่วยชีวิตนางข้าหลวงคนหนึ่งกลางดึกได้อย่างไรกัน
นอกเสียจากสังเกตการณ์นางอยู่ตลอด
หากหรงหมัวมัวไม่ได้หลอกลวง เช่นนั้นปัญหาก็อยู่ที่…
“นางข้าหลวงผู้นั้นชื่อว่าอะไร” ฮว๋ายชิ่งเอ่ยถามก่อนหน้าสวี่ชีอันก้าวหนึ่ง แล้วเอ่ยเสริมว่า “นางข้าหลวงที่อยู่ห้องเดียวกับหวงเสี่ยวโหรว”
“ทูลองค์หญิง” หรงหมัวมัวคิดอยู่นาน แล้วเอ่ยพึมพำไม่แน่ใจ “เหมือนจะชื่อ…เหอเอ๋อร์?”
สวี่ชีอันเห็นแววตาของฮว๋ายชิ่งหดเกร็งอย่างชัดเจนยิ่ง
นางรู้จักนางข้าหลวงชื่อเหอเอ๋อร์อะไรนั่น…สวี่ชีอันคาดเดาอยู่ในใจ
“ข้าหมดคำถามแล้ว องค์หญิงทั้งสองมีอะไรอยากจะเสริมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันมองฮว๋ายชิ่งและหลินอัน
หลินอันส่ายหน้าให้ ส่วนฮว๋ายชิ่งมีท่าทางหนักใจ ไม่ได้ตอบกลับ
สวี่ชีอันกำลังจะจากไปอยู่แล้ว ต่อไปต้องไปที่ห้องโอสถต่ออีก แต่จู่ๆ หรงหมัวมัวก็เอ่ยว่า “ใต้เท้า บ่าวมีอะไรอยากจะพูดกับท่าน”
พูดพลางหรงหมัวมัวก็เดินไปอีกด้าน
สวี่ชีอันเดินตามไป หรงหมัวมัวทอดมองไปยังแผ่นหลังของพวกฮว๋ายชิ่งที่อยู่ไกลๆ แล้วถอนสายตากลับมา จากนั้นก็หันมามองสวี่ชีอัน แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง
“ใต้เท้า วังในล้ำลึก เรื่องที่ปิดไม่มิดมีมากเกินไป หากเหยียบเท้าลงไปแล้วก็จะจมในทันที”
“หรงหมัวมัว ข้าว่าแล้วว่าเจ้าไม่ธรรมดา เจ้าเหมือนกับหิ่งห้อยกลางคืนมืดมิด ผมหงอกขาว รอยด่างแห่งวัยบนใบหน้า พุงยื่นใหญ่ แต่ละสิ่งล้วนทำให้ข้าทึ่งยิ่งนัก” สวี่ชีอันเอ่ยชม
มีความลับอะไรก็รีบบอกข้ามาเร็ว
“คำพูดของใต้เท้าช่างน่าฟัง บ่าวมิได้จะบอกท่านเพราะท่านหน้าตาหล่อเหลาหรอกนะ” หมัวมัวเฒ่าเดินนวยนาดกลับไปเอนกายอยู่บนเก้าอี้ ไม่พูดอะไรอีก
สวี่ชีอันยังไม่ได้ เขาเอ่ยอย่างตกใจว่า “หมดแล้วหรือ”
หมัวมัวชราส่ายหน้า “สิ่งที่บ่าวรู้ก็ไม่มาก เรื่องล้ำลึกภายในวัง สิ่งที่ไม่ควรรู้ก็ไม่ได้รู้”
…ฮึ ยายเฒ่าคนนี้ ช่างเสียอารมณ์นัก! ข้ายังคิดว่านางจะรู้อะไรเสียอีก
ตามความคิดของสวี่ชีอัน ในเมื่อหมัวมัวเฒ่ารั้งเขาไว้พูดตามลำพัง เช่นนั้นเบื้องหลังจะต้องมี ‘ความลับที่พูดไม่ได้’ รออยู่แน่นอน
สุดท้ายก็เป็นแค่คำพูดตักเตือน!
