วันต่อมาบนเขาเอกดรรชนีกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง แต่ฟางเจิ้งกลับมึนงงเล็กน้อย เมื่อก่อนทุกคนขึ้นเขามามีเป้าหมายชัดเจนมาก ไม่ขอลูกก็ขอให้มีความสุขหรือไม่ก็เรื่องอื่นๆ บ้างก็มาขุดหน่อไม้ตรงๆ แต่สองวันนี้คนที่ขึ้นเขามา โดยพื้นฐานแล้วจะมาไหว้พระที่วัดเอกดรรชนีก่อนค่อยไปขุดหน่อไม้

ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว เห็นหยางผิงขึ้นเขามาจึงคว้าตัวมาถามทันที “ประสก ทำไมทุกคนถึงต้องขึ้นเขามาจุดธูปก่อนทุกครั้งแล้วค่อยไปขุดหน่อไม้ล่ะ?”

“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านไม่รู้เรื่องนี้เหรอ?” หยางผิงอึ้งไป ก่อนยิ้ม

ฟางเจิ้งถาม “อาตมารู้อะไร?”

หยางผิงยิ้มดีใจกว่าเดิม “ซ่งเอ้อโก่วลงเขาไปป่าวประกาศทั่วไปหมด บอกว่าโจวอู่ขึ้นเขามาไม่เคารพพระพุทธองค์ ขุดหน่อไม้มั่วซั่วเลยถูกพระพุทธองค์ลงโทษ มีไฝดำขึ้นเต็มหน้า เรื่องนี้คนจากแปดหมู่บ้านสิบลี้เคยเห็นกันมาแล้ว คนเราน่ะนะ จะทำเรื่องไม่ดีหรือไม่ก็ตามแต่ บางครั้งก็กลัวกันทั้งนั้น ทุกคนเลยขึ้นเขามาไหว้พระก่อนค่อยไปขุดหน่อไม้ก็เพื่อความสบายใจ”

ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นพลันพูดไม่ออก ไม่นึกเลยว่าจัดการโจวอู่แล้วจะทำให้แสงธูปของวัดเอกดรรชนีสว่างไสวขึ้นเล็กน้อย

หยางผิงกล่าว “หลวงพี่ฟางเจิ้ง คือว่าเรื่องของโจวอู่เป็นเพราะพระพุทธองค์โกรธจริงๆ เหรอ?”

ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ ประสกคิดว่ายังไงล่ะ?”

เอ่ยจบฟางเจิ้งหมุนตัวเดินไป เรื่งนี้อธิบายยาก ยิ่งอธิบายยิ่งยุ่งยาก สู้แสร้งทำเป็นลึกลับดีกว่า ให้ทุกคนเดากันเอาเอง ถึงอย่างไรก็ยำเกรงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร รู้จักกลัวจึงหวาดกลัว ที่น่ากลัวจริงๆ คือคนที่ไม่มีความกลัวต่างหาก

ในเมื่อเข้าใจถึงปัญหาของธูปในวัดแล้ว ฟางเจิ้งจึงไม่ได้คิดอะไรมาก กลับวัดไปทำในสิ่งที่ควรทำ ภายใต้การรดน้ำด้วยพุทธคัมภีร์ ข้าวผลึกแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่แน่นอนว่าย่อมซ่อนข้าวผลึกไม่ได้ หวังโอ้วกุ้ยและถานจวี่กั๋วเคยมาแล้ว พวกเขาเคยกินข้าวผลึกมาก่อน รู้ว่ารสชาติข้าวผลึกนั้นดีจนทำให้คนอยากจะกัดลิ้นให้ขาด

ถานจวี่กั๋วถามฟางเจิ้งถึงวิธีการปลูกอีกครั้ง ฟางเจิ้งจำใจเลยให้ถานจวี่กั๋วได้ดูว่าเขาปลูกข้าวผลึกอย่างไร ดูว่าฟางเจิ้งสวดมนต์ตลอดคืนข้าวผลึกถึงโต ถานจวี่กั๋วจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป เขาฟังฟางเจิ้งสวดมนต์แล้วรู้สึกสงบจากใจ เต็มไปด้วยกลิ่นอายพุทธ จะใช้เสียงบันทึกหรือหาคนมาสวดบทสองบทไม่ได้

เมื่อตัดความคิดของถานจวี่กั๋วกับหวังโอ้วกุ้ยได้แล้ว ฟางเจิ้งเลยแก้ปัญหายากเรื่องใหญ่ไปได้ ทว่าไม่นานก็มีปัญหามาถึงหน้าบ้านอีก

