คิดถึงตรงนี้ แววตาที่มองฟางเจิ้งเปลี่ยนเป็นเคารพขึ้นมา แต่ไม่ได้พูดอะไร ไม่ต้องให้ฟางเจิ้งเร่งรัดก็แบกถังน้ำลงเขาไปเอง

ลิงเกาหัว ยืนอยู่หน้าประตู มองโจวอู่ที่วิ่งลงเขาไป ก่อนถามฟางเจิ้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น “อาจารย์ เจ้านี่กระตือรือร้นไปรึเปล่า? คงไม่มีลับลมคมในหรอกนะ แบกถังน้ำบ้านคนอื่นวิ่งไปแล้ว? นั่นถังใหญ่ที่มีแค่พวกเรามีนะ”

ฟางเจิ้งอึ้งไป นึกถึงว่าถังน้ำนี่ล้ำค่าจริงๆ แต่พอนึกถึงโจวอู่แล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ “เขาไม่ทำหรอก เขาจะยิ่งทำยิ่งมีแรงกว่าเดิม”

“จริงเหรอ…” ลิงไม่เชื่อเล็กน้อย จึงคุกเข่าหน้าประตูรอดู มันอยากรู้ว่าคนนี้จะยืนหยัดแบกได้กี่ถัง

ครั้งนี้โจวอู่ตักน้ำมาสองถังเต็ม กัดฟันแบกขึ้นเขา เทใส่โอ่งพุทธก่อนส่องหน้าในโอ่งพุทธทันที ไฝดำบนหน้าหายไปส่วนหนึ่งจริงๆ เป็นขนาดเท่ากับเล็บนิ้วก้อยพอดี! หรืออาจพูดได้ว่าน้ำสองถังเต็มกำจัดไฝขนาดเท่าเล็บนิ้วก้อยได้! ครึ่งถังกำจัดไฝขนาดครึ่งนิ้ว

เมื่อเข้าใจทุกอย่างแล้ว โจวที่เดิมทีรู้สึกเหนื่อยจนขยับขาไม่สะดวกพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา แบกถังน้ำพุ่งออกไปโดยไม่เอ่ยสักคำ ความเร็วนั้นพุ่งไปพร้อมกับสายลมได้

ลิงเกาหัว พูดงึมงำ “หรือว่าจะเสพติดการแบกน้ำ? ไม่ใช่มั้ง?”

เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มมีชาวบ้านขึ้นเขามา บ้างมาขุดหน่อไม้ บ้างมาไหว้พระ แต่ตอนที่เห็นโจวอู่ แววตาทุกคนพลันเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ ทุกคนไม่แปลกตาโจวอู่ เรื่องที่มาขุดหน่อไม้มั่วซั่วแล้วมีไฝดำผุดบนหน้าแพร่กระจายไปนานแล้ว

พลันเห็นโจวอู่แบกน้ำขึ้นเขา ทุกคนจึงมองตากันแวบหนึ่งก่อนสนทนากันเงียบๆ

“เห็นรึเปล่า เจ้านี่ไงที่เมื่อวานยังกร่างอยู่เลย วันนี้มาแบกน้ำอย่างว่าง่ายเฉย จิ๊ๆ…ดูขนดำบนหน้านั่น กรรมตามสนองล่ะนะ”

“คนกระทำ สวรรค์มอง สร้างกรรมชั่วน้อยๆ ต่างหากคือหลักการที่ถูกต้อง”

“เหนือหัวไปสามฉื่อมีเทพเจ้ามองอยู่ เป็นคนเวลาทำอะไรต้องมีเหตุผล…”

โจวอู่ได้ยินถึงในหู ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวคล้ำ ดีที่มีขนยาวไฝดำบนหน้า คนอื่นเลยมองไม่ออก โจวอู่คิดจะกร่างกลับ แต่พอนึกถึงจุดจบที่ตนแสร้งกร่างไปก่อนหน้าจึงเก็บความคิดไปทั้งหมด ก่อนตักน้ำอย่างว่าง่าย คนอื่นว่าอะไรก็ทำเป็นไม่ได้ยิน

เก๋อเยี่ยนตรงตีนเขากับลูกชายรออยู่นานมากก็ไม่เห็นโจวอู่ลงมา สุดท้ายทนไม่ไหวพาลูกชายขึ้นเข้ามาตามหา ระหว่างทางเห็นโจวอู่กำลังแบกน้ำ เก๋อเยี่ยนร้อนใจโดยพลัน พูดขึ้น “เหล่าโจว คุณทำอะไรน่ะ? ทำไมต้องแบกน้ำ?”