เมื่อออกจากมาเรือนเซี่ยเก๋อ ยายตัวร้ายอาภรณ์แดงยังรออยู่ข้างนอก แต่ไม่เห็นเงาร่างของฮว๋ายชิ่งแล้ว
“องค์หญิงใหญ่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
ยายตัวร้ายได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจทันที นางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หายใจเข้าออกก็มีแต่ฮว๋ายชิ่ง ลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าเป็นคนของใคร ข้ารออยู่เจ้าตรงนี้ เจ้ากลับทำเป็นไม่เห็นข้า”
ภายใต้แสงอาทิตย์ ใบหน้ารูปไข่ห่านกลมๆ ของนางช่างนุ่มนวล พวงแก้มแดงฝาดอยู่บนผิวขาว ราวกับหยกงามโปร่งใสไร้ตำหนิ
เนื่องจากนางขมวดคิ้ว ดวงตาดอกท้อทรงเสน่ห์จึงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ถึงจะโกรธ แต่ก็ยังน่ารักมากอยู่ดี
“ในที่สุดองค์หญิงใหญ่ก็ไปแล้ว ไม่มีใครมารบกวนเวลาส่วนตัวของพวกเราสักที” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างดีใจ
ยายตัวร้ายได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็แดงเรื่อ แล้วเหลือบมองทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ไม่ไกลอย่างร้อนตัว ก่อนเอ่ยเสียงเบา “เจ้าสุนัขรับใช้ ไม่อนุญาตให้พูดจาเช่นนี้กับข้านะ”
นางเป็นองค์หญิงที่ยังไม่อภิเษก ทนต่อการโจมตีของลูกกระสุนเคลือบน้ำตาลไม่ไหว เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็ทั้งอายทั้งเขิน
“องค์หญิงถ่อมตัวเกินไปแล้ว องค์หญิงเป็นเช่นดวงแสงที่ส่องประกายกลางความมืด ส่องสว่างเจิดจ้ายิ่งนัก แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่อาจเทียบทัดรัศมีของพระองค์ได้…” สวี่ชีอันประโยคเดียวโจมตีตรงจุด ทั้งยังเอ่ยต่อหน้าองค์หญิงหลินอัน
ยายตัวร้ายทั้งดีใจและเขินอาย รวมถึงยังจนใจด้วย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่นางเริ่มจะควบคุมฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนนี้ไม่ได้
ตอนที่เพิ่งแย่งมาจากมือของฮว๋ายชิ่ง เขายังเชื่อฟังคำพูดนางอย่างดี สาบานว่าจะตัดสัมพันธ์กับฮว๋ายชิ่งอย่างเด็ดขาด และเต็มใจเป็นวัวเป็นม้าให้กับนาง
พอนานเข้า นางก็พบว่าชายผู้นี้ไม่อาจควบคุมได้เลย ภายนอกเขาถ่อมตัวและให้ความเคารพ แต่ความจริงเมื่ออยู่กันตามลำพัง ตนก็จะถูกเอาเปรียบอยู่เรื่อย
และท่าทางยามอยู่ด้วยกันเช่นนี้ นางก็ไม่เคยใส่ใจมาก่อน ต้องรู้ว่า แม้แต่ตอนอยู่ต่อหน้าฮว๋ายชิ่ง นางก็ยังเป็นสตรีที่พยายามก้าวไปอยู่จุดสูงสุด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ยายตัวร้ายก็เชิดหน้างดงามขึ้น แล้วเอ่ยถามกลับ “ตอนฮว๋ายชิ่งอยู่ทำไมไม่พูดแบบนี้ล่ะ”
คำพูดแบบนี้จะไปพูดต่อหน้าพวกเจ้าได้อย่างไร…ถ้าเป็นฮว๋ายชิ่งละก็ ข้าก็ต้องเปลี่ยนคำพูดเป็น ‘องค์หญิงราวกับดอกบัวหิมะขาวบริสุทธิ์ไร้ตำหนิกลางพายุหิมะ รอยยิ้มล่มบ้านล่มเมือง แขนเรียวยาว ขาหยกสลัก และหน้าอก 36D ที่เกินจริงของท่าน’…ทำให้ข้าทึ่งยิ่งนัก
สวี่ชีอันเปลี่ยนเรื่อง “องค์หญิงใหญ่ไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะไปรู้หรือ”
ยายตัวร้ายราวกับอยากจะกลอกตา แต่นึกได้ถึงมารยาทที่ได้อบรมมา จึงอดกลั้นไว้ได้ ก่อนพูดขึ้นว่า “พวกเรารีบไปที่ห้องโอสถเถอะ การสืบคดีก็เหมือนการดับไฟ ไม่อาจเสียเวลาได้”