วันนี้เข้าสู่กลางดึก ฟางเจิ้งนอนไม่หลับจึงพาหมาป่าเดียวดาย เด็กแดง กระรอกและลิงเดินเล่นบนเขา ดูทางช้างเผือกบนฟ้าพลางถอนหายใจ “โลกใหญ่ขนาดนี้ ทางช้างเผือกยิ่งมองไม่เห็นสุดขอบ ผืนฟ้ากว้างใหญ่ มนุษย์เล็กจ้อยจริงๆ”

ลิง หมาป่าเดียวดายและกระรอกพยักหน้าตาม รู้สึกว่าฟางเจิ้งปลงอนิจจังมีลีลาใช้ได้!

แต่เด็กแดงกลับทำลายบรรยากาศด้วยการเบะปาก หัวเราะ “ถุย ผืนฟ้ากว้างใหญ่หรือ ถ้าข้าได้พลังกลับมา จะขึ้นสวรรค์ลงดิน มีอายุขัยไร้ขีดจำกัด มีเวลาสำรวจได้ทุกที่” พูดถึงตรงนี้เด็กแดงกลอกตา ยิ้มกล่าว “อาจารย์ ท่านเหาะได้หรือไม่?”

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาจารย์เป็นคนธรรมดา ย่อมเหาะไม่ได้ แต่ว่าสำหรับมนุษย์แล้วการเหาะไม่ใช่เรื่องยากอะไร เครื่องบินแก้ปัญหาเรื่องการเหาะได้”

“ข้าพูดถึงบินด้วยกายเนื้อ ไม่ใช่ใช้ของภายนอกมาช่วย” เด็กแดงว่า

ฟางเจิ้งใจสั่น ทุกคนมีความฝันจะบินได้กันทั้งนั้น ฟางเจิ้งก็ไม่ละเว้น ถึงเครื่องบินจะบินได้ แต่เครื่องบินจะเทียบกับบินด้วยตัวเองได้? มิหนำซ้ำเขาไม่เคยนั่งเครื่องบินด้วย!

เด็กแดงเห็นฟางเจิ้งสนใจจึงเอ่ยต่อทันที “อาจารย์ ท่านจะว่าอย่างไรถ้าคืนพลังให้ข้า ศิษย์จะพาท่านบิน ว่าอย่างไร?”

ฟางเจิ้งสนใจจริงๆ บินบนฟ้าเชียว!

ฟางเจิ้งตรึกตรองไปพลางเดินมาถึงข้างหน้าผา มองเทือกเขากว้างใหญ่ใต้ฟ้าคืนมืดไกลๆ มันขึ้นลงไม่แน่นอนเหมือนกับมังกรขดเชื่อมไปทางภาคเหนือตอนใต้ ในใจเขาเกิดความกล้าได้กล้าเสียขึ้นไม่มีสิ้นสุด อยากจะบินไปดูสักครั้ง

เด็กแดงพูดต่อทันที “อาจารย์ ถ้าศิษย์ได้พลังกลับมาจะพาไปเทือกเขานั่นได้ตามใจชอบ อาจารย์อยากได้อะไร อยากไปที่ใดก็ง่ายดายไปหมด! ข้ามเรื่องอื่นไปก่อน แค่วัดเอกดรรชนีของเรา จากนี้ใครจะกล้ามาหาเรื่อง ศิษย์ตบทีเดียวก็ตายแล้ว…อะแห่มๆ ตบทีเดียวเขาจะได้เข้าใจถึงความหมายของการเป็นคน!”

ฟางเจิ้งชำเลืองตามองเด็กแดงแวบหนึ่ง พูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ศิษย์ รู้ไหมว่าทำไมอาจารย์ถึงไม่คืนพลังให้?”

เด็กแดงตอบ “อาจารย์กลัวว่ามีพลังแล้วจะหนีไป?”

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ฟ้าดินกว้างใหญ่ ต่อให้นายมีพลังมากกว่านี้ อาจารย์แค่สวดมนต์นายก็ต้องกลับมาอย่างว่าง่าย อาตมาไม่คืนพลังให้ก็เพื่อให้นายสัมผัสความรู้สึกของการเป็นคนบ้าง สัมผัสถึงรูปแบบต่างๆ ของชีวิตคน รักโกรธเศร้ามีความสุข ไม่ใช่ลิงเจ้าภูเขาอย่างที่นายเป็นมาตลอด เห็นแก่ตัวเองมีอิสระมีความสุข ไม่สนใจความเป็นตายของคนอื่น ทุกสรรพสิ่งบนโลกมีชีวิตของตนเอง ต่างมีวิถีชีวิตของตัวเอง มีความสุขของตัวเอง เข้าใจสิ่งเหล่านี้ให้มากๆ ชีวิตนายจะน่าสนุกกว่าเดิม ไม่ใช่เอาแต่ฆ่าแกง ไม่รู้สึกว่าชีวิตมันไร้รสชาติเกินไปหน่อยหรือ?”

