บทที่ 244-2 นักบวชเต๋าจินเหลียน ‘ผลักสวี่ชีอันออกไปรับเคราะห์’
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าแล้วพูดต่อในหัวข้อนี้ “คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย ได้รับการชื่นชมอย่างล้ำลึกจากเว่ยเยวียนและถูกฝึกฝนบ่มเพาะ ต่อไปต้าฟ่งคงจะมีนักรบตำแหน่งระดับสูงปรากฏขึ้นเป็นแน่ อนาคตไร้ขีดจำกัด”
ภายใต้ผ้าบาง นางเบะปากแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ต่อให้สูงแล้วจะสูงไปได้สักแค่ไหนกัน มีอ๋องสยบแดนเหนืออยู่ ทหารจอมยุทธ์ในต้าฟ่งก็ไม่อาจลืมตาอ้าปากได้หรอก เขาเป็นแค่ฆ้องทองแดงเท่านั้น”
ลั่วอวี้เหิงแย้มยิ้ม ฆ้องทองแดงผู้นั้นพรสวรรค์ไม่เลวเลยจริงๆ ทั้งได้รับการชื่นชมจากเว่ยเยวียน ทั้งถูกนิกายปฐพีเลือกให้เป็นผู้ถือครองหนังสือปฐพี แต่ใต้หล้าไม่ขาดผู้กล้า เขาก็แค่หนึ่งในคนที่โดดเด่นเป็นพิเศษเท่านั้น
“ข้าชื่นชมความสามารถในการไขคดีของเขามากนะ คดีใหญ่ตั้งมากมาย พลิกผันไม่อาจคาดเดา กระบวนก็น่าสนใจ” หญิงสาวผู้ปิดบังใบหน้ากล่าว
ลั่วอวี้เหิงกำลังจะพูดอะไร พลันแก้มของนางก็แดงก่ำดั่งคนเมาสุรา นางขมวดคิ้วแล้ววางแก้วชาลงก่อนเอ่ยกระซิบ “หนานจือ เจ้ากลับไปก่อน…”
สตรีผู้ปิดใบหน้าชำเลืองมองนางแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนลุกขึ้นเดินออกไป ทันใดนั้นก็หันหน้ากลับมากล่าวอย่างจนใจ “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปหาจักรพรรดิหยวนจิ่งเถอะ หรือไม่ก็หาผู้ชายสักคนก็ได้ เพลิงมารแผดเผาร่างอยู่ทุกเดือน ข้าล่ะกลัวจริงๆ ว่าเจ้าจะกลายเป็นหญิงราคะ”
ลั่วอวี้เหิงไม่สนใจนาง ขมวดคิ้วแน่นขึ้น
สตรีในผ้าคลุมหน้าเปิดประตูห้องอันเงียบสงบแล้วเดินออกไปใต้ชายคา แล้วออกจากเรือนด้านหลังมาโดยใช้ทางเล็กๆ ที่ปูด้วยอิฐเขียว
“เฮ้อ…”
ลั่วอวี้เหิงแผ่กลิ่นอายร้อนระอุออกมา มือกุมถ้วยชาแล้วลุกขึ้น
นางกุลีกุจอออกจากห้องอันเงียบสงบ ใบหน้างามล้ำเต็มไปด้วยสีแดงก่ำ ดวงตาฉ่ำน้ำ มีเสน่ห์หยาดเยิ้ม
‘ตู้ม’…
ลั่วอวี้เหิงกระโดดลงไปในสระเล็กๆ หลังเรือน
สระน้ำเย็นฉ่ำกลืนกินร่างกายในวัยสุกงอมที่อวบอิ่มสมบูรณ์ของนักพรตหญิงผู้เลอโฉม ผ่านไปพักหนึ่ง ผิวน้ำก็เกิดเสียง ‘แครก’ ขึ้นมา แล้วเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งหนา
ไอเย็นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งภูเขาจำลองและศาลารอบๆ ทำให้พวกมันมีน้ำแข็งใสเกาะอยู่บางๆ รอบนอก
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง สระน้ำก็ค่อยๆ หลอมละลาย ไอน้ำพวยพุ่งออกมา จากนั้นฟองอากาศก็ลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ แล้วเกิดเสียงแตกดัง ‘โพละ’
‘ปุด ปุด ปุด…’
ฟองอากาศผุดขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ ไอน้ำก็หนาแน่นยิ่งขึ้น สระทั้งสระล้วนถูกต้มจนเดือด