โจวอู่ยิ้มแห้งๆ “คุณคิดว่าผมอยากเหรอ? คุณดูหน้าผมนี่ มีอะไรเปลี่ยนไปไหม?”

เก๋อเยี่ยนเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วพูดด้วยความตกใจ “ไฝดำน้อยลง!”

โจวอู่ว่า “ใช่ ผมแบกน้ำขึ้นเขา ไฝดำจะน้อยลง คุณว่าผมต้องแบกน้ำนี่ไหม?”

“แต่ว่า…มันเหนื่อยไปรึเปล่า?” เก๋อเยี่ยนมองถังใหญ่นั่นพลางพูดด้วยความรัก

“เหนื่อย? เหนื่อยก็เหนื่อยเถอะ ผมขึ้นลงเขามาหลายรอบแล้ว ผมคิดอยู่นานมากถึงสิ่งที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงหรือไม่ก็คิดไม่ออก ตอนนี้เข้าใจหมดแล้ว เมื่อวานคุณบอกว่าทำไมผมต้องพูดจาไม่เหมาะสมใช่ไหม? ก็แค่ขุดหน่อไม้ ทำไมต้องใช้ลูกไม้แบบนั้น เมื่อวานแค่เจอหลวงจีนรูปหนึ่งแล้วก็มีไฝดำโผล่มาเท่านั้น ถ้าเจอกับคนที่ล่วงเกินไม่ได้ ตอนนี้ควรทำยังไง? ถ้าคนที่มีพลังแบบนี้ไม่ใช่หลวงจีน แต่เป็นปีศาจคลั่งฆ่าคนล่ะ ตอนนี้เราอาจจะตายก็ยังไม่รู้เลยว่าตายยังไง เมื่อก่อนพี่ใหญ่เคยบอกว่าผมเปลี่ยนนิสัยได้ ขืนทำตัวสารเลวแบบนี้ต่อไป ต่อให้มีทรัพย์สินครอบครัวก็กินไม่ได้นาน เก๋อเยี่ยน คุณว่าผมคิดแบบนี้ดูขี้กลัวไปหน่อยรึเปล่า ดูเป็นคนขี้ขลาดรึเปล่า? ไม่ดูเป็นผู้ใหญ่ไหม?” พูดจบโจวอู่ก็ลงเขาไปอย่างเร็ว

เก๋อเยี่ยนมองเงาแผ่นหลังโจวอู่พลางพบว่าผู้ชายคนนี้ดูแปลกตาไปเล็กน้อย แต่ว่า…เธอชอบเขามากกว่าเดิม!

ฉะนั้นเก๋อเยี่ยนจึงอุ้มโจวเหวินอู่ตามไป “เหล่าโจว ฉันว่าวันนี้คุณดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก! เรื่องนี้ฉันเองก็ผิด ถ้าไม่ใช่เพราะฉันไร้เหตุผลคงไม่สร้างปัญหาให้คุณหรอก เมื่อก่อนแม่ฉันก็เคยพูดว่าภรรยาที่ดีจะหยุดสงครามไว้ที่ปากตนได้ ไม่ใช่ส่งสามีไปสนามรบ เมื่อก่อนไม่เข้าใจหรอกนะ ตอนนี้เข้าใจแล้ว…จากนี้ไปเราจะเป็นคนดี เหวินอู่ จากนี้ลูกห้ามกร่างไปทั่วอย่างพ่อเมื่อก่อนนะรู้ไหม?”

เด็กอ้วนน้อยได้ยินจึงพยักหน้ารัวๆ พ่อถูกจัดการแล้ว เขาจะกล้าขัดหรือ?

เก๋อเยี่ยนแบกน้ำเป็นเพื่อนโจวอู่ตลอดทาง เขาแบกทั้งวัน เมื่อสิ้นสุดวันไฝดำบนหน้าโจวอู่หายไปเกือบครึ่ง สามคนค้างแรมใต้ภูเขา วันที่สองฟ้าสาง โจวอู่ขึ้นเขาไปอีกครั้ง ไม่ต้องให้ฟางเจิ้งบอกก็เริ่มแบกน้ำเอง

ต่อเนื่องไปสามวัน ไฝดำบนหน้าโจวอู่หายไปจนหมด

สามวันต่อมา ใต้ต้นโพธิ์

โจวอู่วางถังน้ำอย่างดี เดินมาอยู่หน้าฟางเจิ้งแล้วโค้งตัวแสดงความเคารพ “ขอบคุณไต้ซือที่สั่งสอนมากครับ”