เด็กแดงทำท่าทางยอมรับการสั่งสอน แต่ในใจไม่คิดอย่างนั้น ‘ชีวิตคนบ้าอะไร มีพลังข้าจะทำอะไรก็ได้ นั่นต่างหากคือความสบายใจ! คืออิสระ! เหตุใดต้องสืบเสาะความสุขของมดปลวก? น่าเบื่อชะมัด!’

ฟางเจิ้งก็รู้ว่าการพูดสองสามคำไม่มีทางให้เด็กแดงเชื่อฟังได้ เขาเองก็ไม่รีบร้อน ขณะจะให้บทเรียนชีวิตคนกับเด็กแดงนั้น พลันมีเสียงตีฆ้องดังมาจากข้างล่าง ฆ้องทองแดงสะเทือนฟ้า เสียงเร่งรีบมาก ขณะเดียวกันมีเสียงตะโกนของผู้คนดังตาม แสงจากไฟฉายและยังมีไฟจากคบเพลิง ตามด้วยได้ยินเสียงคำรามสัตว์…

ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นจึงร้องขึ้น “แย่แล้ว ฝูงหมูป่าลงเขามาอีกแล้ว!”

ข้างหลังภูเขาเอกดรรชนีเป็นภูเขาทงเทียน ภูเขาทงเทียนไม่ใช่ภูเขาเดี่ยวๆ อย่างเขาเอกดรรชนี แต่เป็นภูเขาใหญ่เชื่อมกันลูกหนึ่ง ภูเขาทงเทียนอยู่ในส่วนเทือกเขาฉางไป๋ ในนั้นมีป่าเขาลึก เมื่อก่อนมีนายพรานเข้าไปล่าสัตว์ในนั้น แต่เมื่อทั่วประเทศริบปืน คนที่ยอมเข้าไปในเขาลึกก็มีไม่มาก ภูเขาลึกที่ปกติชาวบ้านพูดถึงคือภูเขาสองลูกข้างนอกสุดของภูเขาทงเทียน เข้าไปข้างในอีกไม่ได้แล้ว ทว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ก็ถือว่าเป็นภูเขาลึก

เพราะการคุ้มครองจากประเทศ โดยพื้นฐานแล้วภูเขาทงเทียนเลยยังไม่เคยถูกบุกเบิก และก็ไม่มีคนเข้าไปรบกวนความสงบของสัตว์มากนักด้วย ประกอบกับหลายปีมานี้ แทบจะไม่เห็นเสือแล้ว ฝูงหมาป่าเข้าไปข้างใน หมีดำเคลื่อนไหวเป็นบางครั้ง ดังนั้นรอบนอกจึงกลายเป็นโลกของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง…หมูป่า!

ตอนเด็ก ฟางเจิ้งเคยขวางหมูป่าด้วยกันกับชาวบ้าน วิธีรับมือกับหมู่ป่าของพวกชาวบ้านจะเปลี่ยนไปมาตลอด ตอนแรกสุดชาวบ้านจะถือปืนลูกซอง ตอนนั้นหมูป่าลงมาจะเจอกับนายพรานที่มีประสบการณ์โชกโชน ถือเป็นการส่งอาหารมาให้ ทว่านายพรานแบบนั้นมีจำนวนน้อย หมูป่าเหล่านั้นกลิ้งอยู่ในโคลนทุกวัน จากนั้นเอาหนังไปถูกับต้นสน ให้น้ำยางสนเปื้อนทั้งตัว ก่อนคลุกโคลนอีกชั้น ถูยางสนอีก คลุกโคลนอีก สั่งสมไปเป็นชั้นๆ นี่จึงเท่ากับว่าเป็นทหารราบสวมเกราะติดอาวุธเคลื่อนที่ ภายนอกสวมเสื้อกันกระสุน คนส่วนใหญ่จึงจัดการอะไรพวกมันไม่ได้ ได้แต่มองไร่นาเสียหาย

…………………….