ทั้งกระบวนการนี้คงอยู่สองเค่อ ระดับน้ำลดลงมากกว่าสิบเซนติเมตร ในที่สุดสระน้ำที่เดือดพล่านก็สงบลงแล้ว แต่ความร้อนชื้นยังคงวนเวียนอยู่ในอากาศ ไม่สลายไปแม้จะผ่านไปนาน
ลั่วอวี้เหิงโผล่ขึ้นจากน้ำ ปิ่นปักผมหลุดร่วง ผมดำเงางามปรกแก้มขาว ดวงตาชุ่มชื้นปริ่มน้ำ งดงามสุดจะพรรณนา
‘เมี้ยว’
เสียงแมวตัวหนึ่งดังขึ้นมา แมวส้มกลิ้งตัวเข้ามาจากผนังด้านนอก มันกระโดดขึ้นไปบนภูเขาจำลองที่ด้านหลังลั่วอวี้เหิงอย่างกระฉับกระเฉง จากนั้นก็นอนลงอย่างว่าง่าย
“ไฟมารเผากายจะทำลายรากฐานของเต๋า ลั่วอวี้เหิง เจ้าอดทนได้มากที่สุดก็สามปีเท่านั้น” แมวส้มเอ่ยภาษาคนออกมา กลายเป็นเสียงอันอ่อนโยนและโชกโชน
“ศิษย์พี่มาได้อย่างไร” ลั่วอวี้เหิงแช่อยู่ในน้ำ ดวงตากึ่งปิดกึ่งเปิด
“มาชี้หนทางให้เจ้า” แมวส้มว่า “ยาคืนชีพของสำนักโหราจารย์สามารถบรรเทาอาการของเจ้าได้ ตอนนี้คือความปรารถนา ต่อไปยังมีความโลภ โกรธ หลง ชัง…มีกี่สิ่งที่เจ้าจะทนได้ เฮ้อ ในสามสำนักเต๋า มีเพียงนิกายสวรรค์เท่านั้นที่ไม่คลุกคลีเศษฝุ่นดินผง หรือว่าแนวคิดของนิกายสวรรค์เป็นสิ่งที่ถูกต้องกันนะ”
ลั่วอวี้เหิงเบิกตาโตแล้วยิ้มเย็น “นิกายสวรรค์ตัดอารมณ์ตัดความรู้สึก หลอมรวมไปกับฟ้าดิน ไร้โศกเศร้ายินดี ไร้รักไร้เกลียด แม้จะมีปีกกลายเป็นเซียน แต่ก็เสียตัวตน ช่างเป็นวิถีทางที่โหดร้ายนัก”
พักหนึ่ง นางก็ขมวดคิ้ว “ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ว่ายาคืนชีพสามารถบรรเทาอาการของข้าได้ แต่ท่านโหราจารย์ไม่ชอบนิกายมนุษย์ของเรามาโดยตลอด ไม่มีทางให้ยามาอย่างแน่นอน”
แมวส้มกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “สวี่ชีอันเคยใช้ยาคืนชีพ สรรพคุณยังไม่หมดไป หากนำเลือดของเขามาหลอมเป็นยา แม้ยาที่หลอมออกมาแล้วจะไม่เท่ากับยาคืนชีพ แต่ก็สามารถจัดการเรื่องเร่งด่วนนี้ได้
“เขาคงจะไว้หน้าข้าอยู่บ้างกระมัง”
ลั่วอวี้เหิงเงียบงันไปพักหนึ่ง “เจ้าสนใจตัวเองเถอะ ไอปีศาจสายนั้นที่เจ้าแบ่งออกมา ครองพลังส่วนใหญ่ของเจ้าเอาไว้ อาศัยแค่ซากวิญญาณในตอนนี้คิดจะทำลายมารปีศาจ ดูท่าจะเป็นเรื่องเพ้อฝันเสียแล้ว”
แมวส้มหัวเราะฮ่าๆ “เมื่อถึงเวลานั้น ยังต้องให้ศิษย์น้องยื่นมือมาช่วยด้วย แน่นอนว่า เมื่อถึงวันที่ข้ามีความมั่นใจที่จะปราบมาร ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็มีผู้ถือครองและกว่าครึ่งต่างก็เติบโตกันแล้ว ศิษย์น้องก็เพียงแค่เข้าแถวรออยู่ข้างๆ เท่านั้น”
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ก็น่าจะรู้ นอกจากก้าวสู่ขั้นหนึ่งแล้ว ด้วยสภาพของข้า หากถูกเหตุต้นผลกรรมพันรัดตัว คงจะมีแต่หนทางย่อยยับ”
“ดังนั้น ข้าก็เลยจะช่วยศิษย์น้องก้าวสู่ขั้นหนึ่งอย่างไรเล่า”