สวี่ชีอันมองนางแล้วเอ่ยคาดเดา “พระองค์กลัวว่าฮว๋ายชิ่งจะทำลายหลักฐานหรือ”
ยายตัวร้ายแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน นางเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าแผ่วเบา ชายกระโปรงพลิ้วไหว บั้นท้ายที่เหมือนกับลูกท้อปรากฏเลือนราง
ตอนที่พระเจ้าประทานสติปัญญาให้โลกมนุษย์ แม้ว่าองค์หญิงผู้นี้จะทำตัวเหมือนกับหลิงอิน ฉลาดพอจะกางร่มได้เอง…การรับมือกับนางนั้นง่ายดายและสบายกว่าการรับมือฮว๋ายชิ่งมาก…เพียงแต่นางแสบสันเกินไป ทำให้ป้องกันได้ยาก สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจ เดินตามองค์หญิงไปยังห้องโอสถ
…
อารามรัตนะ
ในห้องอันเงียบสงัดที่มีควันหอมลอยเอื่อย สตรีผู้มีสถานะไม่ธรรมดาสองคนนั่งดื่มชาด้วยกัน แสงอาทิตย์ส่องลอดหน้าต่างลายตาราง จนเกิดเป็นเงาแสงสี่เหลี่ยมจัตุรัสอันเป็นระเบียบบนพื้น
ฝุ่นละอองลอยล่องอยู่ในลำแสง
ลั่วอวี้เหิงนั่งพิงฟูกที่มีคำว่า ‘เต๋า’ ปักอยู่ มือหนึ่งถือแส้จามรี ส่วนอีกมือถือถ้วยชา ดื่มลงไปคำหนึ่งก็พริ้มตาเป็นสุข ขนตาหนาเป็นแพเด่นชัดขึ้นมา
“ชาจากหนานจือนั้นแตกต่างจากของทั่วไป หากดื่มได้หนึ่งกาทุกวัน เทพเซียนข้าก็ไม่ขอเป็น” ลั่วอวี้เหิงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผู้นำเต๋าลั่วก็คือสตรีสวมชุดคลุมยาวสีคราม พร้อมกับเครื่องประดับศีรษะอันงดงามและผ้าบางปกคลุมใบหน้า
ใบหน้าของนางซ่อนอยู่ใต้ผ้าบาง มองเห็นโครงแก้มได้อย่างเลือนราง และเผยดวงตาราวกับฤดูใบไม้ร่วงออกมาคู่หนึ่ง พร้อมกับคิ้วโก่งงดงามเรียวบางสองข้าง
“ชาชนิดนี้สามปีผลิตแค่สามจินเท่านั้น กว่าครึ่งล้วนมอบเป็นบรรณาการให้กับวังหลวง ในมือของข้ามีอยู่ไม่มาก” น้ำเสียงของสตรีผู้ปกปิดใบหน้านุ่มนวลเปี่ยมเสน่ห์ และเต็มไปด้วยความไพเราะอย่างสตรีโตเต็มวัย
นางเลิกผ้าขึ้นแล้วดื่มลงไปหนึ่งอึก ก่อนหันมาเอ่ยถาม “ช่วงนี้เมืองหลวงมีเรื่องน่าสนใจบ้างหรือไม่”
ลั่วอวี้เหิงกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าคงไม่สนใจการต่อสู้ในท้องพระโรง แต่เรื่องที่ชวนอกสั่นขวัญแขวนน่าจดจำมิใช่เรื่องพวกนี้หรอกหรือ ส่วนเรื่องคดีความ ตั้งแต่คดีภาษีไปจนถึงคดีซังผอ เจ้าก็เคยได้ฟังมาหลายรอบ…ที่นี่คือเมืองหลวง จะมีคดีมากมายขนาดนั้นให้เจ้าฟังที่ไหนกัน”
“คดีของพระสนมฝูยังไม่จบสิ้นมิใช่หรือ” สตรีผู้คลุมใบหน้าเลิกคิ้วขึ้นราวกับกำลังยิ้ม
“คดีนี้ก็เป็นฆ้องทองแดงผู้นั้นที่รับหน้าที่สืบสวน แต่รายละเอียดสถานการณ์ข้าก็ไม่แน่ใจนัก” ลั่วอวี้เหิงดื่มชาจนหมดถ้วย แล้วรินให้ตนอีกถ้วย
“ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องในบ้านขององค์จักรพรรดิ หากเจ้าสนใจก็ไปสอบถามกับองค์หญิงฮว๋ายชิ่งได้”
“ช่างเถอะ ข้าไม่อยากจะสนใจคนในราชวงศ์” หญิงสาวส่ายหน้า จากนั้นก็เอ่ยต่อ “ฆ้องทองแดงผู้นั้นข้าเคยพบอยู่สองครั้ง น่ารำคาญใช้ได้”
“เจ้าเคยพบเขาหรือ” ลั่วอวี้เหิงตะลึง
สตรีผู้ปิดบังใบหน้าส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา นิ้วมือเรียวดุจหยกจุ่มลงในน้ำชาแล้ววาดรูปหัวหมูลงบนโต๊ะน้ำชา ก่อนเลิกคิ้วขึ้นแล้วหัวเราะหึๆ
“แย่งถุงหอมของข้าไปแล้วไม่ยอมคืน”
…………………………………………………