ฟางเจิ้งยิ้ม “ทุกอย่างที่ได้รับล้วนมาจากการที่ประสกตระหนักด้วยตัวเอง อาตมาเพียงแค่เป็นผู้ชมเท่านั้น”

โจวอู่ส่ายหน้า “ถ้าไม่ใช่เพราะไต้ซือชี้แนะทิศทางให้ ตอนนี้โจวอู่คงยังสับสนคิดว่าตัวเองเก่งกาจ ดูถูกคนอื่นเขาไปทั่วอยู่ ถ้าจากนี้สร้างหายนะโดยไม่ทราบสาเหตุให้ครอบครัวเพราะนิสัยแบบนี้ ถึงตอนนั้นสำนึกก็คงไม่ทันแล้ว ไต้ซือให้โจวอู่เข้าใจหลักการอย่างหนึ่ง เหนือหัวไปสามฉื่อมีเทพเจ้าเฝ้ามองอยู่ บนโลกมักจะมีคนกับเรื่องราวที่ล่วงเกินไม่ได้ ต้องยอมด้วยไมตรีจิตกับทุกเรื่อง ใช้คำพูดหรือจินตนาการอย่างอิสระ”

ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นจึงลุกขึ้นช้าๆ ประนมสองมือ แสดงความเคารพโจวอู่ “อมิตาพุทธ!”

โจวอู่พาเก๋อเยี่ยนกับโจวเหวินอู่เข้าไปจุดธูปสามดอกในอุโบสถ ขอพรให้ปลอดภัย ขอบคุณพระโพธิสัตว์เป็นต้น แล้วออกจากวัดมา โจวอู่ยังหันไปมองวัดเอกดรรชนีแวบหนึ่ง มองนักบวชสีขาวอยู่ใต้ต้นโพธิ์พลางอดใจถามไม่ได้ว่า “ไต้ซือ ผมสงสัยอย่างหนึ่งมาตลอด”

“หลบๆ!” แต่ฟางเจิ้งไม่ได้พูด มีเสียงป่าเถื่อนดังแว่วมาจากข้างหลัง โจวอู่หันไปมองเห็นเด็กแดงแบกถังน้ำใหญ่สองถังเดินขึ้นมา เขาจึงหลีกทางให้โดยจิตใต้สำนึก เด็กแดงกระทืบเท้ากระโดดลอยขึ้นฟ้าข้ามประตูวัดไป เดินไปหลังลานด้วยฝีเท้าเบาอย่างยิ่ง ในระหว่างทางทั้งหมดไม่ได้มองโจวอู่แม้แต่หางตา

เห็นดังนั้น โจวอู่ยิ้มแห้งๆ “ไต้ซือ ผมไม่สงสัยแล้วครับ”

ไม่ผิด สิ่งที่โจวอู่สงสัยมาตลอดคือเด็กแดงแบกน้ำสองถังนั่นได้จริงๆ หรือ จะใช่ฟางเจิ้งรู้ว่าเขาจะมาเลยจงใจใช้ถังใหญ่สองถังนี่แกล้งเขาหรือไม่ ตอนนี้ดูแล้วเขาคิดมากไปจริงๆ ขณะเดียวกันก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิมว่าในวัดนี้มีผู้วิเศษ! เจ้าอาวาสทำให้หน้าเขามีไฝดำ เด็กน้อยอายุหกเจ็ดขวบที่แบกของขึ้นบ่าหลายร้อยจินราวกับไม่ได้แบก แม้แต่ลิงก็ยังเป็นนักบวชลิงที่มีกลิ่นอายพุทธศาสนา…ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง

โจวอู่ลงเขามายืนอยู่ตีนเขา ตอนที่หันไปมองยังมีความรู้สึกว่าอยู่ในเมฆหมอก ในความฝัน แยกแยะไม่ออก

“เมียจ๋า คุณว่าสามวันนี้ผมฝันไปรึเปล่า?” โจวอู่ถามขึ้นระหว่างทาง

“ไม่รู้ ฉันก็งงเหมือนกัน…” เก๋อเยี่ยนตอบ

“พ่อครับ แม่ครับ กินหน่อไม้!” โจวเหวินอู่ส่งหน่อไม้ให้ ส่วนตนกินอย่างเอร็ดอร่อย

สองคนมองหน่อไม้ก่อนมองตากัน หัวเราะพร้อมกัน ดูท่าคงจะไม่ใช่ความฝัน…

……………………