ลั่วอวี้เหิงพลันหันหน้ามา ดวงตางดงามเปล่งประกายจ้องมองมาที่แมวส้มโดยไม่พูดอะไร
“เหตุใดศิษย์น้องไม่บำเพ็ญคู่กับจักรพรรดิหยวนจิ่งเล่า” แมวส้มยกอุ้งเท้าขึ้นมาราวกับจะเลีย แต่สติปัญญาก็เอาชนะสัญชาตญาณสัตว์ได้ในที่สุด
“วาสนาของเขาไม่เพียงพอ” ลั่วอวี้เหิงกล่าว
นี่เป็นครั้งแรกที่นางอธิบายว่าเหตุใดไม่บำเพ็ญคู่กับจักรพรรดิหยวนจิ่ง
แมวส้มพยักหน้าเบาๆ “ดังนั้นเจ้าจึงทำเพียงแค่ยืมวาสนาของเขามาระงับไฟกรรม แต่กลับไปมากกว่านี้ไม่ได้ จากนั้นล่ะ ศิษย์น้องคงมีแผนการต่อไปแล้วกระมัง”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า “รอให้จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์”
‘จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์’…แมวส้มตกตะลึงและขมวดคิ้ว “เพราะพลังแผ่นดินที่ค่อยๆ อ่อนแอลงจนถึงทุกวันนี้ของต้าฟ่ง มีแต่จะเสื่อมลงไปทุกสมัย และในบรรดาลูกหลานของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ก็ไม่มีจักรพรรดิที่จะรุ่งโรจน์เลย เรื่องนี้เจ้ารู้ดียิ่งกว่าข้า”
ลั่วอวี้เหิงแย้มยิ้ม “ความรุ่งเรืองไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับจักรพรรดิ มีเว่ยเยวียนผู้ทำงานให้แผ่นดินอยู่ ขอเพียงหลังจากจักรพรรดิหยวนจิ่งสิ้นพระชนม์แล้ว เขาสามารถรอดจากการกวาดล้างและควบคุมจักรพรรดิองค์ใหม่ได้ อาณาจักรก็ได้รับการชะล้างแล้วเฟื่องฟูอีกครั้ง”
“ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะรอให้พลังแผ่นดินในอนาคตฟื้นฟู แล้วค่อยบำเพ็ญคู่กับจักรพรรดิองค์ใหม่อย่างนั้นหรือ…” แมวส้มพยักหน้าก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่รีบร้อน สาเหตุที่พลังแผ่นดินของต้าฟ่งอ่อนแอนั้นไม่ธรรมดาเลย เบื้องหลังมีสิ่งพัวพันอยู่มากมาย มีความน่ากลัวไม่น้อย”
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้ว “เรื่องความล้ำลึกของสถานการณ์ ศิษย์พี่ก็รู้มากไม่แพ้เว่ยเยวียนสินะ”
“ข้าเพียงแต่คาดเดา เรื่องราวอาจยังไม่แน่ชัด” แมวส้มพูดจบก็กล่าวว่า “จริงสิ หลี่เมี่ยวเจินจะมาที่เมืองหลวงแล้ว”
“เจ้าเรียกหมายเลขสี่กลับมาก็พอ ในฐานะที่เขาเป็นศิษย์ของนิกายมนุษย์ ก็ย่อมเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต่อกรกับเทพธิดาของนิกายสวรรค์”
“เอ่อ…พวกเขาล้วนเป็นสมาชิกของพรรคฟ้าดิน ให้พวกเขามาฆ่าฟันกันเองคงไม่ดีกระมัง”
ลั่วอวี้เหิงสะบัดหน้าหนีเขาอย่างเย่อหยิ่ง
ช่างเถอะ…ถึงเวลานั้นก็ค่อยผลักสวี่ชีอันออกไปไกล่เกลี่ยแล้วกัน …แมวส้มลอบคิดในใจ
…
ห้องโอสถหลวง
ขันทีชราผู้ดูแลพลิกหาสมุดอยู่ที่ชั้นหนังสือ แล้วส่งมอบให้สวี่ชีอันผู้มาสืบคดี แล้วเอ่ยด้วยเสียงเล็กแหลม
“บันทึกการรับและจ่ายยาของห้องโอสถหลวงจะชำระทุกๆ ห้าปี หากใต้เท้ามาช้าอีกสักสองสามปีก็จะตรวจไม่พบแล้วนะ”
ในห้องโถง ยายตัวร้ายถือถ้วยชา แล้วกลอกตามองดูสมุดอย่างกระฉับกระเฉง
สวี่ชีอันคิดว่านางอยากดูจึงพูด “องค์หญิงลองหาดูไหม”
“ข้าขี้เกียจดูของพวกนี้ ดูแล้วปวดหัว” นางกล่าวเสียงคมชัด
สวี่ชีอันไม่เข้าใจจริงๆ หญิงสาวโง่งมเช่นฉู่ไฉ่เวยไปเป็นเพื่อนสนิทกับฮว๋ายชิ่งได้อย่างไรกัน ตามหลักแล้ว ไม่ควรจะเป็นการแบ่งของตามประเภทและแบ่งคนตามกลุ่มหรืออย่างไร
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหากฉู่ไฉ่เวยอยู่กับหลินอันจะเหมาะสมกันมาก
“องค์หญิงทรงฉลาดเหนือใคร เพียงแต่พรสวรรค์อยู่ที่อื่นเท่านั้น” สวี่ชีอันเปิดดูสมุดพลางพูดพลาง “บ้านของกระหม่อมมีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง ชาญฉลาดล้ำลึกเหมือนกับองค์หญิง แต่ไม่ได้วางความอัจฉริยะไว้ที่การเรียนหนังสือ”
“วางไว้ไหนล่ะ”
“วางไว้บนอาหาร”
“…”
สมุดเล่มนี้บันทึกการจ่ายยาและรับยาทั้งหมดในห้องโอสถหลวงปีหยวนจิ่งที่ 32
ดูจากบาดแผลของหวงเสี่ยวโหรวแล้ว ยาที่สามารถช่วยชีวิตนางมีแทบนับนิ้วได้ ดังนั้นจึงหาได้ง่าย เพียงแต่ต้องถามให้รู้เรื่องว่าห้องโอสถหลวงมียาประเภท ‘ฟื้นคืนจากความตาย’ หรือไม่ แล้วไล่เปิดหาจากชื่อหา แบบนี้จะมีโอกาสหาเจอง่ายกว่า
แต่สวี่ชีอันหาอยู่ตั้งพักใหญ่ พบว่ากลับไม่เจอเงื่อนงำอะไรเลย
“ปีหยวนจิ่งที่ 32 สำนักโหราจารย์และอารามรัตนะส่งยามาให้ 364 ชนิด รวมทั้งหมด 780-790 ขวด ในนั้นมียาสามชนิดที่อยู่ระดับหนึ่ง แบ่งเป็นปีหยวนจิ่งที่ 32 33 36 ซึ่งฝ่าบาทได้มอบให้กับขุนนางต่างแดน”
สวี่ชีอันปิดสมุด มองไปที่หลินอันแล้วเอ่ย “หายาที่ช่วยชีวิตหวงเสี่ยวโหรวไม่พบ”
ได้ยินดังนั้น หลินอันผู้ชาญฉลาดก็ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน “หรือว่ายาไม่ได้มาจากห้องโอสถหลวง”
สวี่ชีอันส่ายหน้า “มองไปทั่วทั้งต้าฟ่งแล้ว ผู้ที่สามารถหลอมยาออกมาได้มีเพียงอารามรัตนะและสำนักโหราจารย์เท่านั้น เช่นนั้นยาจะต้องมาจากสองที่นี้แน่นอน หวงเสี่ยวโหรวเป็นนางข้าหลวงผู้หนึ่ง หากเบื้องหลังไม่มีใครคอยช่วย นางจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในวังหลัง จะมีใครที่สามารถเข้าออกห้องโอสถหลวงได้ แล้วยื่นมือไปหยิบยาของอารามรัตนะและสำนักโหราจารย์ได้ตามใจชอบล่ะ”
คำตอบมีเพียงอย่างเดียว ‘จักรพรรดิหยวนจิ่ง!’
เป็นเขาไปไม่ได้ ห้องโอสถหลวงเป็นของจักรพรรดิหยวนจิ่ง พระราชวังทั้งหมดก็เป็นของเขา ห้องโอสถหลวงเป็นสถานที่เก็บและรับยา เขาไม่มีเหตุผลให้ต้องอ้อมห้องโอสถหลวงไปที่อื่นเลย เหมือนกับบัตรเงินเดือนของข้าที่ใช้สำหรับเก็บเงินเดือน ข้าไม่จำเป็นต้องเปิดบัตรธนาคารอีกใบแล้วแอบซ่อนเงินเอาไว้เลย…สวี่ชีอันคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งเรื่อง
………………………….